ตอนที่4. ได้ยินหรือเปล่า

1458 คำ
“สิ่งล้ำค่าที่สุดของเทซาเนีย? ไม่เคยได้ยินเรื่องนี้เลยค่ะ”             เสียงหัวเราะในลำคอดังขึ้นก่อนจะเอ่ยอธิบาย “เทซาเนียประเทศที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่าสองร้อยปี แม้จะเป็นประเทศที่อยู่กลางทะเลทรายทว่ากลับอุดมสมบูรณ์ไปด้วยน้ำมันดิบและที่ไม่มีใครกล้าพูดถึงก็คือเพชร”             “ทำไมละคะ”             “ชาวเทซาเนียเชื่อว่าพระเจ้าทรงประทานสองสิ่งนี้มาให้เพื่อตอบแทนที่พวกเขาผ่านบททดสอบของชีวิตได้ นั่นก็คือความอดทนที่ต้องใช้ชีวิตท่ามกลางทะเลทราย พวกเขาจึงไม่ปรารถนาจะบอกใครและเก็บสิ่งนี้ไว้เป็นความลับ จนเมื่อหลายสิบปีก่อนที่มีการติดต่อกับต่างชาติมากขึ้นทำให้มีการสำรวจพื้นที่ในเทซาเนียจึงได้รู้ว่ามีสิ่งล้ำค่าซุกซ่อนอยู่”             “ชาวบ้านไม่ได้ผลประโยชน์เหรอคะ?”             “ใช่...สุดท้ายแล้วก็เสียเล่ห์พวกนักลงทุน บางคนที่ยังเชื่อมั่นในเรื่องเล่าก็จะปิดบังและพยายามซ่อนความลับนั้นไว้ แต่ความยากจนและไม่รู้หนังสือมันเป็นตัวอุปสรรค์ที่กำลังทดสอบพวกเขาอยู่”             “นั่นคือเหตุผลที่คุณจะกลับเทซาเนียบ้านเกิดของคุณใช่ไหมคะ วาคิม...”             “ใช่...ที่นี่คือบ้านเกิดของผม...”             “วันนั้นคุณทำฉันตกใจแทบแย่” สาริศาหัวเราะร่วนพลางยกแก้วไวน์ขึ้นจิบ “คุณคงไม่รังเกียจผู้หญิงดื่มไวน์นะคะ”             ชายหนุ่มโคลงศีรษะไปมา “ผมขอโทษที่ทำให้คุณตกใจ”             “แต่ก็ถือว่าเป็นการพบกันที่แปลกดี” สาริศายิ้มแล้วมองเหม่อไปที่บนเวทีเตี้ยๆ มีนักดนตรีกำลังบรรเลงเพลงอยู่  “ฉันต้องทำงานกลางคืนตั้งหลายเดือนกว่าจะได้เก็บเงินมาเที่ยวเทซาเนีย”             “ทำงานกลางคืน?”             “อ๊ะ! อย่าเข้าใจผิดนะคะ” สาริศาโบกมือไปมา “ฉันเป็นนักดนตรีค่ะ เล่นไวโอลีน” ช่วงนั้นเธอยังเป็นนักศึกษาไส้แห้งที่วิ่งรอกทำงานหลายที่เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายของตัวเองที่ประเทศอังกฤษ ทุกคืนวันเสาร์เธอจะไปเล่นดนตรีที่ผับเล็กๆ แห่งหนึ่ง ผู้คนมากมายทำให้เธอได้รู้จักโลกอีกใบที่ซ้อนอยู่              “ผมไม่รู้จะเริ่มต้นยังไงไม่ให้คุณรู้สึกกลัวผม” เขาเอ่ยน้ำเสียงราบเรียบ แต่ในแสงสลัวสาริศาก็รู้สึกถึงพลังอำนาจในแววตาคมคู่นั้น             “เริ่มด้วยการแนะนำตัวเองก่อนดีไหมคะ” สาริศายิ้มกว้างในแบบฉบับของเธอ “ฉันชื่อ‘สาริศา กวินนาถ’ นักศึกษาวิชาดนตรีที่ไส้แห้งค่ะ”             “ผมชื่อวาคิม” เขายื่นมือไปเพื่อสัมผัสมือทักทายกับหญิงสาว แต่แทนที่เขาจะปล่อยมือเธอ เขากลับพลิกฝ่ามือเธอหงายแล้วยกขึ้นแตะริมฝีปากของเขาเบาๆ “ผมเป็นอะไรก็ได้ที่คุณอยากให้ผมเป็น”             