เมียคนป่าสู้ชีวิตNC

1996 คำ
คนป่าที่ 5 เมียคนป่าสู้ชีวิต เสียงสวบสาบข้างๆ ดังขึ้น ว่านลุ่ยแม้ไม่มองก็ทราบได้ทันที่ว่าพี่หมีขยับตัวมาด้านหลังนางแล้ว หนังสัตว์ผืนน้อยถูกเปิดขึ้น หญิงสาวขนลุกชันทันทีเมื่ออีกฝ่ายหายใจฟุดฟิดอยู่ตรงบั้นท้าย เป่าลมร้อนใส่กลีบท้อนางที่ไวต่อความรู้สึก ราวกับกำลังสำรวจค้นหาอะไรบางอย่าง โดยที่ไม่คิดว่านาง จะอับอายในการกระทำของเค้าแม้แต่หน่อยเดียว “อู อู อู อูก้า” !!! จู่ๆ เค้าก็เหมือนจะพูดอะไร แต่นางไม่เข้าใจภาษา จึงทำเพียงหลับตาลงก้มหน้า คิดในใจต่อให้เค้าทำทุเรศยิ่งกว่านี้ นางก็คงไม่รู้จะอับอายไปทำไม นี่ไม่ใช่ต้าเว่ย ที่สตรีต้องแต่งตัวเรียบร้อยดีงาม รักนวลสงวนตัว แม้กระทั่งนิ้วเท้ายังไม่สามารถให้ผู้อื่นยลชม “อูก้า อู อู ก้า อู” !!! นี่เป็นเสียงพี่สาวจอมยั่วชัดๆ ว่านลุ่ยจำได้ แต่ไฉนดังอยู่ตรงบั้นท้าย เมื่อหญิงสาวลืมตามองลอดหว่างขากลับหลัง ก็เห็นพี่สาวอวบอัดคนงาม กำลังก้มๆ เงยๆ สำรวจช่องทางสวาทตน จากนั้นเหมือนเห็นอีกฝ่ายพยักหน้ายินยอม “หรือพี่หมีเห็นข้าเป็นเด็กที่ยังไม่พร้อมผสมพันธุ์?” ว่านลุ่ยอดคิดในใจมิได้! คุณหนูใหญ่ราวกับรับรู้ถึงการกระทำของคนด้านหลังทั้งสอง จู่ๆ นางก็อดสูยิ่งนัก แม้แต่คนป่าเถื่อนเช่นพี่หมี เค้ายังไม่ต้องการนางอีกหรือ! “โอ๊ะ! โอ๊ยยย!” แต่การกระทำของพี่หมีตอบนางว่าไม่ใช่ เพราะพอเค้าเริ่มเสือกไสแท่งเนื้อเข้ามา เครื่องเพศว่านลุ่ยก็ราวจะฉีกขาด จนนางต้องร้องโอดโอยขึ้นมาอย่างลืมตัว “ซีด เจ็บจัง แต่ข้าต้องทนให้ได้!” ว่านลุ่ยหุบปากที่ร่ำร้องลง นางคิดในใจ อย่างไรต้องพลีกายเป็นเมียพี่หมีเต็มตัวให้ได้ เพื่อที่จะได้รับการปกป้องไปตลอด นางก็จำเป็นต้องอดทนรับความอัปยศนี้ เหมือนคนด้านหลังจะรู้ว่าว่านลุ่ยเจ็บมาก มือปริศนาข้างหนึ่งยื่นมานวดติ่งเนื้อเล็กๆ ให้นาง ช่วยบรรเทาอาการจุกแน่นให้หญิงสาวอย่างช่ำชอง... “อ๊า อะ อย่าขยี้แบบนี้สิ ข้าเสียว!” คุณหนูใหญ่หยินถึงขั้นหลุดภาษาของตนเอง ระหว่างที่ถูกพีหมีกระแทกลำเอ็นเข้าออก มือของพี่สาวจอมยั่วก็ไม่อยู่นิ่ง นางนั่งอยู่ข้างๆ ว่านลุ่ย ขณะที่พี่หมีใช้กำลังบังคับแท่งเนื้อ ก็ช่วยสอดมือใช้นิ้วกดติ่งเล็กๆ ตรงส่วนที่โหนกนูน หมุนวนรัวเร็วไปมา ว่านลุ่ยหารู้ไม่ว่าพี่สาวจอมยั่วมีศักดิ์สูงที่สุด ในบรรดาแม่พันธุ์ของพี่หมี นางมีหน้าที่ดูแลรับผิดชอบน้องๆ จึงเคยทำเช่นนี้มาแล้วหลายครั้ง เมื่อถูกนิ้วมือร้ายกาจของนางโจมตี แม้จะเป็นครั้งแรก แต่นางก็สั่นกระตุกเสร็จสมในเวลาไม่นาน “…” “โอ๊ย! หยุด! หยุด! อู อู อู” !!! พี่หมีกระแทกไปได้แค่ชั่วครู่ ว่านลุ่ยก็โก่งตัวโก้งโค้งสั่นกระตุกรัวๆ นางเหมือนกับท้องฟ้าถล่ม ในชีวิตไม่เคยรู้สึกดั่งกับตกไปในเหวลึกเช่นนี้ เวิ้งว้างราวกับหาที่สิ้นสุดไม่เจอ... อาจจะเพราะคุณหนูใหญ่ไม่เคยถูกล่วงเกินแบบนี้มาก่อน เมื่อยามเสียวซ่านนางจึงร้องครางไม่เป็น กับห้อปากส่งเสียง อู อู อู เหมือนสตรีในถ้ำคนอื่นๆ อากัปกิริยาหาได้ต่างจากหญิงสาวชาวป่าแม้แต่น้อย “ป็อก!” ขณะที่ว่านลุ่ยยังใช้ศอกค้ำยันพื้นแอ่นสะโพกสั่นสะท้าน พี่หมีก็ถอดถอนแท่งเอ็นออก เค้าไม่สนใจนางอีก ปล่อยคุณหนูใหญ่ที่ไม่รู้ตัวซักนิด ว่าตอนนี้ตนเองแสดงท่วงท่าทุเรศแค่ไหน เดินแกว่งไกวแท่งเนื้อออกจากถ้ำ มุ่งหน้าไปยังที่ตั้งของลำธาร “อูก้า อูก้า อู อู” !!! พี่สาวจอมยั่วเหมือนจะพูดอะไรกับนาง แต่ว่านลุ่ยไม่สนใจแล้ว หญิงสาวขดตัวงองุ้ม บั่นท้ายก็สั่นกระตุกเบาลงเรื่อยๆ จากนั่นก็ผล็อยหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย… *** หลายวันผ่านไป “เอ๊ะ!” ไม่ห่างจากชนเผ่าของพี่หมี ว่านลุ่ยขณะเดินเล่นกับน้องสาวตะวัน นางพบว่าตรงเนินเขามีการพังทลายลงเล็กน้อย นางจึงจับจูงมือน้องสาวข้างๆ เข้าไปสำรวจ แล้วก็ต้องตกใจเมื่อพบว่า ตรงนั้นมีกรวดเล็กๆ สีดำบ้างแดงบ้าง พอหยิบจำนวนหนึ่งขึ้นมากะเทาะเอาดินออก จากนั้นโยนกะน้ำหนัก ว่านลุ่ยก็ส่งเสียงดีอกดีใจขึ้นมา น้องสาวตะวันสีหน้างุนงง ไม่ทราบไฉนพี่สาวแปลกประหลาดดีใจกับก้อนหินก้อนดิน “…” เพียงแต่หญิงชาวป่าทั้งหมดโง่เขลา หาใช่ว่านลุ่ยไม่ นางเมื่อพบสิ่งที่อยู่ตรงหน้า จู่ๆ ความคิดบางอย่างก็ผุดขึ้นในหัว “ใช่แล้ว! ข้าเฉลียวฉลาดปานนี้ยังต้องกลัวคนป่ากลุ่มหนึ่งอีกหรือ!” แต่คิดได้เพียงครู่เดียวก็สีหน้าหม่นลง ต่อให้นางฉลาดกว่านี้แล้วจะมีประโยชน์อะไร ในเมื่อทุกอย่างที่นี่วัดกันด้วยกำลัง ตัดสินชีวิตด้วยการฟาดหวดกระบองออกไปเพียงครั้งเดียว! ว่านลุ่ยลุกขึ้นจากกองดินที่พังทราย นี่เป็นกรวดเหล็กที่พบได้ทั่วไป เพราะชนเผ่าพี่หมียังใช้หินเป็นเครื่องมือแล่เนื้อ นางจึงเข้าใจไปว่าพวกเค้าคงไม่รู้จักนำเหล็กมาเป็นอาวุธ คราแรกยังคิดว่าตนเองจะซุ่มทำหอกทำดาบแล้วนำมาก่อกบฏ แต่พอคิดๆ ไปก็อย่าเลยดีกว่า “…” แต่ขณะจะเดินจากไปว่านลุ่ยก็รู้สึกเสียดาย นางจึงนำใบไม้ขนาดใหญ่ที่หล่นอยู่แถวๆ นั้นมาห่อ เก็บกรวดหินจำนวนมากใส่ลงไปในนั้น จนกระทั่งสองมือหนักอึ้ง นางจึงพาน้องสาวตะวันเดินกลับถ้ำตามทางน้อยขามา *** เสียงปะทุของเปลวไฟลั่นเพี๊ยะพะ หน้าปากถ้ำว่านลุ่ยก่อเตาเผาที่ทำจากดินเหนียว นางไม่ได้ทำใหญ่มาก เพียงทำเล็กๆ และเจาะรูรับอากาศตามที่ได้เคยเรียนรู้มา นี่เป็นเตาหลอมเหล็กขนาดย่อมๆ ว่านลุ่ยรู้จักสิ่งนี้เพราะกิจการของตระกูล ตอนเด็กนางติดตามบิดาไปทั่ว แม้แต่โรงตีมีดและเครื่องมือใช้สอยก็เคยพบเจอมาหมดแล้ว พี่หมียังไม่กลับถ้ำ แต่หญิงสาวคนอื่นๆ อยู่ครบหมดแล้ว พวกนางมองว่านลุ่ยด้วยความสงสัย ส่งเสียงกุลีกุลู ราวกับจะถามว่าเจ้าบ้าหรือเปล่าเอาหินไปเผาไฟทำไม จนกระทั่งพลบค่ำ พี่หมีก็กลับมา หน้าเตาไฟมีว่านลุ่ยที่หน้าตามอมแมมนั่งอยู่ นางงงงวยอย่างมากไฉนกรวดหินพวกนี้ถึงไม่ละลาย เวลาล่วงเลยผ่านไป นางได้ยินเสียงอูก้าอูก้าดังมาจากในถ้ำ ว่านลุ่ยยังคงสอดฟืนเข้าไปเผาหินอย่างมีความหวัง นางหาได้รู้ตัวซักนิด ว่าตอนนี้ผู้อื่นมองตนเป็นหญิงโง่ ที่ตั้งอกตั้งใจเผาหินอยู่นอกถ้ำคนเดียว “…” “อูก้า อู อู ก้า ก้า อู อู” !!! “อู อู ก้า กา อู” !!! “อู อู กา กา อูก้า อูก้า” !╮ ( ̄▽ ̄) ╭ ความทุ่มเทของว่านลุ่ยกลายเป็นที่ถกเถียงของเหล่าสาวๆ ในถ้ำ แม้กระทั่งพี่หมียังมองนางด้วยความงุนงง ไม่ใช่ถูกกระแทกแรงจนเปลี่ยนเป็นหญิงบ้าไปแล้วนะ เค้าสมควรอ่อนโยนกับนางกว่านี้แล้วจริงๆ พี่หมีนั่งมองแม่พันธุ์ของตนด้วยความสงสัย เค้าคิดในใจว่าผู้อื่นก็ไม่ได้โง่เหมือนนาง ต่อให้กลายเป็นบ้าไปซักคนก็หาเป็นไรไม่ อย่างมากก็ให้ตัวเมียอีกห้าคนที่เหลือช่วยดูแลนาง “…” *** ชีวิตยังคงดำเนินต่อไปอย่างเรียบง่าย ตื่นเช้าพี่หมีก็จับตัวเมียของตนขึ้นมาเสพสม ว่านลุ่ยเสพติดเรื่องนี้มาก พอได้ลิ้มรสท่อนเอ็นก็ติดใจ ขอให้เค้ากระทำกับนางทุกเช้า ช่วยนางให้หายคันก่อนออกจากถ้ำไป คุณหนูใหญ่ยอมรับชะตากรรม นางคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าการเสพสมระหว่างชายหญิงจะรู้สึกดีเช่นนี้ แม้ที่ควบขับนางจะเป็นคนป่า แต่ยามสั่นไหวอยู่ใต้ร่างเค้า นางก็เสียวมากเหลือเกิน ว่านลุ่ยถือว่านี่เป็นรสชาติความสุขเล็กน้อยในชีวิต แม้จะตกอยู่ในสถานการณ์ย่ำแย่ แต่ก็สมควรใช้ชีวิตให้มีความสุขต่อ หากไม่รู้จักไขว่คว้า แล้วจะมีชีวิตที่เหลืออยู่ไปเพื่ออะไร อย่างเช่นตอนนี้! ว่านลุ่ยตื่นนอนแต่เช้า นางเห็นพี่หมีช่วยพี่สาวแมวให้หายคันอยู่ จึงได้รอจนเค้ากระทำเสร็จ จากนั้นดึงมือพี่หมีออกจากถ้ำ เดินไปหาต้นไม้ตรงชะง่อนหิน จากนั้นใช้มือค้ำยันลำต้นไว้ โก้งโค้งแอ่นสะโพกให้พี่หมีอย่างรู้งาน “อู อู อู ซีดดด อู้ววว พี่หมี แรงเกินไปแล้ว!” ว่านลุ่ยติดนิสัยสูดปาก อู อู อู จากสตรีทั้งหลาย นางยืนถ่างขาออกกว้าง ให้พี่หมีย่ำยีกลีบท้อเล็กๆ สายตาก็มองพระอาทิตย์ที่กำลังขึ้น ช่องทางรักก็ลิ้มรสสวาท ให้ความรู้สึกดีแบบบอกไม่ถูก ชื่นชมความงามไปพร้อมๆ กับถูกเสพสม หากเป็นต้าเว้ยนางทำเช่นนี้ สมควรถูกจับใส่กรงหมูถ่วงน้ำไปแล้ว! “ตับๆ ตับๆ ตับๆ” !!! “อูวว อูวว อูวว” ! ที่นี่ไม่มีอะไรให้ต้องอับอาย ยามเสียวนางก็ร้อง จะร้องดังแค่ไหนก็ได้ ท่วงท่าที่ใช้ก็ค่อยๆ ป่าเถื่อนไปเรื่อยๆ เป็นนางเองสอนให้พี่หมีพลิกแพลง เพราะเค้าทำเป็นอยู่แค่ไม่กี่ท่าเท่านั้น เหมือนกับตอนนี้ ว่านลุ่ยโดนกระทำจากด้านหลัง นางยืนจนปวดขาแล้ว ตอนนี้อยากถูกอุ้ม จึงผลักพี่หมีออกจากบั้นท้าย หมุนตัวหันหน้าไปหาเค้า ชี้มือไปที่กลีบท้อตน แล้วทำท่าโอบอุ้ม สื่อสารว่านางต้องการท่าทางเช่นนี้ จากนั้นก็พุ่งเข้าไปกอดพี่หมี จับแท่งเนื้อของเค้าชักขึ้นชักลงรอให้เค้าอุ้มตนเองขึ้นไป ชายร่างใหญ่รู้ถึงความต้องการตัวเมียตน หลายวันก่อนนางก็เคยให้เค้าทำแบบนี้ ดังนั้นจึงอุ้มนางใช้ขาสองข้างรัดเอวสอบไว้ ไม่ต้องสอดใส่เองก็มีมือน้อยๆ เอื้อมลงไปสัมผัสแท่งเนื้อ จากนั้นชักนำเข้าสู่ร่องเล็กของตนเอง “ซีดดด อู อู อู” !!! ว่านลุ่ยแหงนหน้าร้อง อู อู อู ยามถูกกระแทกขึ้นลง ฮึมฮำอย่างเต็มฝืน รู้สึกถูกเติมเต็มอย่างถูกอกถูกใจ กลิ่นลมหายใจและกลิ่นปากพี่หมีไม่เหม็นซักนิด แรกๆ นางแปลกใจไม่น้อย ที่เห็นคนป่าเหล่านี้รู้จักใช้ขี้เถ้าและเถาวัลย์ไม้ นำมาขัดฟันทำความสะอาด ดูแลรักษาโพรงปากของตนเองจนสุขภาพดี ว่านลุ่ยหารู้ไม่ว่า เรื่องฟันคือสิ่งที่คนป่าใส่ใจที่สุด พวกเค้าจะมีชีวิตอยู่ได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับสิ่งนี้ ดังนั้นหลายพันปีจึงมีการสืบทอดการดูแลรักษามาเรื่อย ถือเป็นวิถีการดำลงชีวิตที่ทำกันมานานแล้ว สองแขนหญิงสาวคล้องคอพี่หมี แม้จะถูกอุ้มขึ้นสูง แต่ยามจะมองดวงตาอีกฝ่ายยังต้องแหงนขึ้น ระหว่างที่ถูกจับโยกนางก็ก็สำรวจใบหน้าเค้าไปด้วย สงสัยว่าหากไม่มีหนวดเคราปกคลุม เจ้าของดวงตาใสกระจ่างผู้นี้จะดูดีหรือว่าขี้ริ้วเพียงใด จู่ๆ นางมองไปที่ริมฝีปากใต้หนวด กลีบปากเค้าใหญ่กว่านางมาก ขณะกำลังเสียวไม่ทราบว่านลุ่ยไปเอาความกล้ามาจากไหน กับโน้มใบหน้าเข้าหา ประทับจูบลงไปตรงนั้น ลิ้มรองรสชาติที่นางสงสัยมานาน... ***
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม