บทที่ 20
จูบรสเหล้า
“เสร็จแล้วค่ะ” มือเล็กติดเทปสีสาวขุ่นที่ผ้าพันแผลเป็นลำดับสุดท้าย เป็นอันว่าหน้าที่นางพยาบาลจำเป็นได้เสร็จลุล่วงตามไปด้วย
สายป่านเก็บข้าวของให้เป็นระเบียบ เพราะมันก็เป็นครั้งแรกเหมือนกันที่เธอต้องรับหน้าที่ทำแผลให้คนอื่นแบบนี้ แถมยังเป็นแผลถูกยิงที่ถูกกระสุนเฉียดผ่านอีกต่างหาก
ไตรพัฒน์มองผ้าสีขาวที่พันแขนแกร่งของตัวเองเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะลุกขึ้นและเดินไปเปิดตู้ชั้นวางบางอย่าง กระทั่งเห็นแก้วทรงเตี้ยและขวดของเหลวสีอำพันถึงได้มั่นใจว่าของที่เขาหยิบออกมานั้นจะต้องเป็นเหล้าราคาแพงแน่นอน
“นี่คุณไตร คนที่มีแผลเขาห้ามดื่มเหล้านะ” สายป่านเอ่ยแทรกขึ้นเมื่อเห็นว่าไตรพัฒน์กำลังรินเครื่องดื่มใส่แก้ว
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!
เสียงเคาะประตูดังขึ้นทำให้ใบหน้าหวานหันไปมอง พอเห็นว่าเป็นมารุตที่เดินเข้ามาพร้อมกับข้าวกล่องและถุงพลาสติกจากร้านสะดวกซื้อก็ทำเอาความหิวโหยที่ซุกซ่อนอยู่นั้นปรากฏออกมา
โครก...คราก...
เสียงท้องร้องดังประท้วงออกมาพลันทำให้คนที่อยู่ในห้องได้ยินอย่างชัดเจน เป็นมารุตที่หลุดยิ้มและหัวเราะแต่ก็รีบหมุนตัวเดินออกไปจากห้อง ผิดกับสายป่านที่ทำหน้าเหมือนคนจะร้องไห้แต่ก็ไม่มีน้ำตาไหลออกมา
“ก็คนมันหิวนี่!” สายป่านหน้าม้าน นึกโกรธตัวเองที่เผลอทำตัวน่าอายออกไป มีอย่างที่ไหนแค่เห็นกล่องข้าวก็กระตุ้นต่อมความหิวให้ส่งเสียงร้องประท้วงออกมาแล้ว
“หิวก็รีบกิน”
“พรุ่งนี้ฉันจะกลับบ้านได้ไหม ฉันมีหลายอย่างต้องทำนะ” หญิงสาวมองเขาตาแป๋ว ท้องก็ร้องหิวเหมือนกัน แต่ความอยากรู้มันมีมากกว่า
“พรุ่งนี้วันเสาร์ ไม่ต้องฝึกงานไม่ใช่หรือไง” ราวกับล่วงรู้ความกังวล เพราะภาระหน้าที่ของเธอในตอนนี้ก็คือการฝึกงานตามหลักสูตร แต่โชคดีมากที่พรุ่งนี้เป็นวันหยุดเธอจึงไม่ต้องกังวลกับมันมากเท่าไหร่
ครืด...ครืด...
ทว่าเสียงสั่นจากโทรศัพท์ทำให้บทสนทนาของสองคนจำต้องหยุดชะงัก ไตรพัฒน์ปรายสายตามองไปยังหน้าจอก็พบว่าเป็นน้องชายที่โทรเข้ามา เขาหันกลับมามองหญิงสาวตรงหน้าที่ตอนนี้หันไปตั้งหน้าตั้งตากินข้าวกล่อง กระทั่งตัดสินใจกดรับสาย เสียงโวยวายจากน้องชายก็ดังกระแทกหูจนถึงกับต้องเบี่ยงมันออก
“ไอ้ตุลย์! กูหนวกหู มึงจะตะโกนทำไม!”
[พี่ไตรอยู่ไหน! ผมกลับมาบ้านไม่เห็นสักคน ทำไมปิดบ้านเงียบแบบนี้อะ]
ไตรพัฒน์ถอนหายใจเฮือก นึกอ่อนใจกับคำถามของน้องชายที่ไม่คิดว่าน้ำเสียงตกใจโวยวายเมื่อครู่จะเป็นคำถามเพียงน้อยนิดเช่นนี้
“อยู่โกดังใหญ่”
[แล้วไปทำไรโกดัง หรือว่าส่งของเหรอ แต่ผมจำได้ว่าวีคนี้ไม่มีนัดส่งของไม่ใช่หรือไง]
“มึงมีอะไร”
[ไม่มีอะไรหรอก ก็ว่าง ๆ ผมเลยมาช่วยงานไง เห็นว่าเดือนหน้าจะมีส่งล็อตใหญ่ แล้วไหนจะเรื่องรถที่โชว์รูมอีกอะ ฝ่ายบัญชีเขาส่งยอดมาให้พี่ยัง]
“กูตรวจเรียบร้อยแล้ว ไม่มีอะไรให้มึงทำแล้วไอ้ตุลย์ เดี๋ยวกูโทรหาอีกที”
มาเฟียหนุ่มพูดคุยกับน้องชายไปสักสองสามประโยคก่อนจะกดวางสาย ครั้นหันกลับมาก็พบว่าสายป่านได้ทานข้าวกล่องของตัวเองหมดเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้เธอกำลังนั่งจ้องมองเขาตาแป๋ว คล้ายกับมีคำถามบางอย่างที่สะท้อนออกมาจากดวงตาของเธอ
“คุณกับตุลย์เป็นพี่น้องกันแท้ ๆ หรือเปล่าคะ”
ตุลธรเป็นคนที่เธอรู้จักในฐานะคนดังของมหาวิทยาลัย แต่พอรู้ว่าเป็นน้องชายของไตรพัฒน์ก็ยิ่งทำให้เธอแปลกใจ เนื่องจากอายุที่คิดว่าน่าจะห่างกันมาก แล้วไหนจะลักษณะท่าทางที่แตกต่างกันอีก เธอเลยไม่มั่นใจว่าสองคนนี้เป็นพี่น้องกันจริง ๆ
“ถามทำไม”
“ก็คุณดูโตเป็นผู้ใหญ่มาก อายุน่าจะห่างจากตุลย์พอสมควรนะคะ หรือว่าเป็นน้องชายต่างแม่เหรอ หรือว่า...”
“น้องชายแท้ ๆ” ไม่ปล่อยให้ความคิดของเธอได้จินตนาการไปไกล มาเฟียหนุ่มก็เอ่ยบอกพลางกดสายตามองหญิงสาว
“จริงเหรอคะ แล้วคุณอายุเท่าไหร่ล่ะ ฉันอายุเท่าตุลย์นะ ตอนนี้ก็ยี่สิบสอง…”
“สามสิบ”
“โห ห่างกันแปดปีแหนะ อย่างพี่สาวฉันอายุยี่สิบห้า ก็ห่างกันแค่สามปีเอง”
มาเฟียหนุ่มเลิกคิ้วน้อย ๆ ในตอนที่เธอพูดถึงพี่สาว พยายามนึกถึงการสืบเสาะหาประวัติของเธอจากมือขวาคนสนิทก็ไม่ยักรู้ว่าเธอคนนี้มีพี่สาวด้วย แต่เขาก็ไม่ได้คิดถามอะไร เลือกที่จะรินเครื่องดื่มสีอำพันใส่แก้วก่อนจะเคลื่อนส่งไปให้เจ้าหล่อนตรงหน้าแทน
“ฉันไม่ดื่มค่ะ” สายป่านส่ายหน้าปฏิเสธพลางดันแก้วให้ออกห่างจากตัวเล็กน้อย
“มีพี่สาวด้วยเหรอ” ไตรพัฒน์ถามต่อ เนื่องจากเห็นแววตาของเธอวูบไหวเวลาที่พูดถึงพี่สาว ราวกับว่าพี่สาวของเธอมีอิทธิพลอะไรบางอย่างกับชีวิตไม่น้อย
อาจเป็นเพราะไตรพัฒน์เองก็มีน้องชายที่ต้องดูแล เขาเลยนึกสนใจกับชีวะประวัติที่เกี่ยวข้องกับพี่น้องขึ้นมากระมัง
“มีค่ะ พี่สาวฉันชื่อเส้นด้าย เส้นด้าย-สายป่าน ชื่อคล้องกันใช่ไหมล่ะ”
“แล้วหายออกมาแบบนี้พี่สาวเธอไม่ตามตัวแย่หรือไง” พอคิดว่าเธอต้องมาอยู่ที่นี่กับเขาก็อดที่จะนึกถึงความกังวลของพี่สาวเธอไม่ได้ เมื่อก่อนเขาเองก็หัวเสียแทบตายกับการหนีเที่ยวกลางคืนของน้องชาย จนเริ่มชินชาและรู้ว่าน้องดูแลตัวเองได้นั่นแหละถึงได้ยอมปล่อยวางจนกลายเป็นการให้อิสระตามต้องการ
“โหย ไม่หรอกค่ะ รายนั้นทำงานหนักจะตาย ต้องไปทำงานที่ต่างจังหวัดนู่นแหนะ ไม่รู้อะไรหรอกค่ะ” คนตัวเล็กส่ายหน้าหวือจนเรือนผมสยาย นึกถึงการทำงานของพี่สาวทีไรก็เป็นต้องน้อยอกน้อยใจขึ้นมาทันที
มาเฟียหนุ่มเองก็คงจับสังเกตได้ เพราะตอนนี้ใบหน้าของเธอแดงก่ำขึ้นมา แถมนัยน์ตาก็เอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำอีกด้วย
“เป็นอะไร”
“แค่คิดถึงพี่น่ะค่ะ พูดถึงทีไรก็อดที่จะร้องไห้ไม่ได้เลย” มือเล็กปัดป้องเบา ๆ พลางก้มหน้าลงเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายเห็นถึงน้ำตาของตัวเองที่เตรียมพร้อมจะไหลหลั่ง
เธอเช็ดมันออกลวก ๆ ก่อนจะเชยใบหน้าขึ้นและหยัดยิ้มกว้างทำตัวให้เป็นปกติมากที่สุด ครั้นรู้สึกถึงความอึดอัดถึงได้หยิบเครื่องดื่มมึนเมาตรงหน้าขึ้นมาดื่มทำลายอาการที่เป็นอยู่
“ไม่ขม?” นึกแปลกใจที่เห็นเจ้าหล่อนดื่มกินมันด้วยท่าทางปกติ เพราะเหล้าแบรนด์นี้ดีกรีแรงเป็นไหน ๆ
“ขมค่ะ แต่ก็ขมปกตินะคะ” สายป่านทำหน้างุนงง มองหน้าเขากับแก้วในมือสลับไปมา
เธอเป็นถึงเด็กเสิร์ฟดีเด่นที่ร้านดาร์กไนต์ เรื่องแบบนี้ก็ต้องเรียนรู้เป็นธรรมดา แต่ก็ไม่ได้อยู่ในขั้นที่ว่าสันทัดหรือว่าคอทองแดงแบบนั้น
“เล่าต่อสิ พี่สาวเธอทำงานอะไรนะ แล้วทำไมทำงานไกลขนาดนั้น”
ไตรพัฒน์เปิดประโยคสนทนาถามไถ่กับหญิงสาวถึงเรื่องพี่สาวของเธอ ไม่รู้ทำไมเหมือนกันเขาถึงได้อยากรู้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับเธอนัก เมื่อรู้ว่าชีวิตของเธอและพี่สาวนั้นต้องดิ้นรนและสู้ชีวิตเพราะความลำบาก มันก็ยิ่งทำให้มาเฟียหนุ่มนึกสะท้อนใจและหวนนึกถึงอดีตที่เขาเองก็เคยเผชิญกับมันเหมือนกัน
คนสองคนพูดคุยกันหลายเรื่องจนเหมือนเป็นการนั่งจับเข่าคุยแลกเปลี่ยนสารทุกข์สุกดิบก็ไม่ปาน พร้อมกันนั้นก็มีเครื่องดื่มมึนเมาที่เป็นตัวกลาง และเป็นตัวช่วยที่ทำให้ความบาดหมางและกำแพงของทั้งสองพังทลายลงโดยไม่รู้ตัว
มันกลายเป็นว่าสายป่านกล้าที่จะพูดกับเขามากขึ้น กล้าที่จะเล่าเรื่องราว และระบายความในใจที่ต้องเผชิญออกมาให้เขารับรู้ เฉกเช่นเดียวกับไตรพัฒน์ที่พร้อมเป็นที่พักพิงให้เธออยู่ตรงนี้
“คุณรู้ไหมว่าฉันน่ะลำบากมากเลยน้า อึก...ฉันต้องทำงานตั้งแต่เด็กเลย มีงานที่ไหนฉันรับไว้หมดนั่นแหละ เพราะฉันไม่อยากให้พี่ด้ายเหนื่อย” เสียงหวานยานครางด้วยฤทธิ์เหล้าที่เข้าควบคุมสติจนเลือนรางพร่าเบลอไปหมด
“เมาแล้วมั้ง” มาเฟียหนุ่มมุ่นคิ้วมองคนตรงหน้า เขาเห็นว่าเธอเริ่มพูดไม่รู้เรื่องแล้ว แถมยังฟุบใบหน้าแนบไปกับโต๊ะทำงานจนได้ยินเพียงแค่เสียงอู้อี้ไม่ได้ศัพท์
“อื้อ ไม่เมา แค่กรึ่ม ๆ ยังเล่าไม่จบเลย ตอนมอต้นฉันเคยทำงานล้างจานที่ร้านเหล้าด้วยนะ ส่วนพี่ด้ายก็เป็นเด็กเสิร์ฟ ตอนนั้นมีลูกค้าลวนลามด้วยแหละ แล้วคุณรู้ไหมว่าพี่สาวฉันจัดการกับไอ้พวกชีกอนั้นยังไง”
นอกจากจะทิ้งคำถามให้เขาตอบแล้ว สายป่านยังยกใบหน้าขึ้นและมองเขาด้วยแววตาฉ่ำเยิ้ม พร้อมกันนั้นเสียงหัวเราะก็ดังเล็ดลอดออกมาเมื่อหวนนึกถึงเหตุการณ์แสบในอดีต
“ยังไง” ไตรพัฒน์ไหลไปตามน้ำ ในเมื่อเธออยากให้เขาถามเขาก็จะถามเพื่อเอาใจ
“พี่ด้ายหยิบขวดเบียร์ขึ้นมาฟาดไอ้ลูกค้าคนนั้นจนหัวแตกเลย แล้วก็จับมือพาฉันหนี วันนั้นไม่ได้ค่าแรงด้วยนะ แถมยังต้องวิ่งหนีการ์ดอีก กว่าจะหนีพ้นก็ต้องไปหลบข้างถังขยะนู่นแหนะ คิก ๆ”
“ฮึ แสบเหมือนพี่สาวเองสินะ” ความแก่นเซี้ยวกล้าบ้าบิ่นที่เห็นเขาก็คงเดาได้ว่าเธอน่าจะได้มันมาจากพี่สาวเพียงคนเดียวนั่นแหละ
“คุณเป็นมาเฟียเหรอคะ หรือเป็นพวกอันธพาลอ่า ทำไมต้องมีลูกน้องด้วย” สายป่านปรือตามองพลางเท้าแขนเพื่อให้มองเห็นคนตรงหน้าได้ชัดเจนขึ้น เนื่องจากตอนนี้เธอไม่สามารถทรงตัวได้อีกต่อไปแล้ว
“ฉันว่าเธอเมาแล้ว” ไม่ได้ให้คำตอบแต่เขาเลือกที่จะลุกขึ้นและเดินเข้าไปประคองร่างแน่งน้อยเอาไว้แทน
เห็นท่าทางอ่อนปวกเปียกและเสียงยานครางไม่ได้ศัพท์ ก็พอรู้ว่าตอนนี้ร่างกายของเธอน่าจะถูกฤทธิ์เหล้าควบคุมไปจนเกือบหมด
“อื้อ ยังคุยไม่จบเลย จะพาไปไหน”
คนเมารู้สึกตัวได้ว่าร่างกายของตัวเองกำลังถูกนำพาไปยังที่ที่หนึ่ง และเพียงเสี้ยววินาทีก็ถึงได้รู้ว่าไตรพัฒน์พาเธอมานอนบนโซฟาตัวยาว ที่มันสามารถปรับนอนในระนาบได้
“เก็บไว้พูดวันอื่นบ้าง วันนี้พูดเยอะแล้ว”
เธอเล่าเรื่องราวตั้งแต่ช่วงชีวิตอนุบาลยันมหา’ลัย พอคอแห้งก็รินเหล้าดื่มเองแล้วกลับมาพูดใหม่ เห็นแบบนั้นก็ยังนึกทึ่งในความสามารถของเธอเสียจริง
“อื้อ หนาวจัง ขอผ้าห่มหน่อยสิ” สายป่านดึงรั้งแขนแกร่งเอาไว้เมื่อเห็นว่าเขากำลังจะผละตัวออก
ลมจากเครื่องปรับอากาศทำงานจนเธอสั่นระริก แล้วไหนจะเครื่องดื่มที่กลืนกินเข้าสู่ร่างกายไปหลายแก้ว มันก็ยิ่งทำให้เธอหนาวสั่นจนเผลอรั้งกอดเขาไว้เพราะต้องการความอบอุ่นจากร่างใหญ่โต
ความใกล้ชิดส่งผลให้ไตรพัฒน์ชะงักกึก เขาก้มหน้าลงมองคนตัวเล็กในอ้อมแขนพลางข่มความอดทนที่ปรากฏแทรกขึ้นมา เพราะจดจำคำพูดของเธอในวันนั้นได้ดีว่าเธอตอกหน้าเขาได้เจ็บแสบมากเพียงใด
“ไม่มีอะไรต้องคุยกันแล้วค่ะ ฉันยืนยันในคำตอบ แล้วก็อย่าไปพูดแบบนี้กับใครนะคะ มันทุเรศมาก!”
คำพูดนี้ยังคงตราตรึงอยู่ในหัวสมองของเขาตลอด เพราะมันเป็นครั้งแรกที่เขาถูกตะคอกคำด่าใส่หน้า ทั้ง ๆ ที่เขาก็คิดว่าตัวเองได้ยื่นข้อเสนอที่คิดว่าเหมาะสมกับเธอมากเช่นกัน
การเป็นผู้หญิงของเขามันทุเรศตรงไหน...
มาเฟียหนุ่มสำรวจมองใบหน้าสะสวยของคนในอ้อมแขนราวกับหลุดเข้าไปในห้วงภวังค์ นึกสงสัยกับตัวเองเหมือนกันว่าเขาพึงพอใจเธอส่วนไหน ตอนไหน และเหตุใดถึงได้ยื่นข้อเสนอให้เธอมาเป็นผู้หญิงของเขา ทั้ง ๆ ที่ตอนแรกเขาตราหน้าให้เธอเป็นสายสืบที่พร้อมฆ่าปิดปากได้ทุกเมื่อ
ความคิดยังคงดำเนินต่อเฉกเช่นเดียวกับดวงตาคมที่ทอดมองไปยังดวงหน้าสวยหวาน ก่อนที่มันจะหยุดยังริมฝีปากฉ่ำวาวของเธอ
“อือ มองทำไมคะ มองหน้าแบบนี้จะคิดเงินแล้วนะ คนยิ่งร้อนเงินอยู่ คิก ๆ” สายป่านหัวเราะ ไม่สะทกสะท้านกับสายตาที่จดจ้องมอง หนำซ้ำเธอยังใช้มือสองข้างกอบกุมที่ใบหน้าหล่อเหลาของไตรพัฒน์อีก
และการกระทำนั้นมันยิ่งทำให้ใบหน้าทั้งสองคนใกล้ชิดกัน มือเล็กกอบกุมบาง ๆ พลางลูบไล้ไปตั้งแต่แก้มลามไปจนถึงต้นคอแข็งแกร่งที่มีเส้นเลือดปูดนูน ไม่รู้ทำไมเหมือนกันหัวสมองถึงสั่งการให้เธอทำเช่นนั้น
“ฉันไม่ชอบให้ใครมาจับหน้า” ไตรพัฒน์พูดเสียงเข้ม เหมือนกับเป็นการคาดโทษคนใต้ร่างที่ตอนนี้กำลังจับสัมผัสพื้นที่หวงห้ามอย่างถือวิสาสะ
“ขี้หวง”
“ฉันจะคิดค่าจับ” เสียงเข้มต่ำพร่า เช่นเดียวกับใบหน้าที่แนบชิดใกล้จนลมหายใจรินรดไปยังพวงแก้มใส
คราวนี้สายป่านเห็นถึงอันตรายอยู่รำไร เธอชักมือออกห่าง แต่ก็ติดตรงที่ว่าถูกมือใหญ่ของเขาจับรั้งไว้แน่น
“เธอต้องชดใช้”
“ยังไงคะ...อื้อ” คำพูดถูกกลืนกลับด้วยริมฝีปากที่กดทาบทับลงมาอย่างหนักหน่วง
ไตรพัฒน์บดเบียดกลีบปากลงด้วยความหนักแน่น กดย้ำ ตอกตรึง และเบียดชิด เคล้าคลอประสานกันและกัน
สายป่านเบิกตากว้างผวาตกใจไปชั่วครู่ ครั้นถูกลิ้นร้ายไล่ต้อนด้วยความช่ำชองและร้ายกาจกลับทำให้เธอเผลอไผล ตอบรับสัมผัสอย่างเต็มใจ ซ้ำยังกอดเกี่ยวต้นคอหนา ดึงรั้งให้ร่างกายของเขากดทาบตามลงมา พานทำให้ความอบอุ่นจากกายใหญ่โตแผ่ซ่าน ที่เธอคิดว่ามันช่างเป็นไออุ่นที่เธอโหยหาเหลือเกิน
สายป่านไม่รู้ตัวเลยว่าการกระทำเหล่านั้นสร้างความปั่นป่วน และทำลายความอดทนอดกลั้นของไตรพัฒน์ลงไปเสียแล้ว!