สาริศาหัวเราะแก้เขินแล้วดึงมือตัวเองกลับ แต่ความร้อนจากที่เขาจุดประกายขึ้นยังคงอยู่จนเธอจนแสร้งทำเป็นหยิบแก้วไวน์ดื่มขึ้น  และนั่นก็กลายเป็นจุดเริ่มต้นที่ทั้งสองที่ได้เริ่มทำความรู้จักกัน             สาริศาถอนหายใจเบาๆ เมื่อคิดถึงใบหน้าคมเข้ม ‘วาคิม’ เข้ามาในชีวิตเธอ เขาคือผู้ชายรูปร่างสูงสง่าเจ้าของแววตาดุดัน            ทว่าหลังจากที่ทั้งสองบังเอิญพบกันในร้านอาหารกึ่งผับที่บิเบวา ทั้งสองก็สนิทสนมกันอย่างรวดเร็วจนน่าประหลาดใจ            เขาคือชายคนเดียวกับชายในชุดดำที่เธอในพิพิธภัณฑ์              เธอเป็นนักท่องเที่ยวกระเป๋าแห้ง จากที่วางแผนจะอยู่เทซาเนียสามสัปดาห์กลายเป็นว่าเธอต้องอยู่ที่นั้นราวหกสัปดาห์เพราะเกิดการปฏิวัติขึ้น สนามบินถูกปิด นักท่องเที่ยวตกค้างจำนวนมาก เธอเป็นคนไทยไม่กี่คนที่อยู่ที่เทซาเนียการติดต่อทางการจึงล่าช้ามากกว่าที่คิด แต่กระนั้นเธอก็ไม่รู้สึกหวาดกลัวอะไรนักเพราะตอนนั้นมี ‘วาคิม’ ที่คอยมาดูแลเธอเป็นระยะๆ             เวลาที่ได้รู้จักพูดคุยมันเหมือนเวลาที่แสนอัศจรรย์ เธอค่อยๆ เรียนรู้เรื่องของเขาไปที่น้อยโดยไม่รู้ว่าวันหนึ่งเขามาพบเธอด้วยสีหน้าเคร่งเครียด               “ถ้าคุณไม่สะดวก เราค่อยคุยกันวันอื่นก็ได้ค่ะ” สาริศายิ้มให้อย่างเข้าใจแต่วาคิมคว้าข้อมือเธอไว้ก่อน             “ผมต้องไปจากที่นี่”             “คุณจะไปไหนคะ?” สาริศาถามอย่างตกใจ “ที่นี่เป็นบ้านเกิดของคุณไม่ใช่เหรอ”             “ใช่”  เขาพยักหน้ารับ “ผมต้องกลับไปแต่งงาน”             “แต่ง...แต่งงาน...” หัวใจของสาริศาเหมือนจะหยุดเต้นไปทันที             “มันเป็นความจำเป็น....ผม...”             “ยินดีด้วยค่ะ” สาริศาทำเป็นจับมือแสดงความยินดีกับเขาแล้วหัวเราะแต่ในใจเธอมันตรงข้าม “ยินดีด้วยจริงๆ ขอให้คุณมีความสุขมากๆ กับชีวิตคู่ของคุณนะคะ”             “ริต้า...”             “ขอให้คุณพบความสุขในชีวิตค่ะ”             “แต่ผมต้องการคุณ!”             “แต่คุณกำลังจะแต่งงาน!” สาริศาขึ้นเสียง “แล้วคุณจะให้ฉันไปอยู่ส่วนไหนในชีวิตคุณ!”             “ผมสามารถหาบ้าน รถและเงินทองให้คุณใช้ได้ไม่ขาดมือ ขอเพียงคุณอยู่กับผม!”             “วาคิม!” สาริศากำมือแน่น “ฉันไม่ใช่ผู้หญิงแบบนั้น!”             สาริศาเพิ่งรู้เสียงหัวใจตัวเองก็ครั้งแรก ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นจนไม่อาจฝืนยิ้มต่อหน้าเขาได้ หญิงสาวหมุนตัวแล้วรีบจับแท็กซี่เพื่อกลับที่พัก น้ำตาหยดแรกร่วงหล่นทันทีที่ปิดบานประตู  เธอไม่อาจโกรธหรือโมโหอะไรเขาได้เลย เพราะความสัมผัสที่เกิดขึ้นมีเพียงคำว่าเพื่อนเท่านั้น เธอไม่เคยรู้อะไรมากไปกว่าเขาชื่อ วาคิมเลย             เขาหายไปจากชีวิตเธอเหมือนกับที่เธอทำหัวใจหล่นหาย  จากนั้นเธอก็โชคดีมีแมวมอชวนเธอชักไปเล่นดนตรีในโรงแรมหรู ฝีมือทางด้านการเล่นไวโอลินที่สะกดใจคนฟังทำให้เธอสร้างชื่อได้อย่างรวดเร็ว แม้จะไม่อาจเทียบชั้นกับนักไวโอลินระดับโลกแต่สำหรับสาริศาแล้ว มันคือรางวัลของความพยายามที่ทำมาหลายปี                         แต่โชคดีก็อยู่กับเธอได้ไม่นาน...จนกระทั้งเธอประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ทำให้ชีวิตเธอต้องพลิกผันไปอีกครั้งหนึ่ง!. หญิงสาวในชุดกางเกงยีนเสื้อยืดพอดีตัว เธอกำลังขับกล่อมเด็กน้อยที่นั่งทำตาแป๋วบนเตียงนอนในโรงพยาบาลด้วยเสียงไวโอลินจังหวะสนุกสนาน เด็กน้อยบางคนตบมือตามจังหวะเพลงที่ได้ยิน บางคนหัวเราะคิกคัก แต่ทุกคนล้วนมีใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม             สาริศารู้สึกสุขใจทุกครั้งที่ได้เล่นไวโอลิน เมื่อไหร่ก็ตามที่เอพอจะมีเวลาว่าง หญิงสาวก็มักจะมาเล่นดนตรีให้ผู้ป่วยเด็กตามโรงพยาบาลต่างๆ หรือไม่ก็ไปที่บ้านพักคนชรา นานหลายปีแล้วที่เธอทำเช่นนี้และเป็นอีกภาพที่ไม่ค่อยมีใครได้เห็นหรือรู้จักนัก แม้วาเธอจะเป็นนักดนตรีมานานแต่ภาพนี้ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักเท่ากับภาพนางแบบสุดเซ็กซี่ตามหน้านิตยสาร             “เอาล่ะ หมดเวลาของพี่ริต้าแล้ว ทุกคนอย่าลืมสัญญาที่ให้ไว้กับพี่ริต้านะคะ ห้ามดื้อกับคุณหมอและพี่พยาบาลคนสวย แล้วอาทิตย์หน้าพี่ริต้าจะแวะมาสอนน้องๆ เล่นดนตรีอีก” หญิงสาวกล่าวลา เด็กๆ หลายคนหอมแก้มแทนคำขอบคุณและบางคนยังเขินอายอยู่ สาริศาได้แต่ยิ้มกว้างที่อย่างน้อย การเรียนดนตรีของเธอก็สามารถนำมาปรับใช้ให้เป็นประโยชน์กับผู้ป่วยเด็กเหล่านี้ได้             “ขอบใจริต้ามากเลยนะ” ธันวา-นายแพทย์หนุ่มรูปหล่อขวัญใจพยาบาลและผู้ป่วยสาวเข้ามาทักทายสาริศา “เด็กๆ ดูมีความสุขมากทีเดียว”             “เรื่องเล็กน้อยค่ะพี่หมอ” สาริศายิ้มกว้าง “ที่ริต้ามีวันนี้ก็เพราะวันนั้นพี่หมอชวนมาเล่นดนตรีที่นี่...รอยยิ้มและเสียงหัวเราะของพวกเขาเป็นกำลังใจทำให้ริต้ากล้าลุกขึ้นยืนอีกครั้งค่ะ” สาริศาหวนคิดถึงความรู้สึกที่ลืมตาขึ้นแล้วรู้ว่าตัวเองขยับตัวไม่ได้   คนที่เคยทำอะไรได้เองกลับต้องคอยพึ่งพาคนอื่น ทั้งที่รู้ดีว่ามีแม่ที่เธอยังเป็นกังวลต้องดูแล แต่เธอก็อ่อนล้าและเกือบจะยอมแพ้ต่อการบาดเจ็บของตัวเอง    แต่เมื่อหมอธันวาชักชวนให้เธอลองมาเล่นไวโอลินให้ผู้ป่วยเด็ก รอยยิ้มและเสียงหัวเราะของพวกเขากลายเป็นแรงบันดาลใจให้เธอต่อสู้กับอาการเจ็บปวดของร่างกาย  ฝึกทำกายภาพบำบัดทุกวันจนสามารถกลับมาใช้ชีวิตปกติได้อีกครั้ง
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม