ตอนที่ 1 เด็กดื้อ (2)

1905 คำ
“แล้วเด็กผู้หญิงคนนั้นเป็นยังไงบ้างคะนนท์” นิตยาถามสามีถึงนักเรียนหญิงคู่อริกับนิรดา ที่มีปัญหากันจนฝ่ายนั้นโดนนิรดาต่อยคว่ำเสียแก้มช้ำ “เขาก็ไปฟ้องพ่อแม่เขาให้มาเอาผิดกับลูกเราน่ะสิ อาจารย์ประจำชั้นเพิ่งโทรมาบอก พรุ่งนี้คุณกับผมก็ต้องไปที่โรงเรียนเพื่อไปตกลงกับเขาให้เรียบร้อย พายัยตัวดีไปขอโทษเขาซะ เรื่องจะได้จบๆ แล้วเดี๋ยวก็ต้องช่วยค่ารักษาพยาบาลให้น้องคนนั้นด้วย เห็นอาจารย์เขาบอกว่าหน้าบวมเขียวเลย ดีที่ลูกเขาไม่ฟันหักหรือเป็นอะไรไปมากกว่านั้น” “โธ่ ไม่น่าเลยนะคะ ทำไมหนูนุ่มถึงได้เกเรแบบนี้ไปได้” แม้ไม่ได้เห็นด้วยสายตา แต่ก็เชื่อว่าคงไม่มีใครกุเรื่องไม่ดีไม่งามขึ้นมาใส่ร้ายลูกสาวเธอหรอก ลองว่าอาจารย์ประจำชั้นโทรศัพท์มาต่อว่าเองแบบนี้ คงเข้าขั้นความผิดร้ายแรงเลยทีเดียว โทษฐานทะเลาะวิวาทในสถานศึกษา ทั้งยังเป็นผู้หญิงด้วยกันทั้งคู่ งามหน้านักเชียว เฮ้อ นี่ล่ะนะที่โบราณเขาว่า มีลูกสาวเหมือนมีส้วมอยู่หน้าบ้าน ซ้ำร้ายกว่านั้น ยังมีเรื่องกันในวันสอบวันสุดท้ายอีกต่างหาก ฟังจากที่สามีเล่าก่อนหน้า เหมือนว่านิรดาและเพื่อนนักเรียนหญิงร่วมห้องคนนี้จะไม่ค่อยลงรอยกันมาแต่ไหนแต่ไร เป็นคู่แข่งกันทั้งเรื่องเรียนและกีฬามาตั้งแต่มัธยมต้น แต่จุดแตกหักและกลายเป็นรอยร้าวที่สร้างความเป็นศัตรูถาวรให้แก่คนทั้งคู่ เกิดจากการที่พี่ชายของนักเรียนหญิงคนนั้นมีท่าทีชอบพอในตัวของนิรดา ซึ่งเขาแสดงออกชัดเจนมากเมื่อตอนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่หก และตอนนั้นนิรดาอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ห้า นั่นสร้างความไม่พอใจให้แก่เพื่อนนักเรียนหญิงร่วมห้องที่หวงพี่ชายคนเดียวมาแต่ไหนแต่ไร เจ้าหล่อนต่อว่าต่อขานอะไรนิรดาในวันสอบวันสุดท้ายก็ไม่ทราบ ถึงทำให้นิรดาฟิวส์ขาดจนลงไม้ลงมือ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ก็มีการปะทะคารมกันเป็นประจำ แต่ไม่เห็นว่าจะลุกลามกลายเป็นเรื่องใหญ่ ออกแนวต่อล้อต่อเถียงกันตามประสาเด็กมากกว่า แต่ปัญหาจากที่ไปที่มาทั้งหมด มันก็กลายมาเป็นเรื่องที่ทำให้พ่อกับแม่ของนิรดาต้องมานั่งปวดหัวอยู่ตอนนี้ คิดไม่ตกว่าฝ่ายตรงข้ามจะเอาเรื่องอย่างไร อีกทั้งลูกสาวตัวน้อยที่โดนทำโทษไปนั่นเล่า ตอนนี้ยังคงเก็บตัวเงียบอยู่ในห้องคนเดียวนับชั่วโมงแล้ว “แต่จริงๆ แล้ว นนท์ไม่น่าตีลูกแรงขนาดนั้นเลยนะคะ บางทีลูกอาจจะมีเหตุผลหรือไม่ได้ตั้งใจให้มีเรื่องแบบนั้นก็ได้” “นิด…เอาอีกแล้วนะ” ผู้เป็นสามีท้วงเสียงต่ำ ทำให้อีกฝ่ายรีบก้มหน้าก้มตาหลบอย่างหงอยๆ แต่ไหนแต่ไรมา ผู้เป็นภรรยาก็รักลูกมาก แม้ต่อหน้าลูก เธอจะไม่ได้แสดงออกถึงอาการตามใจ แต่พอมีเรื่องมีราวอะไรขึ้นมาเมื่อไหร่ เป็นได้แย้งเขาเรื่องลงโทษลูกทุกที แต่กระนั้นก็ไม่สามารถห้ามผู้เป็นสามีอย่างนนท์ได้ เพราะเขาถือคติว่า รักวัวให้ผูกรักลูกให้ตี จะได้ไม่มีใครมาด่าว่าลูกเขาเป็นเด็กที่พ่อแม่ไม่สั่งสอน เหมือนอย่างตอนนี้ ใครที่ได้รู้กิตติศัพท์ของนิรดาจากเรื่องที่เกิดขึ้น คงกำลังคิดด่าเขาหรือภรรยาอยู่บ้างแล้วล่ะ ว่าสอนลูกยังไงถึงได้มีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น “ยัยนิ่มเป็นยังไงบ้าง หมอบอกว่ายังไง” นนท์เปลี่ยนเรื่องถามถึงลูกสาวอีกคน เมื่อมองออกไปยังหน้าบ้านผ่านช่องหน้าต่าง เห็นร่างเล็กผอมได้สัดส่วนแต่ติดจะมีเนื้อหนังมังสาเต็มตึงแต่ไม่ถึงขั้นอวบอ้วน สูงราวหนึ่งร้อยหกสิบเซนติเมตร กำลังก้มๆ เงยๆ อยู่กับแปลงดอกคุณนายตื่นสายที่เจ้าตัวชอบพรวนดินเล่นอยู่เป็นประจำ “ก็ปกติดีค่ะ ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง เพียงแต่ต้องให้กินยาสม่ำเสมอเพื่อระวังอาการเหม่อลอยที่อาจจะเกิดขึ้นได้ค่ะ” “อืม ดีแล้วล่ะ…เหนื่อยหรือเปล่า” มือหนาเอื้อมไปจับมือบางที่ประสานกันอยู่บนตักขึ้นมาแนบกับใบหน้าที่ยังคงหล่อคมไม่เสื่อมคลาย แม้วัยจะล่วงเลยมาจนสี่สิบสี่ปีแล้วก็ตาม โชคดีที่ทั้งคู่มีลูกทันทีหลังแต่งงาน เรียกได้ว่ามีลูกทันใช้ แต่บางทีก็อดคิดไม่ได้ว่าจะได้ใช้ลูกจริงๆ หรือเปล่า คนที่เพิ่งเป็นประเด็นก็ดื้อเกินใคร อีกคนที่อยู่หน้าบ้านก็ไม่ค่อยจะรู้เรื่องรู้ราว ไม่ต่างจากเด็กเล็กๆ สักเท่าไหร่ “ทำไมนนท์ถามแบบนี้ล่ะคะ นิดไม่เคยเหนื่อยเลย แค่มีคุณกับลูก นิดก็มีความสุขที่สุดแล้วค่ะ” ใบหน้าสวยผ่องซึ่งเป็นต้นแบบของความงามอ่อนหวานของบุตรสาวทั้งสอง บอกสามีด้วยรอยยิ้มพิมพ์ใจ ที่ไม่ว่าจะผ่านทุกข์ผ่านสุขมามากแค่ไหน เธอก็ยังคงมีรอยยิ้มและกำลังใจให้เขาไม่เปลี่ยนแปลง “ผมก็เหมือนกัน” ชายหนุ่มดึงแขนเล็กเข้ามาใกล้ ก่อนจะกดศีรษะเล็กให้แนบอยู่กับอกด้วยความตื้นตันใจ เช่นเดียวกับภรรยาที่เต็มใจซุกซบลงซึมซับความอบอุ่นจากกายเขา เหมือนอย่างที่เคยได้รับตลอดมา ท่ามกลางวันเวลาที่เปลี่ยนไป แต่หัวใจและความรักของคนทั้งคู่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง แม้ชีวิตต้องเจอกับโชคชะตาฟ้าลิขิตที่ถาโถมเข้ามาพิสูจน์ และถูกลมพายุพัดกระหน่ำไม่ต่างจากต้นไม้ใบหญ้าที่ชูก้านท้าแรงลมจนไหวเอน แต่ทั้งสองก็จับจูงฝ่าฟันกันมาได้ และมันจะเป็นเช่นนั้นตลอดไป… ก๊อก ก๊อก ก๊อก เสียงเคาะประตูที่ดังอยู่ด้านนอก ทำให้ร่างเล็กดีดผึงขึ้นจากที่นอนด้วยความหงุดหงิด ใครอีกล่ะ เสียงเล็กๆ คิดอยู่ภายในใจ แต่ครั้นคิดได้ว่าไม่ไปดูก็ไม่รู้ เท้าเรียวเล็กจึงก้าวลงจากเตียง แล้วก้าวอาดๆ ไปยังประตู นิรดาถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อพบกับใบหน้าสวยใสมองเผินๆ ราวพิมพ์เดียวกันกับเธอ ไม่ต่างจากฝาแฝด แต่แท้ที่จริงแล้ว คนตรงหน้าเป็นพี่สาวที่อายุแก่กว่าหนึ่งปี กระนั้นทั้งคู่ก็สนิทสนมกันแบบเพื่อนมากกว่าจะเป็นพี่น้องกัน “หนูนุ่มทำไมไม่เปลี่ยนชุดลงไปข้างล่างล่ะ จะได้ไปเล่นด้วยกัน” นิรดาถอนหายใจกับความคิดของพี่สาว ที่ไม่ว่ายังไงก็ห่วงเล่นไม่ต่างจากเด็กเล็กๆ โหยหาความสนุกซนๆ เมื่อไหร่ นางสาวนิรตา สิริลดาวงศ์ จะคิดได้บ้างว่าตัวเองอายุเท่าไหร่แล้ว “หนูนิ่มไปเล่นคนเดียวเหอะ นุ่มไม่มีอารมณ์” “ทำไมอะ แล้วพี่จะเล่นกับใคร ถ้าหนูนุ่มไม่เล่นด้วย” ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะไม่เข้าใจ และท่าทางจะซักไซ้ไล่เรียงคนไม่มีอารมณ์ไปอีกยาว “เซ็ง” นิรดาตอบ พลางถอนหายใจอย่างเบื่อๆ โดยไม่เก็บอาการสักนิด “เซ็งอะไรเหรอ” “โอ๊ย หนูนิ่มอย่าเพิ่งมาถามอะไรนุ่มตอนนี้ได้มั้ย นุ่มบอกว่าเซ็งก็เซ็งสิ คนยิ่งอารมณ์ไม่ดีอยู่” “โอเคๆ พี่ไม่กวนแล้วก็ได้ แต่หนูนุ่มต้องลงไปข้างล่างกับพี่นะ เราจะได้ตีแบดกัน” คนบอกว่าไม่กวนแล้ว แต่กลับเชิญชวนในสิ่งที่อีกคนไม่ได้อยากจะทำกิจกรรมด้วยเลยสักนิด ตกลงว่าพี่สาวสมองนิ่มสมชื่อเข้าใจในสิ่งที่เธอพูดจริงๆ มั้ยเนี่ย! “ไว้พรุ่งนี้ละกัน นุ่มเล่นไม่ไหวแล้ววันนี้ เจ็บก้นไปหมดแล้ว” นิรดาอธิบายพลางลูบก้นตัวเองป้อยๆ ยังแสบร้อนไม่หายแม้จะผ่านมาหลายชั่วโมงแล้วก็ตาม คิดแล้วก็น้อยใจคนลงโทษเธอยิ่งนัก คุณพ่อใจร้าย แค่นี้ก็ต้องตีกันจนสุดแรงด้วย เธอไม่ได้ทำอะไรผิดเสียหน่อย ยัยคนนั้นมันปากไม่ดีเองที่มาดูถูกหาว่าเธอไปอ่อยพี่ชายตัวเอง