ปี๊นๆๆ เสียงบีบแตรดังลั่นก่อนที่รถยนต์กลางเก่ากลางใหม่จะขับเข้ามาจอดยังโรงเก็บรถ ก่อนที่ร่างของนางผกากรองจะก้าวออกมา พร้อมกับเสียงก่นด่าไม่หยุดปาก
“ชักช้า ยืดยาดจริงๆ เชียวแกเจ้ายอด มัวทำอะไรอยู่ห๊ะ!!! กับอีแค่มาเปิดประตูให้ฉันเดี๋ยวแม่ก็ไล่ออกตามอีนางพวกขี้ข้าพวกนั้นออกไปซะนี่”
นางผกากรองตวาดเสียงใส่ลูกจ้างที่เหลืออยู่ในบ้านเพียงคนเดียวเท่านั้น นอกนั้นนางจัดการไล่ออกไปจนหมด โดยให้คำอธิบายกับนายบัญชาว่าเพื่อเป็นการประหยัดค่าใช้จ่าย
“ผมอยู่หลังบ้านครับคุณผกากรอง คราวหลังผมจะไม่ช้าอีกแล้วครับ อย่าให้ผมออกเลยครับ” ยอดยกมือไหว้ปลกๆ
“คราวหลังถ้าแกให้ฉันรออีกละก็ ฉันไล่แกออกแน่ๆ แล้วนี่ยัยบัวมันยังไม่กลับมาจากทำงานอีกเหรอนี่”
นางผกากรองถามเสียงดัง เมื่อไม่เห็นรถของบัวชมพูจอดอยู่ภายในบ้าน
“ยังครับ ผมยังไม่เห็นคุณบัวกลับมาเลยครับ” ยอดตอบไปตามความจริง
“ไป! จะไปไหนก็ไป เหม็นขี้หน้า!!!” นางผกากรองตวาดไล่เสียงดัง
“ครับๆ ไปแล้วครับ” ยอดรีบวิ่งหนีไปจากตรงนั้นทันที
นางผกากรองฟึดฟัดเดินกระแทกส้นเท้าขึ้นบันไดเข้าบ้านไป ก่อนจะปิดประตูเสียงดังอย่างไม่พอใจ แต่ก็ต้องรีบปรับสีหน้าให้ดีขึ้นกว่าเมื่อครู่นี้หน่อย เพราะเหลือบเห็นนายบัญชานั่งดูโทรทัศน์อยู่
“อ้าว!.. มาแล้วเหรอผกากรอง วันนี้กลับบ้านเร็วนี่” นายบัญชาถามเสียงเรียบ
“ค่ะ! วันนี้งานเสร็จเร็วก็เลยได้กลับไวหน่อย ยัยบัวค่ำป่านนี้แล้วยังไม่กลับมาอีกเหรอคะ ชักจะเหลวไหลใหญ่แล้ว ยังไงคุณพี่ก็ปรามๆ ไว้บ้างนะคะ”นางผกากรองจีบปากจีบคอพูดใส่ไฟลูกเลี้ยงเสียงดัง
นายบัญชาได้แต่มองตามแต่ไม่ปริปากพูดอะไรออกมาสักคำ ชายสูงวัยไม่อยากให้นางผกากรองรู้ว่าบัวชมพูนั้นไปอยู่ที่อื่นแล้ว เขาจะต้องสืบหาความจริงให้ได้ว่าเรื่องที่เขาให้คนตามสืบมานั้นเป็นความจริงหรือไม่เกี่ยวกับการติดหนี้พนันของนางผกากรอง
ยิ่งเมื่อหลายวันก่อนที่เขาได้ยินทางโทรศัพท์ว่านางผกากรองคิดจะเอาลูกสาวของเขาไปให้กับท่านคนหนึ่งนั้นเป็นความจริงหรือเปล่า ผู้หญิงที่เขาใช้ชีวิตอยู่ด้วยคิดจะทำร้ายทำลายลูกสาวของเขาจริงๆ น่ะหรือ หรือว่าหล่อนถูกบังคับให้ทำ นี่คือสิ่งที่เขาจะต้องรู้ให้ได้!
“จะบ่นไปทำไมกัน รถคงติดกระมัง เดี๋ยวอีกสักหน่อยก็คงจะกลับมาแล้วล่ะ มาเหนื่อยๆ ไปอาบน้ำอาบท่าเถอะ เดี๋ยวฉันจะรอลูกเอง”
“แต่ยัยบัวไม่เคยกลับผิดเวลานะคะคุณพี่ ผกาว่าคุณพี่ดูไม่ค่อยจะห่วงยัยบัวเท่าไหร่เลยนะคะ ทุกทีเห็นผิดเวลาหน่อยก็โทรตามยิกๆ น่ะ”
นางผกากรองซักอย่างจับสังเกต นางลองแกล้งแหย่คำถามแบบนี้ไปดูสิว่านายบัญชาจะเป็นอย่างไร อยากจะให้พ่อมันเต้น ร้อนรนเพราะห่วงลูกมันจนทนไม่ได้
‘นึกแล้วก็เจ็บใจ นึกว่าได้ผัวรวยแล้วจะสบาย ที่ไหนได้ รวยอยู่ไม่กี่ปี สบายอยู่ไม่เท่าไหร่ ไอ้แก่นี่ก็มารถคว่ำกับลูกสาวมันซะนี่ ลูกมันก็ไม่ตาย ดวงดีซะจริง หนำซ้ำไอ้แก่นี่ก็มาพิการเดินไม่ได้อีก ต้องมาเสียเงินเสียทองรักษามันก็ตั้งมาก ทำไมมันไม่ตายๆ กันไปซะนะ สมบัติมันจะได้ตกมาอยู่กับฉันคนเดียว’ นางผกากรองคิดในใจอย่างแค้นเคือง
“โธ่ผกา! ก็นี่มันเพิ่งจะเลยเวลามาไม่เท่าไหร่ แล้วเธอเองก็กลับมาบ้านเร็วกว่าปกติ ฉันก็มีเพื่อนอยู่บ้าน ไม่ต้องอยู่แต่กับเจ้ายอดมัน เดี๋ยวอีกสักพักลูกบัวก็คงจะกลับ ไม่เห็นว่ามันจะแปลกตรงไหนเลย แต่ฉันว่าวันนี้เธอดูแปลกๆ ไปนะ เป็นอะไรหรือเปล่า”
นายบัญชาพูดเบี่ยงเบนความสนใจ ก่อนจะย้อนถามนางผกากรองกลับไป ทำให้นางอึกอักพูดอะไรไม่ถูกที่โดนย้อนถามกลับมาบ้าง
“แปลกตรงไหนกันคะ ผกาก็เหมือนเดิมแหละค่ะ ไม่เอาแล้ว ผกาไปอาบน้ำก่อนดีกว่า”
นางรีบตอบกลับมาเสียงสูง ก่อนจะเดินหนีขึ้นไปบนห้องทันที โดยมีนายบัญชามองตามหลังนางไปอย่างคนช้ำใจ
‘บัวลูกพ่อ พ่อจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้ลูกของพ่อปลอดภัย ลูกพ่อต้องปลอดภัย’
ทางด้านบัวชมพู
“อิ่มแล้วเหรอ ทานไปนิดเดียวเอง” เสียงทุ้มถามด้วยความเป็นห่วง
“ค่ะ... ฉันอิ่มแล้ว” หญิงสาวตอบเสียงแผ่วเบาก่อนจะพูดขึ้นอีกครั้ง
“คือฉันขอบอกตรงๆ นะคะว่าฉันห่วงคุณพ่อ ฉันกับคุณพ่อไม่เคยอยู่ห่างกันเลย”
“ฉันอยากให้เธอทำใจให้สบาย เธอต้องอยู่ที่นี่จนกว่าฉันจะจัดการกับคนที่ทำร้ายเธอให้ได้ซะก่อน อีกอย่างฉันก็รับปากพ่อของเธอไว้แล้วว่าจะดูแลเธอเป็นอย่างดี ขอให้เธอมั่นใจ เธอจะอยู่ที่นี่อย่างปลอดภัย ฉันรับรอง”
อลันบอกกับหญิงสาวด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้ม นานเท่าไหร่แล้วหนอที่เขาไม่ได้มีความสุขเช่นนี้
“ถึงฉันจะอยู่ที่นี่ แต่ยังไงพรุ่งนี้ฉันก็ต้องไปทำงานอยู่ดีนั่นแหละค่ะ”
“จริงสินะ” อลันคิดตามก่อนจะเผยยิ้มออกมาพร้อมเอ่ยขึ้น
“เอาอย่างนี้ พรุ่งนี้เธอโทรไปลาออกจากงานซะ แล้วก็มาทำงานให้กับฉันแทน ตอนนี้เธอทำงานอะไรอยู่ล่ะ”
“หา! ลาออกจากงานหรือคะ ฉันคงไม่ต้องรบกวนคุณอลันถึงขนาดนั้นต้องหรอกนะคะ ถ้าหากเรื่องที่เกิดกับฉันในวันนี้คุณสามารถจัดการให้มันจบได้โดยเร็ว ฉันก็ไม่ต้องออกจากงานหรอกค่ะ เพราะบริษัทที่ฉันทำน่ะมันเป็นของครอบครัวของฉันเอง แต่ที่ฉันบอกว่าจะไปทำงานน่ะก็เพราะว่าฉันห่วง” หญิงสาวพูดเสียงแข็งขึ้นมาทันที
“อ้าว!... แล้วเธอก็ไม่บอกว่าเป็นบริษัทของพ่อเธอ แล้วบริษัทเธอทำธุรกิจเกี่ยวกับอะไรล่ะ เล่าให้ฉันฟังหน่อยได้ไหม มันอาจจะเป็นเบาะแสให้กับฉันได้บ้างก็ได้นะ”
พูดจบอลันก็เห็นปฏิกิริยาของหญิงสาวในทันที เธอมีท่าทางกระตือรือร้นในสิ่งที่เขาถามเป็นอย่างมาก
บัวชมพูยิ้มตอบกลับมาให้ชายหนุ่มตรงหน้าทันทีที่เขาพูดถึงคำว่า ‘เบาะแส’
“ได้ค่ะได้ ถ้าคุณอยากรู้ฉันจะเล่าให้ฟังค่ะ ถ้าอย่างนั้นฉันเล่าเลยนะคะ ครอบครัวของฉันมีบริษัทอยู่ด้วยกันทั้งหมดสามแห่ง แต่ตอนนี้เหลือเพียงแห่งเดียวคือบริษัทที่ฉันรับผิดชอบซึ่งเป็นของขวัญที่คุณพ่อยกให้ตอนฉันอายุครบยี่สิบปีบริบูรณ์ และหลังจากที่ฉันรับปริญญาได้เพียงแค่สามวันท่านก็ประสบอุบัติเหตุรถคว่ำจนต้องพิการ บริษัทของเราไม่ได้ใหญ่โตอะไรหรอกค่ะ พนักงานก็ไม่มากเท่าไหร่ ดิฉันเองก็เพิ่งจะเข้าไปบริหารอย่างเต็มตัวได้สักครึ่งปีนี่เองค่ะ เราทำเกี่ยวกับเบเกอรี่ จำพวกขนมปังอบ แยมโรล ขนมจีบ แฮมเบเกอร์ อาหารที่ทานได้ทุกช่วงเวลาน่ะค่ะ”
บัวชมพูเริ่มแจกแจงรายละเอียดในสิ่งที่ชายหนุ่มตรงหน้าอยากรู้
“แล้วคุณส่งที่ไหนบ้างล่ะ”อลันถามต่อ
เมื่อชายหนุ่มมองเห็นใบหน้าที่มีความสุขในยามที่เอ่ยถึงกิจการของครอบครัว แม้บางช่วงที่เล่าน้ำเสียงจะออกสั่นเครือบ้างในบางครั้ง
“อ้อ เรามีหน้าร้านอยู่สิบกว่าที่น่ะค่ะ และก็ตามห้างสรรพสินค้าที่เราส่งเข้าไป ตามสถานีขนส่งที่เขาติดต่อขนมของเราให้จัดเป็นเซตไว้บริการลูกค้าตามรถทัวร์ก็มีค่ะ ก็มีเพียงเท่านี้แหละค่ะ”
“อืม ฟังจากที่เธอเล่ามาแล้วก็ไม่น่าจะมีตรงไหนที่จะไปขัดแข้งขัดขาใครในเรื่องธุรกิจนั้นเลยนะ” นายใหญ่แห่งเวิลด์สกายเริ่มวิเคราะห์
“ค่ะ ธุรกิจของเรามีคู่แข่งไม่มากหรอกค่ะ แล้วเราก็ไม่ได้เร่งขยายธุรกิจอะไรมากมายนัก ฉันเองก็ยังใหม่มาก ต้องใช้เวลาอีกเยอะค่ะ”
“เธอบอกว่าเพิ่งจะเข้าไปบริหารได้ไม่ถึงปี แล้วเมื่อก่อนใครเป็นคนดูแลล่ะ” อลันซักต่อ
ใบหน้าหญิงสาวสลดลงอย่างเห็นได้ชัด นัยน์ตาสวยดูเศร้าลงทันที
“เมื่อก่อนคุณพ่อเป็นคนบริหารเองทั้งสามแห่ง แต่พอท่านประสบอุบัติเหตุรถคว่ำ คุณน้าผกากรองก็จัดการขายบริษัทที่คุณพ่อรักมากไป คือคุณน้าผกากรองเป็นแม่เลี้ยงของฉันเองค่ะ คุณน้าบอกว่าค่าใช้จ่ายในการรักษาคุณพ่อสูงมาก อีกอย่างฉันเองก็ยังเรียนไม่จบ จะเข้ามาบริหารทั้งสามแห่งก็คงจะเป็นไปไม่ได้ คุณพ่อก็เลยยอมค่ะ”
มือเรียวใหญ่ของชายหนุ่มถูไปมาที่คางสากอย่างใช้ความคิด
“แล้วแม่เลี้ยงเธอคนนี้เคยเข้าไปช่วยงานของพ่อเธอบ้างหรือเปล่า”
“ไม่หรอกค่ะ คุณน้าผกาบอกว่าเหนื่อย นั่งนานไม่ไหว เอกสารมันมากอ่านแล้วลายตา จริงๆ คุณน้าเองก็คงอยากจะขายให้หมดทั้งสามบริษัทซะมากกว่า แต่ติดที่ว่าอีกหนึ่งแห่งที่เหลือมันถูกโอนมาเป็นชื่อของฉันซะก่อนก็เลยขายไม่ได้ เพราะว่าฉันเองก็คงจะไม่ยอมหรอกค่ะ”
หญิงสาวเค้นเสียงพูดพลางยิ้มเยาะให้กับโชคชะตาของครอบครัว แล้วพูดต่อ
“ใครจะยอมให้ขายสิ่งที่คุณพ่อกับคุณแม่ของฉันร่วมกันสร้างมันขึ้นมาล่ะ จริงไหมคะคุณอลัน”บัวชมพูพูดพร้อมกับมองสบตาชายหนุ่มตรงหน้าไม่ยอมหลบ
“งั้นก็แสดงว่าคุณเองก็เป็นเจ้าของธุรกิจตั้งแต่อายุยังน้อยน่ะสิ”
“จะว่าอย่างนั้นก็ได้ค่ะ”
หญิงสาวยิ้มรับโดยไม่คิดที่จะปฏิเสธ ในเมื่อมันคือเรื่องจริง
เรื่องราวที่เกี่ยวกับบริษัทของหญิงสาวที่อลันอยากรู้ บัวชมพูได้เล่าให้เขาไปแล้วคร่าวๆ ต่อไปก็คงจะเป็นหน้าที่ของเขาเองกระมังที่จะต้องหาข้อมูลเชิงลึกต่อไป
