“คุณหนู!” เสียงเรียกมาแต่ไกล ทำให้ถงอวี้หญิงสาวที่กำลังตากเนื้อปลาอยู่หน้าลานหันมามองเจ้าของเสียง ดวงตาเจือแววคาดหวังอย่างปิดไม่มิดโดยหวังว่าอีกฝ่ายคงนำมามอบให้ตนตามคำสั่ง
“ได้มาไหมพี่หยวน” สาวใช้เลยวัยแต่งงานส่ายหน้า นึกตำหนิตนเองที่ไม่อาจทำตามคำสั่งของผู้เป็นนาย นางได้แต่หลุบตาต่ำอย่างนึกเสียใจ ถงอวี้ได้ยินคำตอบนั้นได้แต่นิ่งเงียบไม่กล่าวตำหนิสาวใช้ก่อนที่จะพยักหน้าอย่างเข้าใจและหันหลังไปง่วนอยู่กับงานตรงหน้าเหมือนเดิม
“คุณหนู...” เสียงอ่อนของอาหยวนทำให้ถงอวี้หันมายิ้มอย่างปลอบใจ
“พี่กำลังนึกตำหนิตนเองอยู่ล่ะสิ...ช่างเถอะ ในเมื่อฝ่ายนั้นไม่ให้มา ถึงเวลาพวกเขาคงยื่นหนังสือหย่ามาอยู่ดี” คำพูดที่ไม่ใส่ใจนักกลับทำให้ชายอีกคนที่จู่ๆ มาปรากฏกายอยู่หน้าลานอย่างที่ไม่มีใครสังเกตหรือเอ่ยถามถึงการมา เขาถึงกับขมวดคิ้วมุ่นพานนึกในใจอย่างสงสัย
‘หนังสือหย่า?’
เขาเดินตรงไปหาสตรีที่เขาไม่เคยคิดจะเข้าใกล้และเปิดปากถามด้วยความกรุ่นโกรธ
‘หนังสือหย่าอะไร?’ แม้เขาจะไม่ได้ชื่นชอบถงอวี้แต่ก็มิใช่ว่าตนจะไร้ความรับผิดชอบอย่างลูกผู้ชายพึงมี เขาตะเบ็งเสียงที่คิดว่าสตรีตรงหน้าต้องคุกเข่าและขอโทษที่มีความคิดนี้ผุดขึ้นมาในหัวหากแต่ว่าเขาคิดผิดเพราะหญิงสาวหรือแม้แต่สาวใช้กลับไม่ปริปากตอบ พวกนางทำราวกับว่าคำถามของเขาเป็นเพียงอากาศที่ลอยตามลม
เขายังคงส่งคำถามเดิมซ้ำๆ เพื่อย้ำจุดประสงค์เดิมแต่ถึงกระนั้นพวกนางยังยืนกรานมั่นคงดั่งภูผาแสร้งเป็นไม่สนใจ ทั้งแสดงละครตบตาหันหน้าสนทนากับสาวใช้ มิหนำซ้ำยังส่งงานให้อาหยวนมาจัดการงานแทนตนเอง ทั้งๆ ที่นางเหลียวหน้ามามองส่งสายตาเย็นชาให้เขาอยู่แวบหนึ่งก่อนจะเดินเข้าไปด้านใน ส่วนถงอวี้เองรู้สึกแปลกๆ ในโพรงอกลึกๆ เหมือนมีเงาดำๆ ยืนใกล้ตน ตอนเดินออกไปนางยังเผลอลูบแขนที่ขนลุกชันของตนเอง
หม่าหย่งเต๋อมองตามร่างถงอวี้ที่เดินเข้าไปในเรือนด้วยแววตาไม่เป็นมิตรนัก แม้จะไม่อยากเดินตามไปข้างในแต่เท้ามิยอมหยุดก้าว ระหว่างทางเขาใช้สายตากวาดมองไปรอบๆ จวนตั้งแต่ด้านนอกจนถึงด้านในจนแน่ใจว่าที่นี่ไม่ใช่จวนของตนเองและไม่รู้ว่าที่นี่คือที่ใด หากเขาจำไม่ผิดเขาส่งนางให้มาอยู่ที่จวนเก่าย่านชนบทแต่เหตุใดนางถึงไม่อยู่? เพราะความสงสัยเสียงดุดันจึงเปล่งออกไปด้วยความไม่พอใจที่อีกฝ่ายฝืนขัดคำสั่ง
‘ทำไมเจ้าถึงอยู่ที่นี่? เจ้ากล้าขัดคำสั่งของข้ารึ!?’ ปฏิกิริยาของหญิงสาวยังคงเดิม นอกจากไม่หันมาตอบยังกล้าปรายตามองอย่าง
อุกอาจ จนเขาเกิดโทสะสืบเท้าเข้าประชิดยกมือคว้าฮูหยินร่างเล็กอ่อนเยาว์ไร้ศักดิ์ที่ตนไม่เต็มใจแต่งเข้าสกุลด้วยเหตุผลที่ว่านางไม่สนใจกับคำถามของเขาถึงสองครั้งสองครา หากแต่เขาคว้าได้เพียงอากาศจึงเริ่มแปลกใจจึงคว้าแขนนางอีกครั้งและอีกครั้งผลที่เกิดขึ้นยังคงเหมือนเดิม เขาคว้าได้เพียงอากาศ
‘ข้าสัมผัสตัวนางไม่ได้ หรือว่า...’ ความสับสนก่อตัวขึ้นในสมองสุดท้ายเขาหลุดปากออกมา
‘ข้าตายแล้ว!’
ถงอวี้เดินเข้าไปในครัวเพื่อเตรียมอาหารเย็นเหมือนทุกครั้งเพื่อรอให้คนที่ตนรักสุดซึ้งกลับมา วันนี้นางตั้งใจทำไข่ม้วน ผัดผัก เต้าหู้นึ่งยัดไส้และน้ำแกง เมื่อของได้เตรียมล่วงหน้าไว้แล้ว จึงไม่ยากที่จะลงมือทำต้องขอบคุณผู้ชายร่างใหญ่ที่นำหมูมาให้ มื้อนี้จึงได้กินเต้าหู้ยัดไส้ได้
นางวางเต้าหู้ที่ยัดไส้หมูสับเรียบร้อยลงวางไว้ในหม้อซึ้งก่อนที่จะหันมาง่วนกับการทำไข่ม้วน ระหว่างที่นางจัดการอาหารสำหรับเด็กน้อยเรียบร้อย จู่ๆ อารมณ์พลุกพล่านพานหงุดหงิดพลันปะทุขึ้นมาทั้งที่พยายามจะระงับแต่นางต้องการระบายมันออกมา
นางอยากได้ใบหย่า นางอยากได้ชีวิตแบบสาวโสดที่กำลังมองชายเหมาะสม หากเป็นไปได้นางอยากกลับยุคศิวิไลซ์ของตนเอง แม้จะพอใจในร่างหญิงสาวอ่อนวัย หน้าตาสะสวยหมดจด ผิวพรรณแลดูสุขภาพดีอย่างที่เคยอธิษฐานไว้ว่าขอให้สวยหุ่นดีไม่มีวันแก่ แต่ไม่ใช่ให้ตนเองต้องมาอยู่ในยุคโบราณที่แม้แต่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปหรือไฟฟ้ายังเข้าไม่ถึง
ถงอวี้นึกย้อนไปเมื่อครั้งเหตุการณ์ระทึกขวัญ นางยังจำได้จนเป็นภาพติดตา มันทรมาน อึดอัดยิ่ง หากวันนั้นตนเองไม่ยื่นมือไปรับกุญแจจากท่านประธานจอมหื่น เหตุการณ์นั้นจะไม่เกิดขึ้น ยิ่งคิดก็ยิ่งพานหงุดหงิดใจ
‘เธอคือเหยื่อ!’
หญิงสาวเจ้าของร่างมีชื่อเดียวกับตน คิดไปก็น่าขำนักเพราะเมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาก็พบว่าชายที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีกลับอุ้มสตรีอีกคน กว่าจะทำความเข้าใจต่อความทรงจำของเจ้าของร่างที่ไหลเวียนเข้ามาไม่ขาด หัวใจของนางเองนี่แหละที่รู้สึกบอบช้ำจนหลงคิดว่าเรื่องราวทั้งหมดเป็นของตนเสียเอง นางเฝ้าถามตัวเองว่าหากตนเป็นเจ้าของร่างจะทำอย่างไร? ชีวิตมีแต่ความขมขื่นแล้วจะฝืนกอดฐานะไปทำไม นางเป็นสตรียุคใหม่ต้องใส่ใจตัวเองและคนรอบข้าง
“ท่านควรรักข้าสิถึงจะถูก” ถงอวี้หลุบตาต่ำเอ่ยเสียงเศร้า ทำให้
หม่าหย่งเต๋ออดที่จะขมวดคิ้วนึกถึงคำพูดของนางด้วยความฉงน คำพูดนี้นางเคยกล่าวกับเขาใช่หรือไม่? เขายังไม่ทันได้นึกย้อนแต่ก็ต้องผงะเมื่อจู่ๆ อารมณ์ของสตรีตรงหน้าเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว นางถือตะหลิวตีเข้าที่กระทะพร้อมเอ่ยเสียงดังด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว
“รักบ้ารักบออะไรล่ะ ถือว่ารวยเป็นถึงขุนนางแต่กลับทำร้ายประชาชน ไอ้ผู้ชายจอมปลอม เฮงซวยเอ๊ย... เงินสักแดงไม่กระเด็นมาถึง แล้วยังหน้าด้านหน้าทนไม่มอบหนังสือหย่าอีก! หน้าที่ของเจ้าคือรับใช้ประชาชนสิ ข้าก็เป็นประชาชนแค่ใบหย่าจะเสียดายน้ำหมึกกับกระดาษอะไรนักหนา เอาชีวิตข้าคืนมา ไอ้เจ้าลูกหมา!” ยิ่งได้พูดถงอวี้ยิ่งใส่อารมณ์ลงไป นางหายใจลึกและหันไปง่วนกับอาหารตรงหน้าฟาดตะหลิวลงบนกะทะเสียงดัง
“เจ้านั่นหน้ายังไงนะ...ข้ามองได้แค่แวบเดียวยังจำไม่ได้เลย”
มีจังหวะหนึ่งที่นางหันมาทางหม่าหย่งเต๋อ เขาคิดว่านางต้องเห็นวิญญาณของเขาแน่หัวใจพลันกระตุกวาบ ตะหลิวในมือชี้มาที่ร่างหนาอย่างจงใจ แต่แท้ที่จริงนางเพียงเล่นงิ้วไปตามอารมณ์จนวิญญาณรู้สึกขายหน้า ใบหน้าชาวาบ เพียงไม่นานเขาก็ต้องมีเรื่องประหลาดใจอีกครั้งเมื่อเสียงเล็กใส
“ท่านแม่”