คนอย่างนิรดามีเกียรติและศักดิ์ศรีพอที่จะไม่ทำอย่างนั้น เธอมีผู้ชายมารุมจีบตั้งเท่าไหร่ ทั้งขนมและดอกไม้ที่มีคนเอามาวางไว้ให้ที่โต๊ะนักเรียนเกือบทุกวัน เรื่องอะไรต้องไปอ่อยพี่ชายยัยนั่นด้วย ที่หาเรื่องหาราวได้ตลอด คงเพราะอิจฉาเธอมากกว่าล่ะสิที่เธอมีคนมารุมล้อมหลงรักมากมาย ผิดกับตัวเองที่กว่าจะมีคนหลงผิดมาชอบได้ ก็แทบจะรอให้ควายออกลูกเป็นลิงซะก่อน นิรดาคิดถึงเพื่อนร่วมห้อง อริหมายเลขหนึ่งอย่างแค้นใจไม่หาย แต่อย่างน้อยความแค้นใจนั้นก็ค่อยบรรเทาเบาบางลงบ้างเมื่อได้ตะบันหน้ายัยนั่น คงปากเจ็บหน้าบวม แว้ดๆ ไม่ได้ไปอีกนาน สมน้ำหน้า! ไม่มีใครรู้ว่าที่นิรดาถึงขั้นโกรธจัดจนทำแบบนั้น นั่นเพราะแม่เพื่อนร่วมชั้นตัวดียกกระเป๋านักเรียนอันหนักอึ้งทุ่มใส่เธอก่อน กระแทกอย่างแรงจนเจ็บหลังไปหมด การโต้เถียงที่ควรจบแค่คำพูดจึงกลายเป็นการใช้กำลังและเกิดเรื่องราวตามที่บุพการีเข้าใจ แต่เธอไม่คิดจะอธิบายให้ใครมาเข้าข้างทั้งนั้น วันนี้เป็นวันสอบวันสุดท้าย ต่างฝ่ายต่างก็ไม่ต้องทนเห็นหน้ากันอีกต่อไป เว้นแต่ว่า วันพรุ่งนี้ที่อาจารย์เรียกพบผู้ปกครองจะมีอะไรให้เธอต้องรับผิดชอบต่อความผิดที่ร่วมก่อขึ้นแต่กลับถูกมองว่าเป็นคนผิดฝ่ายเดียว นิรดาตกอยู่ในภวังค์ จนไม่ทันได้สังเกตว่าพี่สาวตัวดีตอนนี้ไม่ได้ยืนอยู่ตรงหน้า แต่กลับถลาขึ้นไปนอนกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนที่นอนหนานุ่มของเธอเสียนี่ “หนูนิ่ม ขึ้นไปเล่นบนที่นอนนุ่มอีกแล้วนะ ที่นอนตัวเองก็มีทำไมไม่ไปนอนที่ห้องตัวเล่า” นิรดาว่าอย่างฉุนๆ ก่อนจะตามเก็บหมอนหนุน ตุ๊กตา และผ้าห่ม ที่หล่นเกลื่อนกลาดจากการกลิ้งไปกลิ้งมาอย่างร่าเริงของคนที่ถือสิทธิ์ประหนึ่งเป็นเจ้าของเช่นกัน อีกฝ่ายไม่ตอบ ได้แต่จับตุ๊กตานั้นขึ้นมา แล้วพึมพำเบาๆ โดยไม่รู้ว่าเป็นภาษาอะไร คนอะไรคุยกับตุ๊กตาได้เป็นตุเป็นตะ เจ้าของห้องตัวจริงส่ายหน้าให้กับกิริยาท่าทางไม่ต่างจากเด็กน้อยได้ของเล่นถูกใจนั้น แล้วจึงหันไปสนใจกับเน็ตบุ๊กเครื่องเล็ก เปิดหน้าจอค้นหาข้อมูลเรื่องการศึกษาต่อ ก่อนจะอ่านอย่างตั้งใจ เพราะนี่เป็นอนาคตที่เธอต้องการจะกำหนดเองนับจากนี้ ว่าจะเรียนต่อที่ไหน สาขาอะไร โดยไม่ต้องการให้ใครมาบังคับอะไรได้อีก…
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม