Rose 8
วันหยุดผ่านไป วันไปทำงานก็เวียนกลับมาอีกครั้ง แน่นอนว่าฉันยังตื่นทำกิจวัตรประจำวันของตัวเองเหมือนอย่างทุกวัน ก่อนออกจากห้องก็ไม่ลืมรดน้ำต้นกุหลาบที่ปลูกไว้นอกระเบียงห้อง จัดการทุกอย่างเสร็จถึงได้ออกเดินทางไปที่ร้านดอกไม้ของพิมพ์ใจเหมือนเคย
“อรุณสวัสดิ์จ้า” ทันทีที่เปิดประตูร้านเข้าไปก็ส่งเสียงทักทายเพื่อนสนิทที่กำลังถูพื้นอยู่ เห็นความเงาของพื้นก็อดตกใจไม่ได้ ยัยนี่ก็กะจะถูพื้นให้ลื่นกันไปข้างเลยเหรอ? แต่ทุกคนในร้านดันชอบที่ร้านสะอาดเอี่ยมอยู่ทุกวัน จากการที่ทุกคนช่วยกันดูแลนั่นแหละ
“จ้า นี่กินข้าวเช้ามาหรือยัง?” พิมพ์ใจทักทายกลับมาพลางเอ่ยถาม แม้ยังไม่ละสายตาจากพื้นก็ตาม
“ยังเลย ไม่หิวเท่าไหร่อะ รอกินมื้อเที่ยงทีเดียว” บอกเพื่อนตามแผนที่วางไว้ก่อนออกจากบ้าน จากนั้นก็เดินเอากระเป๋าไปเก็บที่ตู้ในโซนพนักงาน ก่อนจะหยิบเสื้อเอี๊ยมของตัวเองมาสวม โดยไม่ลืมหยิบโทรศัพท์มาเก็บไว้ที่ช่องด้านหน้าของเอี๊ยมด้วย
บนหน้าจอโทรศัพท์มีข้อความจากอาทิตย์ส่งเข้ามาด้วยนะ เขาถามว่าฉันออกไปทำงานหรือยัง แต่ด้วยความที่ฉันไม่ได้จับโทรศัพท์เลยตลอดการเดินทางก็เลยไม่ได้ตอบ อีกอย่างเขาคงแค่ถามเฉย ๆ ไม่ได้อยากรู้คำตอบอะไรมากนัก จึงไม่ได้ตอบอะไรกลับไปอีก
“เห็นในกลุ่มใหญ่ยัง?” พิมพ์ใจถาม ระหว่างที่ฉันกำลังเดินไปหยิบออเดอร์จากลูกค้าออนไลน์ที่สั่งตั้งแต่ร้านเปิดมาจัดการให้เสร็จ
“อื้อ เห็นอยู่” ในกลุ่มนั้นมีรูปที่โรสส่งเข้ามา เป็นรูปของอาทิตย์กับเคลวิน จริง ๆ ก็ส่งมาตั้งแต่เมื่อวานแล้วแหละ นี่ก็เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ฉันไม่ยอมรับการติดต่อจากอาทิตย์ ก็เห็นออกไปข้างนอกนี่ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงได้ขยันส่งข้อความหากันเหลือเกิน หรือเขากำลังล้อเล่นอะไรอยู่กันนะ?
“ฉันไม่ชอบยัยนั่นจริง ๆ เลยนะ” ขนาดพิมพ์ใจยังบอกว่าไม่ชอบเลย ถ้าถึงขั้นยัยนี่พูดแบบนี้ออกมา คงจะบ่งบอกได้อย่างชัดเจนแล้วแหละว่าผู้หญิงคนนั้นไม่ได้น่ารักจริง ๆ อย่างที่เจ้าตัวพยายามแสดงออกมา
“เอาน่า ปล่อยไปเถอะ”
“ก็ได้ ๆ ไม่พูดถึงแล้วแหละ เออนี่รถจะได้วันไหนนะ” จู่ ๆ เพื่อนสนิทก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนาดื้อ ๆ จนฉันหลุดหัวเราะเบา ๆ กับความปุบปับนั้น แต่ก็เต็มใจตอบคำถามนั่นแหละ
เมื่อได้เริ่มทำงานก็เหมือนความคิดที่ฟุ้งซ่านจะเริ่มกลับเข้าที่ เพราะต้องโฟกัสกับงานตรงหน้าให้เต็มที่ กับออเดอร์จัดดอกไม้หลากหลายรูปแบบ วันนี้ได้จัดช่อลิลลี่สีขาวด้วยนะ แต่จัดไปจัดมาก็นึกครึ้มอยากได้ดอกลิลลี่สีขาวไปจัดใส่แจกันที่ห้องด้วยเหมือนกัน
“ซื้อดอกไม้ไว้ก่อนได้ไหม?” รีบเอ่ยถามเพื่อนสนิทข้าง ๆ กัน ด้วยกลัวว่าตอนเย็นจะลืม
“จะเอาไปจัดที่ห้องเหรอ?” แล้วยัยพิมพ์ก็รู้ใจกันเหมือนเดิมซะด้วยสิ
“อื้อ ดูสบายตาดีนะ”
“โอเค ๆ งั้นไปบอกน้องเหมยให้ลงรายการซื้อไว้ ลงว่าราคาพนักงานนะ” พิมพ์ใจเอ่ยย้ำ
“ได้ ๆ ขอบใจมาก ซื้อไว้ก่อนดีกว่า เดี๋ยวก่อนกลับบ้านจะลืม” บอกกับเพื่อนขำ ๆ แล้วเดินไปยืนหน้าเคาน์เตอร์ร้านที่มีน้องเหมยนั่งตอบแชตลูกค้าอยู่
“เด็กเล็ก พี่ขอดอกกุหลาบขาวไซซ์แอลสิบดอก แล้วก็ลิลลี่อีกสิบดอกค่ะ” เอ่ยบอกน้องน้อยของร้านอย่างอารมณ์ดี แอบเพิ่มดอกไม้มาอีกหนึ่งชนิด เพราะคิดว่าเอาไปจัดคู่กันแล้วคงสวยน่าดู
“ได้ค่ะพี่มายด์ แป๊บหนึ่งนะคะพี่” มือเรียวรีบจัดการคีย์ออเดอร์เข้าระบบทันที ไม่ลืมกดเลือกรายการราคาพนักงานให้ด้วย
“เดี๋ยวหนูจัดใส่กล่องให้เองค่ะ” เด็กเล็กขันอาสา ซึ่งฉันก็ไม่ได้ขัดอะไร
“ขอบใจจ้า ฝากเด็กน้อยนะ” ไม่ลืมส่งยิ้มหวาน ๆ ให้น้องอย่างขอบคุณ
“สบายมากค่ะ”
เมื่อเห็นว่าน้องเหมยเหมยรับปากแล้ว ฉันถึงได้เดินกลับไปทำงานตัวเองต่ออย่างสบายใจ วันนี้ตลอดทั้งวันเหมือนความไม่สบายใจที่เกาะกุมใจอยู่จะหายไปบ้างแล้ว เพราะได้ทำงานอย่างมีความสุข ได้พูดคุย ได้หลอกล้อกับเด็ก ๆ และเพื่อนในร้าน
หลังเลิกงานฉันก็เตรียมกลับคอนโดฯ ตามปกติ หากไม่ติดว่าหน้าร้านจะมีใครบางคนยืนดักรออยู่ แต่ฉันคิดว่าเขาคนนั้นอาจจะมาหาพิมพ์ใจ จึงแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นแล้วเดินเลี้ยวไปอีกทาง แต่ก็เหมือนจะคิดผิด เพราะเพียงก้าวหนีไม่กี่ก้าว ข้อมือก็ถูกดึงรั้งเอาไว้เสียแน่น
“มารับ” เจ้าของส่วนสูงเกินมาตรฐานชายไทยเอ่ยบอกสั้น ๆ ก่อนจะดึงรั้งให้ฉันเดินตามเขาไปที่รถ
“เดี๋ยวสิ! นี่...เรามีนัดต่อนะ” ฉันตะโกนร้องบอกคนตรงหน้า แต่เหมือนว่าเขาจะไม่ได้สนใจฟังคำพูดนั้นเลย มิหนำซ้ำยิ่งฝืนกายไว้ อีกฝ่ายก็ยิ่งออกแรงดึงมากขึ้น ทว่าในจังหวะที่เขาผ่อนแรงลง ฉันก็ไม่อยากคิดเข้าข้างตัวเองหรอกนะว่า เขาเห็นใจที่ได้ยินฉันหลุดเสียงร้องเจ็บน่ะ
“...” พอฉันเงียบเขาก็กึ่งผลักกึ่งดันให้ฉันเข้าไปในรถคันหรู ยังไม่ทันจะได้มองหาทางหนีทีไล่ เจ้าของรถก็รีบดึงสายเข็มขัดนิรภัยมารัดให้อย่างรวดเร็ว แต่จังหวะที่อีกฝ่ายโน้มตัวผ่านหน้าฉันไป เมื่อระยะห่างระหว่างเรานั้นมีน้อยมากจนน่ากลัว แต่ฉันกลับทำได้เพียงเอนหลังชิดกับเบาะรถอย่างตกใจ
กลัวแสนกลัวว่าเสียงหัวใจของฉันมันจะเต้นแรงเกินไปจนเขาได้ยิน
“อย่าซน” เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จก็ขยับออกห่าง ดวงตาคู่คมสบมองฉันพลางเอ่ยดุเบา ๆ หลังจากที่เห็นว่าฉันนั่งนิ่งไปแล้วเขาถึงได้ยอมขยับออกห่างเพื่อปิดประตูรถ แล้วเดินกลับมายังฝั่งคนขับ
“ไปเดินเล่นกันไหม? ซื้อของเข้าห้องหรือเปล่าวันนี้” เมื่อกลับขึ้นมานั่งบนรถได้ อีกฝ่ายก็รีบเอ่ยถามราวกับล่วงรู้แพลนในชีวิตประจำวันของฉัน
“ไม่ กลับเลย” แต่เพราะไม่อยากให้เขาไปด้วย เลยเลือกที่จะบอกไปแบบนั้น
“ไปซื้อของกันนะ” เหมือนเดิมเลย...เขาไม่ได้ฟังสิ่งที่ฉันบอก ทั้งยังตีหน้ามึนขับรถไปยังห้างสรรพสินค้าอีก
เมื่อฉันไม่ต่อบทสนทนากับเขา อีกฝ่ายก็ไม่ได้พูดอะไรอีก พอเห็นว่าเขาเลิกเซ้าซี้แล้วฉันถึงได้ลอบมองท่าทีนั้นอีกครั้ง ซึ่งแน่นอนว่าเขายังนิ่งเหมือนเดิม ราวกับว่านี่คือเรื่องปกติที่เขาปฏิบัติต่อฉัน
อ่า ก็ปกตินั่นแหละ เพราะเขาทำแบบนี้กับคนอื่นจนกลายเป็นเรื่องปกติไปด้วย
พอได้สังเกตก็เพิ่งเห็นว่าวันนี้อาทิตย์สวมเสื้อเชิ้ตสีขาวสะอาดตา ทั้งยังพับแขนเสื้อขึ้นมาจนถึงข้อศอก เข้ากับผิวขาว ๆ นั่นเหลือเกิน และเหมือนผมของเขาจะยาวขึ้นด้วยไหมนะ? นาฬิกาที่ใส่อยู่ยังคงเป็นเรือนเดิมที่เขาชื่นชอบ แต่สิ่งที่แตกต่างออกไปจากความรู้สึก...คงเป็นภาพลักษณ์ที่ดูโตขึ้นของเขา
“มองนานขนาดนี้จะคิดค่ามองแล้วนะ” แต่จู่ ๆ คนถูกมองก็เหมือนจะรู้ตัว ถึงได้กระตุกยิ้มมุมปากแซวกัน ฉันถึงได้ตีเนียนละสายตาจากอีกฝ่าย แล้วมองออกไปนอกหน้าต่างแทน
อยู่ตรงนี้ทีไร ชอบเผลอตัวจ้องอีกฝ่ายทุกทีเลย
“ขอโทษ...” ความเงียบก่อตัวอยู่หลายนาที จนเป็นเขาที่โพล่งคำนั้นขึ้นมา ฉันไม่เข้าใจว่าเขาขอโทษกันทำไม หรือขอโทษเรื่องอะไรกันแน่
“...”
“วันนั้น...จู่ ๆ เขาก็โทร. มาบอกว่าไม่มีรถไป แล้วบอกว่าคอนโดฯ อยู่ก่อนถึงคอนโดฯ เธอ” แล้วจู่ ๆ สารถีข้างกายฉันก็อธิบายออกมายืดยาว เหมือนกลัวว่าจะเสียเวลาไปมากกว่านี้
“โรสบอกว่าเป็นทางลัด เราเองก็ไม่ได้คิดอะไร แต่ไม่รู้จริง ๆ ว่าคอนโดฯ เธอจะถึงก่อนคอนโดฯ เขา เราไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงพูดแบบนั้น ไหนจะรูปที่ส่งไปในกลุ่มนั่นอีก ตอนนั้นเราพยายามเร่งเวลาแล้ว จะได้วนกลับไปรับเธอทัน” ในขณะที่เล่า เขาก็เอาแต่ลอบมองมาทางฉันเป็นระยะ ๆ จนน่าแปลกใจ
“เอาจริง ๆ นะ ถ้าตอนนั้นมันถึงเวลานัดแล้ว แค่บอกเราก็ได้ เราไปเองได้ไม่ต้องให้ใครวนมารับหรอก” เป็นประโยคแรกในรอบหลายวันเลยก็ว่าได้ ที่ฉันคุยกับเขายาว ๆ แบบนี้
“ถ้ารู้เราจะไปรับเธอก่อน เราไม่ได้อยากให้เขานั่งตรงนี้ อยากให้มีแค่เธอ...”
“พอเถอะ หยุดพูดเรื่องนี้ได้แล้ว” หยุดทำเหมือนว่าฉันพิเศษกว่าคนอื่นสักที
“มายด์...” อาทิตย์เอ่ยเรียกชื่อฉันเสียงแผ่ว เมื่อรู้ว่าฉันไม่ได้อยากได้ยินสิ่งที่เขาจะยกขึ้นมาพูด และนั่นจึงทำให้บรรยากาศระหว่างเรากลับมาอึมครึมอีกครั้ง