ในขณะเดียวกัน
เมืองหลวง
พระราชพิธีฝังพระศพ
ขบวนแห่พระศพอดีตเจ้าผู้ครองแคว้น กำลังตั้งขบวนเป็นแถวยาวออกจากตำหนักส่วนกลางเพื่อเคลื่อนขบวนไปยังสุสานหลวงของราชวงศ์ บรรดาพระโอรสที่ประสูติจากอดีตเจ้าผู้ครองแคว้นรวมด้วยกันสิบห้าพระองค์ ทยอยเสด็จมาเข้าร่วมขบวนโดยมีเจ้าผู้ครองแคว้นองค์ปัจจุบัน ฉินรุ่ยกงพระดำเนินนำหน้าพระอนุชาทั้งหมด
หากจะว่ากันไปแล้วฉินรุ่ยกงกับองค์ชายอิ๋งหยางพระเชษฐาทรงพระอ่อนชันษาเพียงแค่ห้าวันเท่านั้น จึงทำให้กลายเป็นองค์ชายรอง ซึ่งแคว้นฉินได้จัดลำดับเชื้อพระวงศ์เอาไว้อย่างชัดเจน และต่างล่วงรู้กันดีว่าแท้จริงแล้ว เจ้าผู้ครองแคว้นพระองค์จริงจะต้องเป็นองค์ชายอิ๋งหยาง พระเชษฐาองค์โตซึ่งประสูติจากฮองเฮาพระองค์แรก
“พิธีฝังพระศพของอดีตเจ้าผู้ครองแคว้น หากองค์ชายใหญ่ไม่ได้รับบาดเจ็บเช่นนั้น ผู้ที่จะต้องถือป้ายวิญญาณและพระดำเนินนำหน้าพระองค์แรกจะต้องเป็นองค์ชายอิ๋งหยาง ตามโบราณราชประเพณีใช่หรือไม่”
“ตามโบราณราชประเพณีเป็นเช่นนั้นมิผิดแต่อย่างใด”
“แต่พระองค์จวนเจียนสิ้นพระชนม์แล้วถึงอย่างไรก็มิอาจมาร่วมพิธีได้อยู่ดี”
“อย่ามาเลย ขืนมาคงวุ่นวายเป็นแน่ ฝ่าบาทจะต้องอยู่ไม่เป็นสุขกว่าผู้ใด ใครๆ ก็ล่วงรู้ดีว่าพระองค์ทรงหวาดระแวงว่าพระเชษฐาจะหวนกลับมาทวงราชบัลลังก์คืน นี่ถ้าองค์ชายใหญ่สิ้นพระชนม์ลงคนที่ดีพระทัยมากกว่าใครก็คือฝ่าบาทนี่แหละ”
เสียงบรรดาข้าราชบริพารต่างพากันโจษขานจนเอ็ดอึงได้ยินไปทั่วบริเวณงาน ครั้นเจ้าผู้ครองแคว้นทรงเสด็จออกจากตำหนักที่ประทับเตรียมพร้อมเริ่มเคลื่อนขบวนพระศพไปยังสุสานหลวง หากแต่ตลอดเส้นทางที่ทรงพระดำเนินไปยังขบวนแห่ ถ้อยเจรจาของขุนนางน้อยใหญ่และข้าราชบริพารในราชสำนักเล็ดลอดเข้าสู่พระกรรณทำให้พระองค์ล่วงรู้ว่าเหล่าขุนนางในราชสำนักมีความคิดเช่นไร
พระพักตร์คมคายถมึงทึงแสดงออกมาอย่างเห็นได้ชัด ด้วยทรงไม่พอพระทัยเมื่อได้ยินการกล่าวถึงพระเชษฐาองค์โตเล็ดลอดมาถึงพระกรรณ ในขณะที่องค์ชายสามอิ๋งเฟิ่งซึ่งเดินตามหลังมาติดๆ แสยะยิ้มเหยียดด้วยความสะพระทัยเมื่อได้ทอดพระเนตรอาการของพระเชษฐามีปฏิกิริยาออกมาเช่นนั้น
“ข้าอยากจะรู้เสียจริงว่าเจ้าจะทนฟังข้าราชบริพารและขุนนางน้อยใหญ่ในราชสำนักเอ่ยถึงอิ๋งหยางได้สักกี่น้ำ หึหึหึหึ” เสียงพระสรวลดังเบาๆ อยู่ในพระศอก่อนจะได้ยินพระเชษฐามีรับสั่งถามกลับมา
“มีอะไรน่าขันอย่างนั้นรึอิ๋งเฟิ่ง” ฉินรุ่ยกงรับสั่งถามด้วยพระอารมณ์เต็มไปด้วยความขุ่นเคือง
“ฝ่าบาทจะสนพระทัยไปใย กระหม่อมแค่ขบขันความคิดของเหล่าขุนนาง จับความรู้สึกได้ว่าภายในราชสำนักเวลานี้มีเสียงสนับสนุนอิ๋งหยางมากกว่าที่คิดไว้อีกนะพ่ะย่ะค่ะ คงเป็นเพราะผลงานอันเป็นที่เลื่องลือไปทั่วทุกแคว้น แน่นอนว่าพสกนิกรย่อมที่จะปลอดภัยหากมีเจ้าผู้ครองแคว้นแข็งแกร่งเช่นนั้น แต่กระหม่อมว่ามีตาช่างหามีแววไม่เสียมากกว่า”
พระพักตร์ที่ถมึงทึงอยู่ก่อนหน้านี้แล้วพลันบึ้งตึงมากยิ่งขึ้นไปอีกครั้นทรงได้ยินเช่นนั้น ฉินรุ่ยกงมิทรงต้องการได้ยินหรือผู้ใดเอ่ยถึงพระนามพระเชษฐาแม้แต่น้อย หากแม้นไม่ติดว่าวันนี้เป็นพิธีฝังพระศพของพระราชบิดา พระองค์จะต้องมีรับสั่งตวาดเอ็ดอึงเหล่าข้าราชบริพารเป็นแน่แท้
ทันใดนั้นเอง
ยังมิทันจะถึงขบวนพระศพ พระเนตรกลับต้องเบิกกว้างขึ้นมาโดยพลันครั้นทอดพระเนตรบุรุษสูงใหญ่นั่งอยู่บนหลังอาชาสีดำทะมึน ฉลองพระองค์สีขาวเพื่อไว้ทุกข์ของเชื้อพระวงศ์ชั้นสูง หากแต่พระพักตร์กลับปิดบังด้วยหน้ากากสีเงินเอาไว้ ท่วงท่าองอาจน่าเกรงขาม ช่างสง่างามทว่าน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่งยวด แม้ว่าจะทอดพระเนตรจากจุดที่ทรงประทับอยู่ค่อนข้างไกล แต่พระองค์กลับจดจำลักษณะเด่นดังกล่าวได้อย่างแม่นยำ
ทันทีที่ทอดพระเนตรหน้ากากสีเงินสุรเสียงมีรับสั่งขึ้นมาทันที
“อิ๋งหยาง!” รับสั่งพระนามที่ทรงชิงชัง แต่ในขณะเดียวกันเกรงกลัวและหวาดระแวงมากที่สุดด้วยทรงสัมผัสกลิ่นอายสังหารของพระเชษฐาช่างน่าสะพรึงกลัวเป็นยิ่งนัก
และมีเพียงพระองค์เท่านั้นที่จดจำพระเชษฐาต่างพระมารดาได้เป็นอย่างดี ด้วยทรงประสูติเดือนเดียวกันแต่ห่างกันเพียงแค่ห้าวันเท่านั้น และทรงเคยทอดพระเนตรพระเชษฐาประทับอยู่อย่างโดดเดี่ยวในตำหนักที่แยกออกไปไกลจากเขตพระราชฐานชั้นใน พระพักตร์สวมหน้ากากเอาไว้ตลอดเวลา
อีกทั้งพระอนุชาองค์อื่นๆ มิเคยได้พานพบพระเชษฐาองค์โตเลยสักครา บางพระองค์เพิ่งประสูติ บางพระองค์ก็ยังมิทันได้ประสูติ และบางพระองค์เพิ่งจะเยาว์ชันษาดั่งเช่นองค์ชายสาม ซึ่งในขณะที่พระเชษฐาองค์โตถูกส่งไปพำนักอยู่เมืองชายแดน ทรงมีพระชนมายุเพียงแค่สองชันษาเท่านั้น ยังมิอาจจำความได้แม้แต่น้อย
ทันทีที่ฉินรุ่ยกงทอดพระเนตรพระเชษฐาปรากฏพระวรกายอยู่ด้าน หน้าขบวนพระศพ พระบาทหยุดชะงักโดยพลันมิยอมก้าวพระดำเนินอีกต่อไป เป็นเหตุให้เหล่าพระอนุชาซึ่งเสด็จพระดำเนินตามหลังมาต่างต้องหยุดตามท่ามกลางความแปลกใจของทุกพระองค์
“ฝ่าบาทหยุดเสด็จทำไมพ่ะย่ะค่ะ เหตุใดจึงไม่พระดำเนินต่อไป” องค์ชายอิ๋งเฟิ่งรับสั่งถามด้วยความแปลกพระทัย ในขณะที่พระเชษฐายืนนิ่งไม่ไหวติง พลางทอดพระเนตรจับจ้องอยู่แต่ตรงพระพักตร์
ครั้นองค์ชายสามทอดพระเนตรเช่นนั้นพระองค์หันกลับไปทิศทางดังกล่าวทันใด ก่อนจะทอดพระเนตรหัวหน้ากองทหารรักษาวังวิ่งหน้าตาตื่นตรงมายังจุดที่บรรดาเชื้อพระวงศ์ชายทั้งหมดทรงยืนอยู่ในขณะนี้
ทันทีที่มาถึงหัวหน้ารักษาวังรีบกราบทูลรายงานทันที
“กราบทูลฝ่าบาท องค์ชายใหญ่เสด็จมาร่วมพระราชพิธีฝังพระศพพ่ะย่ะค่ะ” สิ้นเสียงกราบทูล
“อะไรนะ! เจ้าพี่อิ๋งหยางเสด็จมาอย่างนั้นเหรอ” สุรเสียงองค์ชายสามรับสั่งออกมาโดยพลันครั้นทรงได้ยินเช่นนั้น ท่ามกลางสุรเสียงเอ็ดอึงของพระอนุชาดังขึ้นตามติดมา
“เจ้าพี่อิ๋งหยางเสด็จมาได้อย่างไรกัน ได้ยินข่าวว่าทรงได้รับบาดเจ็บสาหัสในศึกต้าเหลียงจนสิ้นพระชนม์ไปแล้วมิใช่หรอกรึ”
“ข่าวว่าจวนเจียนใกล้จะสิ้นพระชนม์น่ะ ฟังมาผิดหรือเปล่า แต่ถึงกระนั้นก็เถอะ ทรงบาดเจ็บสาหัสถึงเพียงนั้นจะหายเป็นปกติจนสามารถมาร่วมพระราชพิธีฝังพระศพได้อย่างไรกัน”
“ถ้าเช่นนั้นข่าวที่ได้ยินมาก็หาใช่ความจริงน่ะสิ ตรงกันข้ามทรงไม่เป็นอะไรเลยเสียมากกว่า”
สุรเสียงเอ็ดอึงของเหล่าอนุชาที่แสดงความคิดเห็นออกมาต่างๆ นานา ทำให้ฉินรุ่ยกงหันกลับไปทอดพระเนตรอนุชาที่จับมือเป็นพันธมิตรกันด้วยสายพระเนตรที่เต็มไปด้วยคำถาม
“นี่น่ะหรือผลงานของเจ้า! คุยเสียดิบดีว่าสามารถกำจัดอิ๋งหยางได้แน่นอน นี่ไงล่ะ...กำจัดอีท่าไหนถึงได้มาร่วมมางานฝังพระศพของเสด็จพ่อในวันนี้ได้ เจ้าเองก็ล่วงรู้ดีว่าหากอิ๋งหยางมางานวันนี้อำนาจของข้าจะถูกคนผู้นั้นสั่นคลอนเพียงใด!” รับสั่งถามสุรเสียงเย็นยะเยียบ
ในขณะที่พระอนุชาได้แต่ยืนก้มพระพักตร์นิ่ง หากแต่ภายในพระทัยเต็มไปด้วยแรงพิโรธที่ถูกพระเชษฐาต่อว่าพระองค์เช่นนี้ ทว่าพระเชษฐารองยังไม่ร้ายกาจเท่ากับพระเชษฐาองค์โตแม้แต่น้อย สิ่งที่ทรงต้องกังวลอย่างยิ่งยวดคือการปรากฏพระวรกายของพระเชษฐาอิ๋งหยางอยู่ในนี้
“เหตุใดคนผู้นี้ไม่ตายอย่างที่คิดเอาไว้ โผล่หัวมาในงานนี้ได้เยี่ยงไร... บัดซบสิ้นดี!” รับสั่งรำพึงอยู่ภายในพระทัย ท่ามกลางเสียงเอ็ดอึงที่เริ่มแผ่ขยายออกเป็นวงกว้าง ต่างโจษขานกับการปรากฏพระวรกายขององค์ชายอิ๋งหยาง
“หุบปาก!” พระสุรเสียงตวาดดังก้องครั้นทรงได้ยินเสียงเอ็ดอึงจนฟังไม่ได้ศัพท์
ผู้คนทุกชีวิตที่อยู่ในบริเวณนั้นเงียบงันลงไปโดยพลัน แต่ละคนรีบก้มหน้ามองพื้นโดยมิได้นัดหมายเมื่อพระพักตร์ที่สวมหน้ากากสีเงินหันกลับมาทอดพระเนตร ความรู้สึกของชีวิตที่อยู่ภายในบริเวณนั้นต่างกลัวตายกันทั้งสิ้น หากหน้ากากสีเงินนั้นถูกปลดออกจากพระพักตร์
พระวรกายใหญ่กระโดดลงจากหลังม้าอย่างรวดเร็ว พร้อมพระดำเนินย่างสามขุมตรงเข้าไปหาบรรดาพระอนุชาทั้งหลายที่พากันยืนอยู่ไม่ไกลจากจุดขบวนพระศพเท่าใดนัก และท่าทีดังกล่าวทำให้ฉินรุ่ยกงก้าวพระบาทถอยหลังด้วยความรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาทันที
“องครักษ์! ขวางเอาไว้อย่าให้เข้ามาหาข้า” รับสั่งเรียกหาองครักษ์จ้าละหวั่น
ทันทีที่เจ้าผู้ครองแคว้นมีรับสั่งเช่นนั้น เหล่าทหารองครักษ์เตรียมชักดาบเพื่อถวายอารักขา แต่แล้วก็ต้องหยุดชะงักเมื่อหน้ากากสีเงินหันกลับมาทอดพระเนตร
“พวกเจ้ากล้ารึ!” รับสั่งตวาดกลับไปสายพระเนตรเย็นยะเยียบจับจ้องเหล่าทหารองครักษ์เขม็ง
เอื๊อก!!! บรรดาทหารองครักษ์ต่างกลืนน้ำลายลงคอไปตามๆ กัน แต่ละคนรีบเก็บอาวุธพร้อมก้าวถอยหลังเข้าไปประจำจุดของตนเองตามเดิม ท่ามกลางความตกพระทัยของฉินรุ่ยกง
“พวกหน้าโง่! ข้าเป็นเจ้าผู้ครองแคว้นเหตุใดจึงไม่ทำการอารักขา ใยจึงไม่ฟังคำสั่งของข้า!!!” รับสั่งตวาดกองทหารองครักษ์ด้วยความพิโรธอย่างยิ่งยวด หากแต่ยังมิทันจะมีรับสั่งสิ่งใดสุรเสียงของพระเชษฐาตวาดกร้าวกลับมา
“หุบปากซะอิ๋งเหว่ย!” รับสั่งพร้อมพระดำเนินเพียงก้าวเดียวก็มาปรากฏพระวรกายอยู่ตรงหน้าพระอนุชารอง ท่ามกลางความตื่นตระหนกของทุกๆ พระองค์
หมับ!!! พระหัตถ์ยกขึ้นจับพระศอของอนุชารองทันทีที่เสด็จมาถึง ในขณะที่อีกฝ่ายพยายามดิ้นรนแต่ก็หารอดออกจากการเกาะกุมของพระเชษฐาไปได้ และนั่นทำให้บรรดาพระอนุชาทั้งหลายต่างพากันก้าวถอยหลังให้พ้นรัศมีบริเวณนั้นทันที รวมถึงองค์ชายสามด้วยเช่นกัน ทรงก้าวถอยหลังเอาตัวรอดเป็นพระองค์แรก
“ถอยตั้งหลักก่อนดีกว่า เกิดเหตุอะไรขึ้นจะได้หนีเอาตัวรอดได้ทัน ไม่คิดเลยว่าเจ้าพี่อิ๋งหยางช่างน่าสะพรึงกลัวเสียนี่กระไร... บรื้อออ!!!” รับสั่งพึมพำพลางเฝ้าสังเกตการณ์อยู่ตลอดเวลา
องค์ชายอิ๋งหยางทอดพระเนตรพระอนุชารองผ่านหน้ากากสีเงิน รอยแสยะยิ้มเหยียดปรากฏขึ้นบนพระพักตร์หากแต่มิมีผู้ใดสามารถเห็นได้ว่าช่างน่าสะพรึงกลัวเยี่ยงไร
“จะ... เจ้า... เจ้าพี่จะทรงทำอะไรข้า แล้วเหตุใดจึงพระดำเนินเร็วนักเล่า เพียงก้าวเดียวก็ถึงตัวข้าแล้ว นี่พระองค์ทรงเป็นปีศาจดั่งคำเล่าลือจริงๆ หรือพ่ะยะค่ะ” เจ้าผู้ครองแคว้นรับสั่งถามสุรเสียงสั่น
ในขณะเดียวกันก็ไม่วายพยายามให้ร้ายว่าพระเชษฐาทรงเป็นปีศาจอยู่ร่ำไปในขณะเดียวกันทรงพยายามดิ้นรนที่จะแกะพระหัตถ์ของพระเชษฐาที่ทรงประคองพระศอของพระองค์อยู่ในขณะนี้ด้วยพระหัตถ์เพียงข้างเดียว
“กลัวข้ามากถึงเพียงนี้เชียวรึอิ๋งเหว่ย!” รับสั่งถามสุรเสียงเย็นยะเยือก
เอื๊อก!!! ฉินรุ่ยกงกลืนน้ำลายลงคอทันทีครั้นได้ยินพระเชษฐาถามกลับมาเช่นนั้น
“จะ... เจ้า...เจ้าพี่คิดว่าพระองค์ทรงไม่น่ากลัวอย่างนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ”
ครั้นองค์ชายอิ๋งหยางทรงได้ยินพระอนุชามีรับสั่งยอมรับออกมาเช่นนั้น พระหัตถ์ที่กำลังบีบพระศอเพียงแค่เบาๆ ทว่าตรงกันข้ามกับคนถูกบีบไม่ได้เบามือแต่ประการใด แต่กลับหนักหน่วงหายใจแทบไม่ออกเสียด้วยซ้ำ พลางโน้มพระวรกายที่มีความสูงมากกว่าพระอนุชาห่างกันหลายคืบเลยทีเดียว ทำให้อนุชารองพระวรกายแลดูเล็กลงไปครั้นเทียบกับพระเชษฐาที่สูงใหญ่ บึกบึนน่าเกรงขามสมเป็นนักรบเจนศึกสงคราม
“หายใจไม่ออกรึ!” รับสั่งถามกลับไปเบาๆ
“พะ... พ่ะย่ะค่ะ” เจ้าผู้ครองแคว้นรับสั่งตอบกลับไปด้วยความยากเย็น
พรืด!!! พระหัตถ์ใหญ่กระชากออกจากพระศอของอนุชารองทันใด
ตุบ!!! พระวรกายของฉินรุ่ยกงทรุดฮวบลงกับพื้นทันทีครั้นถูกปล่อยเป็นอิสระ
แค่ก แค่ก แค่ก!!! สุรเสียงไอดังขึ้นติดต่อกัน ก่อนจะหยุดลงโดยพลันเมื่อพระเชษฐาทรุดพระวรกายลงนั่งยองอยู่ตรงหน้าพระพักตร์ พร้อมใช้นิ้วพระหัตถ์เชยปลายคางให้เงยขึ้นทอดพระเนตร
“มองหน้าข้าอิ๋งเหว่ย!!!” สุรเสียงรับสั่งเฉียบขาด ดังจนได้ยินไปทั่วบริเวณ
ฉินรุ่ยกงไม่มีทางหลีกเลี่ยงหรือปฏิเสธได้แต่อย่างใด จำต้องเงยพระพักตร์ขึ้นทอดพระเนตรพระเชษฐาซึ่งมีหน้ากากสีเงินปิดบังพระพักตร์ด้วยความจำยอม
“ข้ากลับเมืองหลวงครั้งนี้เพียงแค่ต้องการฝังพระศพเสด็จพ่อ อย่าตื่นตระหนกหรือหวาดระแวงเกินกว่าเหตุ หาไม่แล้วข้าราชบริพารจะคิดว่าเจ้าเกรงกลัวข้าผู้เป็นพระเชษฐาพระองค์ใหญ่ยิ่งนัก จงทำตนให้สมกับเป็นเจ้าผู้ครองแคว้นเข้าใจที่ข้าพูดหรือไม่” รับสั่งกำชับสุรเสียงเย็นยะเยียบ
“ขะ... เข้าใจพะย่ะค่ะ” ฉินรุ่ยกงรับสั่งตอบกลับไป
พระเนตรปิดลงทันทีด้วยความหวาดกลัวพระเชษฐามิยอมลดน้อยถอยลงไปแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามการพบกันครั้งนี้ในรอบสิบเอ็ดปี ซึ่งต่างฝ่ายเจริญวัยเต็มที่แล้ว ทว่าพระองค์กับพระเชษฐาใยจึงช่างแตกต่างกันดั่งฟ้ากับเหวเช่นนี้ ก่อนจะได้ยินสุรเสียงของพระเชษฐาดังกระหึ่ม
“ข้ากลับเมืองหลวงครั้งนี้! เพียงแค่ต้องการมาฝังพระศพพระบิดา อนุชาของข้าทั้งหลายจงอย่าวิตกหรือหวั่นเกรงว่าข้ากลับมาเพื่อจุดประสงค์อื่น! แต่ตามโบราณราชประเพณีของแคว้นฉิน พระโอรสองค์โตของอดีตเจ้าผู้ครองแคว้นจะต้องถือป้ายวิญญาณนำหน้าเชื้อพระวงศ์อื่นๆ และเป็นผู้นำในการทำพิธีฝังพระศพ”
รับสั่งพร้อมกวาดสายพระเนตรไปทั่วบริเวณ ซึ่งเหล่าพระอนุชาและบรรดาขุนนางชั้นผู้ใหญ่ ตลอดจนข้าราชบริพารยืนฟังกันอย่างคับคั่ง
“เพราะฉะนั้นพวกเจ้าทั้งหลาย! รีบไปตั้งแถว! ถึงเวลาเคลื่อนขบวนพระศพแล้ว!!!” สุรเสียงดังกึกก้องจนทำให้ทุกชีวิตที่อยู่ภายในบริเวณนั้นหยุดชะงักไปชั่วขณะ
แต่แล้วเพียงครู่ต่างพากันรู้สึกพระองค์ บรรดาพระอนุชารีบวิ่งตรงดิ่งไปตั้งแถวกันอย่างเป็นระเบียบ ท่ามกลางความพึงพอพระทัยขององค์ชายอิ๋งหยาง
“กองทหารองครักษ์ถวายอารักขาขบวนพระศพอดีตเจ้าผู้ครองแคว้น!” สุรเสียงมีพระบัญชากับกองทหารองครักษ์รักษาวังออกไปทันที
“พ่ะย่ะค่ะ!!!” กองทหารองครักษ์ขานรับเสียงกึกก้อง ก่อนจะพากันแยกย้ายทำหน้าที่ของตนโดยไม่ต้องมีรับสั่งย้ำเป็นอีกครั้งที่สองแต่ประการใด
ท่ามกลางรอยแสยะยิ้มเหยียดขององค์ชายปีศาจซึ่งถูกหน้ากากสีเงินปิดบังพระพักตร์
“ก็แค่นั้น… มีแต่เด็กอ่อนหัดช่างผิดไปจากที่ข้าคิดเอาไว้เสียนี่กระไร” รับสั่งสุรเสียงรำพึง
เมื่อการมาเมืองหลวงเป็นครั้งแรกในรอบยี่สิบปี หลังจากถูกพระบิดาเนรเทศให้ไปอยู่ชายแดนทรงกลับมาเพื่อหยั่งเชิงกำลังและประเมินความคิดของเหล่าราชวงศ์และบรรดาขุนนางในราชสำนักว่ามีความคิดกับพระองค์เช่นไรในยามนี้ หากแต่จุดประสงค์ที่แท้จริงนั่นก็คือ
ต้องการลบความเชื่อว่าพระองค์ทรงเป็นต้นเหตุที่จะทำให้แคว้นล่มสลายหากได้ขึ้นครองแคว้น ซึ่งมาจากคำพูดของโหรหลวงเพียงประโยคเดียวเท่านั้น และเป็นประโยคที่สร้างความทุกข์ทรมานให้กับพระองค์จนถึงทุกวันนี้
พระวรกายสูงใหญ่ขององค์ชายอิ๋งหยางพระดำเนินตรงไปประจำตำแหน่งของพระองค์ทันที ป้ายวิญญาณของพระบิดาถูกนำมามอบให้ในฐานะทรงเป็นพระโอรสองค์โต พระบาทก้าวนำหน้าพระดำเนินออกไปอย่างมั่นคง โดยมีพระอนุชาองค์อื่นๆ เสด็จตามหลังอย่างเป็นระเบียบไม่เว้นแม้กระทั่งเจ้าผู้ครองแคว้นองค์ปัจจุบันยังต้องพระดำเนินตามหลังพระเชษฐาต่างพระมารดา ด้วยความรู้สึกอดสูพระทัยอย่างยิ่งยวด
พระองค์เป็นถึงเจ้าผู้ครองแคว้นองค์ปัจจุบันแต่มิอาจมีพระราชอำนาจในตัวเองอย่างล้นเหลือดั่งเช่นพระเชษฐาแม้แต่น้อย เสียงชื่นชมของเหล่าข้าราชบริพารต่างเริ่มมีกระแสเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในทิศทางที่เปลี่ยนไป ไม่เว้นแม้กระทั่งพระอนุชาองค์อื่นๆ ที่ยังไม่เคยพานพบพระเชษฐาพระองค์ใหญ่ บัดนี้กลับกลายเป็นว่า หันมาชื่นชมในความองอาจที่เต็มไปด้วยพระราชอำนาจสมเป็นเจ้าผู้ครองแคว้นเป็นยิ่งนัก