“พี่น้ำผึ้งคะ ท่านประธานเชิญขึ้นไปบนห้องค่ะ”
คนที่ถูกเรียกชื่อถึงกับสะดุ้งสุดตัว พอๆกับเพื่อนรุ่นน้องอีกสองคนที่นั่งใกล้ๆกัน จากนั้นทั้งสามก็ต้องหันมามองหน้ากันอย่างอัตโนมัติ
“ซวยแล้วไงเจ๊!”
“ทำไงดีล่ะ อารยา เมธี เขาต้องจำฉันได้แน่ๆเลย แล้วฉันจะโดนไล่ออกหรือเปล่าเนี่ย!”
“ใจเย็นๆนะเจ๊ เรื่องมันอาจจะไม่ได้เลวร้ายแบบนั้นก็ได้ ท่านอาจจะแค่เรียกไปคุยงาน เขาจำเจ๊ไม่ได้หรอก”เมธีให้กำลังใจเพื่อนสาว ทั้งที่ในใจนั้นก็รู้สึกแอบหวั่นใจแทนอยู่ไม่น้อย
“แล้วถ้าเขาจำฉันได้ขึ้นมาจะทำยังไง โดนบอกเลิกแล้วต้องมาตกงานตอนอายุสามสิบคงไม่ใช่เรื่องตลกหรอกนะ”
“เจ๊อย่าเพิ่งคิดมากน่า ตั้งสติแล้วหายใจเข้าปอดลึกๆ สู้ๆ”
อารยาคว้ามือเล็กของสาวรุ่นพี่มาบีบให้กำลังใจ ก่อนที่มาริกาจะรีบสุดลมหายใจเข้าปอดลึกๆเพื่อตั้งสติตามคำแนะนำ จากนั้นก็ลุกจากที่นั่งเพื่อเข้าไปในลิฟต์ ตรงไปยังชั้นบนสุดของตึก
“ขออนุญาตค่ะ”
เมื่อเข้ามาอยู่ตรงหน้าประธานหนุ่ม มาริกาก็ต้องตั้งสติใหม่ พร้อมกับปรับโทนเสียงราบเรียบให้เป็นปกติที่สุด ขณะที่เธอยังคงปิดหน้าปิดตาไว้ด้วยผ้าปิดปากให้โผล่ออกมาเพียงดวงตากลมโตเท่านั้น
“นั่งลงสิ”
ภูดิสเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงราบเรียบ นัยน์ตาคมกริบแอบสำรวจคนตรงหน้าเงียบๆ พลางคิดในใจว่าสาวสวยสุดเซ็กซี่ที่มีความมั่นใจในตัวเองสูงเมื่อคืนนี้หายไปไหนเสียแล้ว
“ท่านประธานเรียกดิฉันมาพบ มีเรื่องงานอะไรจะสั่งหรือเปล่าคะ”
ดูเหมือนท่านประธานหนุ่มจะไม่ได้สนใจหรือจดจ่อกับคำถามของเธอเลยแม้แต่น้อย เพราะนัยน์ตาคมกริบนั้นกลับมาหยุดอยู่ที่รอยจ้ำแดงๆบนลำคอระหงที่เขาได้ฝากเอาไว้เมื่อคืนอย่างขัดใจ
‘คงไม่เคยมีประสบการณ์จริงๆ ถึงไม่รู้จักสำรวจตัวเองก่อนออกจากบ้านแบบนี้’
คิดแล้วก็ลุกพรวดจากเก้าอีก แล้วคว้าตลับแป้ง กับหลอดยาที่เขาสั่งให้เลขานำมาให้อย่างเร่งด่วนเมื่อครู่นี้ มายืนอยู่ข้างๆร่างอรชน
“ท่านจะทำอะไรคะ”
มาริกาทำตาโตถามด้วยความตกใจ เมื่อจู่ๆ มือใหญ่ก็จับเก้าอี้ตัวที่เธอนั่งหมุนให้มาเผชิญหน้า ก่อนที่ร่างสูงใหญ่จะคุกเข่าลงตรงหน้าเธอ
“อยู่เฉยๆ”
ภูดิสออกคำสั่งเสียงเรียบ ทว่าทรงพลังจนคนตัวเล็กไม่กล้าขยับ มาริกาทำตาปริบๆขณะที่ปล่อยให้เขาดึงข้อมือเล็กทั้งสองของเธอไปพลิกดู จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมาถาม
“เจ็บมากไหม?”
