“คุณภาคภูมิ รบกวนส่งที่อยู่ของมาริกามาให้ผมหน่อย”
ภูดิสโทร.หาเลขาส่วนตัว หลังจากที่พาร่างอรชรขึ้นมานั่งบนรถเรียบร้อยแล้ว
“ครับ แล้วผมจะส่งไปให้ครับ”
แม้จะเป็นนอกเวลางาน แต่ภาคภูมิก็ไม่คิดจะขัดคำสั่ง เพราะเขาเป็นเลขามืออาชีพที่มีความคล่องตัวสูงมาตั้งแต่รุ่นท่านประธานคนก่อนแล้ว เพียงไม่นานข้อความของภูดิสก็เด้งขึ้น
ชายหนุ่มกดเปิดดู แล้วก็กวาดสายตามองตัวอักษรที่ตั้งคอนโดของหญิงสาว ก่อนจะกดปิดจอโทรศัพท์แล้วหันมาทางคนที่กำลังหลับตาพริ้ม หายใจอย่างสม่ำเสมอบ่งบอกว่ากำลังอยู่ในห้วงนิททราอย่างสบายใจเฉิ่ม
“เป็นสาวเป็นนาง ดื่มจนเมาขนาดนี้ได้ไง เกิดมีใครคิดไม่ดีไม่ร้ายด้วยจะทำยังไง”
ถึงแม้ปากจะบ่นพึมพำไม่หยุด แต่มือก็ยังมาช่วยปรับเบาะให้เธอได้เอนหลังนอนอย่างสบายๆ ทว่าพอจัดท่าให้เธอได้ใบหน้างดงามที่ถูกแต่งเติมด้วยเครื่องสำอางบางๆก็ขยับจนปลายจมูกเชิดรั้นชนเข้ากับแก้มของเขาเข้าอย่างจัง
“อื้ม…”
หญิงสาวครางเสียงในลำคอ ดวงตายังคงปิดสนิทไม่ได้สติ แต่คนถูกสัมผัสถึงกับต้องขบกรามแน่น เพื่อข่มอารมณ์บางอย่างที่กำลังดุดันขึ้นมา
“ยั่วขนาดนี้ จูบทำโทษสักทีดีไหมเนี่ย”
เสียงทุ้มพึมพำขณะที่นัยน์ตาคมกริบจับจ้องอยู่ที่ริมฝีปากสีหวานน่าสัมผัสนิ่ง และสุดท้ายก็อดใจไม่ไหวต้องโน้มลงมาประกบปากอวบอิ่มด้วยความกระหาย เขามอบจุมพิตหอมหวานนุ่มนวลเนิ่นนานก่อนจะถอนริมฝีปากออกอย่างแสนเสียดาย
ภูดิสหัวเราะกับตัวเองหึๆ ไม่คิดว่าชีวิตนี้เขาจะต้องมาลักจูบผู้หญิงที่กำลังเมาไร้สติด้วย
……………………………………………
มาริกางัวเงียตื่นมาในเช้าวันใหม่ พลางเอื้อมมือไปคว้าโทรศัพท์บนโต๊ะหัวเตียงมากดรับสายหลังจากที่เสียงกรีดร้องของมันดังรบกวนอยู่นาน ทั้งที่ยังไม่เปิดเปลือกตา
“ฮัลโหลเจ๊ ตอนนี้เจ๊อยู่ไหน”เสียงของเมธีที่ดังอยู่ปลายสายเอ่ยถามทันทีที่เพื่อนสาวรุ่นพี่รับสาย
“อยู่คอนโด”
“เ**กลับไปตอนไหน ทำไมไม่บอกฉันกับอารยา นี่โทรตามทั้งคืนเป็นห่วงนะรู้หรือเปล่าเนี่ย!”
คำถามพร้อมด้วยประโยคต่อว่าของเมธีทำให้มาริกาต้องขมวดคิ้วยุ่งก่อนจะสวนกลับไปด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด
“อ้าวไอ้นี่! เมื่อคืนแกเป็นคนมาส่งฉันเองนะ”
“เอาดีดีเจ๊ เมื่อคืนฉันก็เมาหลับคาร้าน จะไปส่งเจ๊ได้ไง แล้วนี่ยายอารยาก็ยังนอนข้างๆฉันอยู่เลยเนี่ย!”
“เมื่อคืนถ้าไม่ใช่แกมาส่ง แล้วใครล่ะที่มาส่งฉัน”
มาริกาพยุงตัวลุกขึ้นมานั่ง ในขณะที่หัวเต็มไปด้วยคำถามมากมาย แต่แล้วสายตาก็สะดุดเข้ากับข้อความโน๊ตข้างๆหัวเตียงที่แปะทิ้งไว้กับขวดยาแก้สร่างเมา
‘ตื่นแล้วดื่มสักหน่อย จะได้สร่างเมา’
เหมือนจะจำได้ลางๆว่าเมื่อคืนคนมาส่งเธอเป็นผู้ชาย ตอนแรกก็เข้าใจว่าเมธีสวมหน้ากากท่านประธานมาหลอกหลอนเสียอีก แต่เมื่ออีกฝ่ายปฏิเสธเสียงแข็งเธอก็ต้องเปลี่ยนความคิดเสียใหม่
“ใครคือชายปริศนาเมื่อคืน หรือว่าเราจะฝันไป แต่ถ้าฝันตอนนี้ก็แสดงว่าเรายังไม่ตื่นนะสิ”
“เพียะ!”
มือเล็กตบลงบนใบหน้าขาวๆเต็มแรงเพื่อปลุกตัวเองให้ตื่นจากฝัน แต่แล้วก็ต้องนิ่วหน้าด้วยความเจ็บปวด
“โอ้ย! เจ็บ! นี่เราไม่ได้ฝันไป”
มาริกาพึมพำกับตัวเอง ก่อนจะขมวดหัวคิ้วชนกันด้วยความคิดหนัก เพราะหน้าของคนเมื่อคืนเหมือนท่านประธานราวกับเป็นคนๆเดียวกัน แต่ก็ไม่อยากจะหลงตัวเอง เพราะคนระดับนั้นคงไม่มาสนใจอะไรเธอหรอก และอีกอย่างท่านก็มีคนรักแล้ว
………………………………………..
วันนี้มาริกามาทำงานด้วยจิตใจที่ล่องลอย การประชุมเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา เพราะดวงตากลมโตจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าหล่อเหลาของท่านประธานที่เรียกผู้จัดการทุกแผนกเข้าประชุมด่วน รวมทั้งผู้ช่วยผู้จัดการด้วย
หญิงสาวนั่งฟังการประชุมเงียบๆอยู่มุมหลังห้องจนได้เวลาอาหารเที่ยงก็เป็นอันเสร็จสิ้นการประชุม หลังจากที่ทุกคนต่างทยอยกันออกจากห้องไปกันหมดแล้ว มาริกาก็ลุกขึ้นยืนเตรียมจะเดินออกจากห้องบ้าง แต่แล้วเท้าเรียวยาวภายใต้รองเท้าส้นสูงก็ต้องชะงักหยุดยืนกับที่เมื่อร่างสูงสง่าของท่านประธานที่เพิ่งก้าวพ้นประตู เดินกลับเข้ามาอีกครั้ง
หัวใจดวงน้อยเต้นรัวเป็นกลอง เมื่อเจอกันในระยะประชิดเช่นนี้ เพราะเขาเห็นหน้าของเธอชัดขนาดนี้ก็ต้องจำเธอได้แน่นๆ แต่แล้วร่างสูงใหญ่ก็เดินผ่านหน้าเธอไปหยิบปากกาที่ลืมเอาไว้บนโต๊ะ จากนั้นก็หมุนตัวเดินออกจากห้องไปราวกับไม่เห็นว่าเธอยืนอยู่
“สรุปเขาจำเราไม่ได้จริงๆเหรอวะเนี่ย!”
มาริกาพึมพำถามตัวเองเบาๆ ด้วยความรู้สึกน้อยใจปนผิดหวังน้อยๆ ร่างอรชรเดินออกคอตกจากห้องประชุมตามหลังร่างสูงใหญ่ไปติดๆ แต่เมื่อก้าวเข้ามาในลิฟต์เสียงทุ้มต่ำของคนตัวใหญ่ก็เอ่ยถามขึ้น
“ตอนนี้เที่ยงแล้ว หิวข้าวหรือยัง”
“คะ?”
หญิงสาวเงยหน้ามองคนตัวใหญ่พลางเลิกคิ้วขึ้นสูงราวกับหูฝาดไป ทำให้ภูดิสต้องย้ำประโยคเดิมอีกครั้ง
“ผมถามว่าหิวข้าวหรือยัง”
“ท่านประธาน ถามฉันเหรอคะ?”
คราวนี้มาริกาเอ่ยถามพร้อมกับชี้นิ้วมาที่หน้าอกตัวเอง ด้วยความแปลกใจ
“ก็มีกันอยู่แค่สองคน ถ้าไม่ให้ผมถามคุณแล้วจะให้ผมถามใคร”
ได้ยินปนะโยคของเขาชัดเต็มสองรูหูแล้วก็ต้องเบิกตาโต พลางกวาดสายตามองไปรอบๆ และเพิ่งจะสังเกตว่าในลิฟต์มีแค่เธอกับเขาแค่สองคนจริงๆ
“ผมหิว ตั้งแต่เช้ายังไม่ได้ทานอะไรเลย ถ้าไม่รังเกียจก็ไปทานอาหารเป็นเพื่อนผมหน่อย”
‘ใครเขาจะรังเกียจท่านประธานสุดหล่อได้ลงกันคะ’
มาริกาแอบพึมพำประโยคนั้นในใจ ก่อนจะก้มต่ำเพื่อซ่อนรอยยิ้มแห่งความดีใจเอาใจ พลางตอบตกลงอย่างไม่ต้องเสียเวลาคิด
“ค่ะ”
เวลาต่อมาทั้งสองเดินเข้ามาในโรงอาหารของบริษัทท่ามกลางสายตาของหลายคู่ที่ให้ความสนใจ แต่ทว่าก็ไม่มีใครกล้าเข้ามาทักนอกจากมองอยู่ห่างๆเพียงเท่านั้น
สำหรับมาริกาแล้วการได้เดินเคียงข้างเขาคือสิ่งที่อยู่เหนือความคาดหมาย เธอรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเจ้าหญิงที่ได้เดินเคียงข้างกับเจ้าชายสุดหล่อที่ใครๆต่างต้องอิจฉา จะด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่เวลานี้เธออยากจะประกาศให้ทุกคนรู้เหลือเกินว่าฉันนี่แหละ คือผู้หญิงที่เคยกินประธานสุดแซ่บคนนี้มาแล้ว แต่ถ้าเธอพูดออกไปคงไม่มีใครเชื่ออย่างแน่นอน อย่าว่าแต่เชื่อเลย เขาจำเธอได้หรือเปล่าก็ยังไม่รู้เลย
‘เฮ้อ…คิดแล้วก็กลุ้ม’
หญิงสาวนั่งเขี่ยอาหารในจานไปมา พลางถอนหายใจเป็นพักๆเมื่อนึกถึงเรื่องราวของเธอและเขาที่ไม่มีทางเป็นไปได้
“ทำไม ไม่อร่อยเหรอ”
ภูดิสเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าเธอตักอาหารเข้าปากเพียงไม่กี่คำ ราวกับอาหารเต็มโต๊ะที่เขาอุตส่าห์สั่งมามีรสชาติแย่จนกระเดือกไม่ลง
“อะ…อร่อยค่ะ”
“ดูเหมือนคุณมีคำถามในใจ”
“ค่ะ คือ…ฉันอยากจะถามท่านเกี่ยวกับเรื่องคืนนั้น ฉันอยากรู้ว่าท่านจำฉันได้หรือเปล่า”
เมื่อมีโอกาสเธอจะไม่ปล่อยให้มันค้างคาใจ มาริกาเลยคิดว่าควรจะถามเขาออกไปตรงๆ จะได้เคลียร์ๆว่าควรจะหยุดแค่นี้หรือไปต่อดี
“คืนไหนล่ะ?”
“ก็คืน…ช่างเถอะค่ะ”จู่ๆเธอก็เกิดเปลี่ยนใจไม่อยากพูดต่อ เพราะเห็นท่าทางเย็นชาของเขาแล้วคงไม่เกิดประโยชน์อะไรที่จะต้องพูดถึงมันอีก“ฉันอิ่มแล้ว ขอตัวก่อนนะคะ”
พูดจบร่างอรชรก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้อย่างเสียมารยาท เพราะลึกๆแล้วรู้สึกว่าหัวใจกำลังเจ็บหน่วงๆอย่างบอกไม่ถูก ทว่าก่อนที่จะได้ก้าวออกไป เท้าเรียวยาวก็ต้องชะงักเมื่อเสียงทุ้มดังขึ้น
“ผมไม่เคยลืมเรื่องของเราคืนนั้น”
“คะ”
มาริกาหันขวับมามองคนตัวใหญ่ที่ยังคงนั่งอยู่ที่เดิม ก่อนที่สียงทุ้มจะยืนยันอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นจริงจัง
“เรื่องคืนนั้นที่โรงแรม ผมไม่ลืม และไม่มีวันลืม”
“ทำไมคะ?”
‘คงเป็นประสบการณ์ที่แย่มากละสิท่า’
มาริกานึกคำตอบให้อีกฝ่ายในใจ อยากจะหัวเราะเยาะตัวเองดังๆที่เอาเรื่องน่าอายนี้หยิบขึ้นมาพูดเวลานี้
“ไม่รู้สิ รู้แต่ว่ามันลืมไม่ลง”
หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ ก่อนจะตัดสินใจถามสิ่งที่ยังค้างคาในใจ แล้วเธอก็ได้รับความกระจ่างในเวลาต่อมา
“รู้ว่าฉันเป็นผู้หญิงคืนนั้นแล้ว ท่านประธานไม่คิดจะไล่ฉันออกเหรอคะ”
“ผมไม่ชอบเอาเรื่องส่วนตัวกับเรื่องงานมาเกี่ยวข้องกัน”
“ค่ะ ฉันก็ไม่ควรเอาเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวมาเกี่ยวข้องกัน ขอโทษนะคะที่พูดมันออกมา ต่อไปนี้ฉันจะลืมเรื่องราวคืนนั้นและตั้งใจทำงานค่ะ และก็หวังว่าท่านประธานจะลืมมันและให้อภัยที่บังอาจล่วงเกินท่านเช่นกัน”
“………”
“ขอตัวก่อนนะคะ”
พูดจบร่างอรชรก็หมุนตัวเดินจากไป เป็นอีกครั้งที่มาริการู้สึกเหมือนหัวใจจะขาดเสียให้ได้ แต่ดูเหมือนครั้งนี้จะหนักกว่าตอนที่ก้องเกียจบอกเลิกเธอ นั่นอาจจะเป็นเพราะเธอได้ผูกพันร่างกายกับเขาคนนี้แล้วนั่นเอง
………………………………….