ชายหนุ่มนิ่งคิดไปนิด ก่อนจะมองสบตากับหญิงสาวตรงหน้าที่ตอนนี้จ้องมองเขาตาแป๋วอย่างอยากรู้ เหมือนกับว่าเขาอยากที่จะถามอะไรเธอต่ออีกหรือไม่ ซึ่งการมองของเธอนั้นมันทำให้หัวใจของอลันกระตุกวูบขึ้นมาแถมยังเต้นแรงอย่างคาดไม่ถึง
ดวงตาที่มองตรงมาของหญิงสาวมันสื่อถึงความจริงใจออกมาให้ อลันพิศมองใบหน้ารูปไข่เรียวสวยที่ไร้เครื่องสำอาง กลิ่นแป้งหอมอ่อนๆ ที่ลอยมาเตะจมูกเขามันช่างชวนเชิญให้เขาเข้าไปดอมดมยิ่งนัก
ดวงตาหญิงสาวนั้นกลมโตเหมือนดั่งตากวาง ขนตาก็ช่างงอนยาว ยามกะพริบยิ่งเหมือนกับผีเสื้อที่กำลังโบยบิน จมูกก็โด่งสวยขึ้นสันงามยิ่งนัก โอย... นี่เขาแทบจะอดใจเอาไว้ไม่ไหวอยู่แล้ว มันเกิดอะไรขึ้นกับเขากันแน่นะ เขาอยากที่จะเข้าไปจูบสัมผัสกับแก้มเนียนนุ่มของหญิงสาวที่ตอนนี้กำลังเป็นสีชมพูระเรื่อขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด
เส้นผมนุ่มสลวยที่สยายอยู่เต็มแผ่นหลังนั้นช่างเงางาม บางส่วนพลิ้วไหวเคลียอยู่ข้างแก้มยิ่งทำให้ใบหน้าของหญิงสาวช่างสวยงามประดุจนางฟ้า
‘ ใช่ เธอคือนางฟ้า นางฟ้าของฉัน’ อลันคิดเช่นนั้น
บัวชมพูได้แต่นั่งหันซ้ายหันขวา หญิงสาววางตัวไม่ถูกไม่รู้จะพูดอะไรต่อดี เมื่อถูกชายหนุ่มตรงหน้าจ้องมองอยู่แบบนั้น เขาไม่ได้มองอย่างหื่นกระหายหรือมองเธออย่างน่าเกลียด แต่มันบอกไม่ถูก มันทำให้เธอรู้สึกวูบวาบร้อนหนาวสลับกัน จนตอนนี้ตัวเธอแทบจะสุกเพราะความอายได้แล้วกระมัง
‘เขาอยากรู้เรื่องที่บริษัทเธอก็เล่าให้เขาฟังแล้ว แล้วเขาอยากจะได้ข้อมูลอะไรเพิ่มอีกหรือเปล่านะ ไม่พูดไม่จาเลย เอาแต่นั่งจ้องหน้าอยู่นั่นแหละ เขินนะเนี่ย’ หญิงสาวคิดในใจ ก่อนจะเป็นฝ่ายเอ่ยการสนทนาต่อ
“เอ่อ...คุณอลันมีอะไรที่จะถามฉันเพิ่มเติมอีกหรือเปล่าคะ ถ้าไม่มีแล้วฉันจะได้ขอตัวไปพักผ่อน คุณอลันคะ คุณฟังฉันอยู่หรือเปล่าคะ”
หญิงสาวเอ่ยเรียกเสียงค่อนข้างดัง เมื่อชายหนุ่มตรงหน้าไม่มีทีท่าจะตอบสนองกับคำถามของหญิงสาวเลยแม้แต่น้อย
“เอ่อ...ฟังสิ ฉันฟังเธออยู่ แต่ที่ไม่ตอบเพราะว่ากำลังคิดอยู่ว่าเป็นพวกไหนกันที่อยากจะได้ตัวเธอไป” อลันรีบบอกแก้เก้อ
ใบหน้าของนายใหญ่แห่งเวิลด์สกายนิ่งสนิท แต่มันกลับไปแดงอยู่ที่ใบหูแทน ถ้าไม่สังเกตให้ดีจะไม่มีทางรู้ได้เลยว่าตอนนี้หนุ่มใหญ่กำลังเขินหญิงสาวตรงหน้าอยู่ มีเพียงเมฆกับกลดเท่านั้นที่เห็น สองหนุ่มบอดี้การ์ดคู่ใจถึงกับลอบยิ้มให้กับวิธีแก้ตัวของเจ้านายตนเอง
“ฉันว่าเดี๋ยวพรุ่งนี้เราค่อยมาคุยกันต่อดีกว่านะ แล้วก็โทรสั่งงานทางโทรศัพท์ดีกว่านะ ช่วงนี้เธอไม่ค่อยปลอดภัย ฉันไม่อยากให้เธอไปปรากฏตัวที่ไหน เธอมีคนที่ไว้ใจได้หรือเปล่าล่ะ ให้คนคนนั้นดูแลงานให้เธอช่วงนี้ไปก่อนเถอะ แล้วเรื่องพ่อของเธอก็ไม่ต้องเป็นห่วง ฉันสั่งคนของฉันให้ไปคอยดูแลอยู่ใกล้ๆ แล้วล่ะถึงแม้ว่าเขาจะไม่ต้องการ”
อลันเสนอความคิด และบอกถึงสิ่งที่เขาได้จัดการลงไปแล้วในเรื่องของนายบัญชา แม้ว่านายบัญชาจะปฏิเสธไม่ให้เขาส่งคนไปคอยดูแล ซึ่งเขาก็ยอมทำตามที่พ่อของหญิงสาวร้องขอ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่ส่งคนไปคอยสังเกตการณ์อยู่ห่างๆ นี่นา
บัวชมพูยิ้มออกมาทั้งหน้าและปาก เดินเข้ามาใกล้ชายหนุ่มด้วยความดีใจ ก่อนจะยกมือขึ้นพนมไหว้เขาอย่างสวยงามเป็นการขอบคุณ
“ขอบคุณคุณมากนะคะที่กรุณาในเรื่องคุณพ่อของฉัน ส่วนเรื่องคนไว้ใจที่คุณพูดถึงฉันมีค่ะ เป็นเพื่อนสนิทของฉันเอง ไว้ใจได้ค่ะ ฉันรับรอง”
“ฉันขอชื่อกับนามสกุลของเพื่อนเธอก่อน”
คำพูดของนายใหญ่แห่งเวิลด์สกายทำให้หญิงสาวขมวดคิ้วเข้าหากันด้วยความไม่เข้าใจก่อนถามกลับไปทันที
“เพื่อนฉันคนนี้เป็นคนดีค่ะ ฉันรับรอง”
“ฉันเท่านั้นที่จะรับรองว่าเพื่อนของเธอจะเป็นคนดีหรือเปล่า เพราะทุกอย่างต้องปลอดภัย ฉันขอตรวจสอบเพื่อนของเธอก่อน ห้ามเธอติดต่อกับเขาจนกว่าฉันจะบอกว่าปลอดภัย หวังว่าเธอจะเข้าใจนะบัวชมพู”
อลันสบตาหญิงสาวนิ่ง ต่างฝ่ายต่างมองจ้องกันอย่างไม่ยอมหลบ ก่อนที่บัวชมพูจะเป็นฝ่ายเมินหลบสายตาร้อนแรงของเขาเอง หญิงสาวเข้าใจในความหวังดีของชายหนุ่ม ที่เขาทำเช่นนี้ก็เพราะว่าห่วงความปลอดภัยของเธอนั่นเอง ‘แต่เขามองแบบนี้ โอย มันเขินเว้ย’
“เพื่อนฉันชื่อวิทยาค่ะ วิทยา ซื่อตรง”
“ผู้ชาย!!! เพื่อนสนิทของเธอเป็นผู้ชายเหรอ”น้ำเสียงที่พูดเข้มขึ้น อารมณ์หึงหวงไม่รู้ว่ามาจากไหนเริ่มก่อตัวขึ้น ก่อนจะลดระดับลงเมื่อได้ยินประโยคต่อมา
“จะว่าผู้ชายก็ไม่ใช่ ผู้หญิงก็ไม่เชิง คุณได้ชื่อกับนามสกุลของเพื่อนฉันแล้วก็คงจะตรวจสอบได้ไม่ยากหรอกกระมังคะ” บัวชมพูไม่วายเหน็บเล็กๆ แล้วพูดต่อ
“ไม่มีอะไรแล้วถ้าอย่างนั้นฉันขอตัวก่อนนะคะ”พูดจบหญิงสาวก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ทันที
เป็นเหตุให้อลันต้องลุกขึ้นตามเช่นกัน อลันเองก็รู้ว่าหญิงสาวพูดเหน็บตน แต่ก็ทำเฉย ก่อนจะตอบกลับไป
“เชิญ อ้อ เดี๋ยว”
“อะไรอีกล่ะคะ”
“ฉันขอโทรศัพท์ของเธอด้วย”บัวชมพูชักสีหน้าทันที แต่ก็ยอมยื่นส่งโทรศัพท์มือถือให้กับชายตรงหน้า
“แล้วพรุ่งนี้ฉันจะคืนให้เธอหลังจากที่ได้ตรวจสอบทุกอย่างแล้ว และสัญญาด้วยเกียรติว่าจะไม่เปิดดูอะไรในโทรศัพท์ของเธอเลยแม้แต่นิดเดียว”อลันให้สัญญา
บัวชมพูจึงพยักหน้าเหมือนรับทราบกับคำพูดของเขา
“หมดธุระแล้วใช่ไหม ฉันจะได้ไปพัก”
“เชิญ”อลันตอบสั้นแต่ได้ใจความ เพราะเขาเองก็มีธุระที่จะต้องคุยกับบอดี้การ์ดคู่ใจอยู่เหมือนกัน แต่ก็ยังไม่วายเอ่ยเรียกหญิงสาวเพื่อที่จะบอกว่าราตรีสวัสดิ์กับเธอ
“บัวชมพู”
“คะ” หญิงสาวขานรับแล้วหันกลับมามองอลันอีกครั้ง
“กู๊ดไนท์ครับ”
หญิงสาวใบหน้าแดงระเรื่อขึ้นมาโดยอัตโนมัติ ไม่คิดว่าชายหนุ่มจะเอ่ยกู๊ดไนท์กับเธอ ก่อนจะเอ่ยตอบกลับไปเช่นกัน
“เอ่อ ค่ะ กู๊ดไนท์เช่นกันค่ะ”พูดจบก็รีบเดินลิ่วกลับไปที่ห้องพักแล้วเปิดประตูเข้าห้องไปทันที
ส่วนนายใหญ่แห่งเวิลด์สกายที่ยืนอมยิ้มน้อยๆ อยู่ในเวลานั้นก็หันกลับมามองเมฆกับกลดสองหนุ่มบอดี้การ์ดคู่ใจที่เอาแต่อมยิ้มยืนนิ่งอยู่ด้านหลังเขา
ก่อนจะเป็นฝ่ายเดินกลับเข้าไปภายในห้องทำงานของเขาอีกครั้ง และไม่ต้องเอ่ยคำใดสองหนุ่มก็รู้ได้ทันทีว่านาทีต่อจากนี้คืองานที่พวกเขาทั้งสองจะได้รับมอบหมายให้ไปจัดการตามคำสั่งของอลัน นายใหญ่แห่งเวิลด์สกาย และทุกอย่างจะต้องได้ครบถ้วน ถูกต้อง ที่สำคัญจะต้องรวดเร็วที่สุด