“คะ?”
“ข้อมือคุณมันแดงๆ เหมือนได้รับบาดเจ็บ”
แสร้งถามไปแบบนั้น ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจดีว่ารอยแดงๆที่เกิดขึ้นเป็นเพราะฝีมือเขาเมื่อคืน ก็เธอน่ากินขนาดนี้จะให้เพลามือได้ยังไง ยิ่งเธอเชิญชวนเขาก็ยิ่งปรามตัวเองไม่อยู่ ถ้าหากรู้ว่าเธอยังไม่เคยมีประสบการณ์เขาก็คงจะถนอมเนื้อบอบบางนุ่มนิ่มให้มากกว่านี้
“เอ่อ…มะไม่เป็นไรค่ะ ไม่เจ็บเลย”
มาริการีบปฏิเสธเสียงรัว เพราะเกรงจะถูกจับได้ว่าร่องรอยบนข้อมือเกิดจากอะไร ทว่าชายหนุ่มกลับไม่ยอมให้เธอชักมือกลับไปได้ง่ายๆ
“ทายาสักหน่อยดีกว่า”
“เดี๋ยวดิฉันทำเองค่ะ”
“ไม่ต้อง เดี๋ยวผมทำให้เอง”
ภูดิสปรามเสียงดุ ก่อนจะจัดการบีบเนื้อครีมลงบนแขนเล็กแล้วใช้นิ้วเรียวยาวแข็งแรงเกลี่ยเนื้อครีมเบาๆราวกับกลัวเธอเจ็บ เห็นรอยที่เขาเป็นคนฝากเอาไว้แล้วชายหนุ่มรู้สึกโกรธตัวที่เผลอทำรุ่นแรงกับเธอจนเจ็บตัวแบบนี้ และเมื่อจัดการกับข้อมือเล็กทั้งสองข้างเรียบร้อยแล้ว ใบหน้าหล่อเหลาก็เงยหน้าขึ้นมาจับคางมนบีบให้เธอเอียงคอ
“อะไรคะ?”
“เอียงคอหน่อย”
“ค่ะ”
มาริการับคำและทำตามอย่างว่าง่าย เธอนั่งลุ้นใจระทึกระหว่างที่เขาจัดการเกลี่ยแป้งลงบนลำคอระหงของเธออย่างเบามือ
“แป้งนี้จะช่วยปกปิดรอยช้ำได้ เอาใส่กระเป่าติดไว้ เผื่อคุณอาจจะจำเป็นต้องใช้ในครั้งต่อๆไป”
“ขอบคุณค่ะ”
มาริกากล่าวขอบคุณด้วยอาการงงๆ แต่ก็ยอมรับแป้งที่เขาส่งมาใส่กระเป๋าสะพายอย่างว่าง่าย ขณะเดียวกันก็รู้สึกอบอุ่นหัวใจแปลกๆ จนอดที่จะยอมรับกับตัวเองไม่ได้ว่าชอบการแสดงออกที่แสนจะอ่อนโยนของเขาเข้าแล้ว
“กลับไปทำงานได้แล้ว”
‘เรียกเราขึ้นมาเพื่อทายาให้ แล้วก็ตบแป้งปิดรอยช้ำแค่นี้เนี่ยนะ อะไรของเขา นี่สรุปเขาจำเราได้หรือไม่ได้กันแน่’
ตอนแรกที่กลัวว่าเขาจะจำเธอได้ กลับกลายเป็นอยากให้เขาจำได้ขึ้นมาแทน เพราะมาริกาก็อยากรู้เหมือนกันว่าถ้าท่านประธานจำเธอได้ขึ้นมาอะไรจะเกิดขึ้น แต่กระนั้นก็ยังไม่กล้าเสี่ยงบอกความจริงเขาไปตอนนี้ เพราะหากทุกอย่างไม่ได้เป็นอย่างที่คาดไว้ สิ่งแรกที่เธอจะโดนคือการถูกไล่ออกจากงาน
ภูดิสพ่นลมหายใจออกมาอย่างหนักหน่วง เมื่อร่างอรชรเดินพ้นประตูออกไป ตอนนี้ในใจเขากำลังสับสนว่าจะเอายังไงกับเธอต่อดี แต่แวบหนึ่งประโยคสนทนาของเธอกับเขาเมื่อเช้าก็โผล่ขึ้นมาในหัวอีกครั้ง
“ถ้าผมเดาไม่ผิด คุณคงไม่คิดจะหาประสบการณ์แค่ครั้งแรกแน่ๆ มันจะต้องมีครั้งที่สองสามและต่อๆไปกับผู้ชายคนอื่นอีก”
“ค่ะ! แต่ก็คงไม่ใช่เร็วๆนี้ อย่างน้อยก็คงต้องรอให้ร่างกายฟื้นดีก่อน”
“บ้าชิบ! ยังคิดจะหาประสบการณ์กับผู้ชายคนอื่นอีกงั้นเหรอ ไม่มีทาง!”
ภูดิสสบถออกมาอย่างหงุดหงิดหัวเสีย พร้อมกับคำรามเสียงต่ำอยากจะจับเธอมาทำโทษเสียให้รู้แล้วรู้รอด แต่แล้วเสียงโทรศัพท์เครื่องหรูบนโต๊ะทำงานตรงหน้าก็ดังขึ้น เรียกสติให้กลับมา ก่อนที่มือใหญ่จะคว้าขึ้นมากดรับสาย
“ว่าไงไอ้ปราบ”
“เป็นไงบ้างไอ้ภู เมื่อคืนฉันไปหานายที่นัดหมายแล้วแต่ก็ไม่เจอ จะโทรหาแบตโทรศัพท์ก็ดันหมดอีก”
“ไม่น่าล่ะ ฉันโทรไปหาถึงไม่ติด”
เมื่อพูดถึงเรื่องเมื่อคืนก็ทำให้หวนนึกถึงหญิงสาวสุดเซ็กซี่ในชุดเดรสสีดำเมื่อคืนขึ้นมาอีกครั้ง ในตอนแรกภูดิสตั้งใจไว้ว่าจะไปดื่มกับเพื่อนเลยได้นัดกันแถวๆนั้น แต่ก็บังเอิญเดินชนเข้ากับร่างอรชรเข้า เลยทำให้เขาเปลี่ยนแผนกะทันหันเพื่อไปต่อกับเธอแทน
“แล้วสรุปนายได้ไปตามนัดหรือเปล่าวะ”
“ไปสิ แต่ไม่เจอใครเลยไปหาอะไรดื่มแถวๆนั้นแทน”
“ขอโทษนะโว้ย ที่ไปสาย ไว้โอกาสหน้าเรานัดกันใหม่ เดี๋ยวฉันเลี้ยงเอง”
“ตามนั้น”
ภูดิสตอบอย่างไม่คิดอะไรมาก จะว่าไปแล้วต้องขอบคุณปราบยุทธที่นัดเขาแถวนั้น เลยทำให้ได้เจอกับหญิงงาม และได้เชยชิมความโสดซิงของเธอเป็นครั้งแรก ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาไม่อาจลืมมันได้ลง