ตลอดทางที่นั่งรถมาด้วยกันพริมาอยากถามผู้ชายที่ขับรถให้เธอนั่งว่าเขาได้วางแผนไว้หรือเปล่า แต่พออ้าปากจะพูดก็เปลี่ยนใจ พอผ่านไปสักพักก็ทำท่าว่าจะขอคำตอบ แต่สุดท้ายก็มีเพียงความเงียบจนกระทั่งถึงร้านอาหารที่อยู่ไม่ห่างจากคอนโดมิเนียมนัก
“เที่ยงแล้ว” เขาหันมาส่งยิ้มให้กับเธอ ก่อนลงจากรถเตรียมเดินไปเปิดประตูให้ ทว่าพริมาไม่สนใจ รีบดูแลตัวเองอย่างที่ทำมาตลอดชีวิต กว่าอีกฝ่ายจะอ้อมมาถึงเธอก็ลงไปยืนทำหน้าไม่พอใจรออยู่แล้ว
“พริมควรรอพี่…”
“ไม่เป็นไรค่ะ พริมมีมือ” พริมาตอบอย่างไม่สนใจมารยาท เธอไม่ชอบเวลาที่เขาอมยิ้มราวกับรู้ทันไปเสียทุกอย่าง ตอนนี้เองก็เช่นกัน
“พริมไม่น่ารักเลยนะ”
“ก็ไม่ได้ขอให้มารัก ไม่ได้อยากถูกเอาเปรียบ”
“พี่เอาเปรียบพริม? เอาเปรียบยังไงเหรอคะ?”
“คุณปุณณ์หลอกให้พริมยอมบอกกับทุกคนว่าเราหมั้นกันแล้ว” พริมาเอ่ยเรื่องที่ค้างคาใจออกมาในที่สุด ไม่ชอบเวลาที่ตามเล่ห์เหลี่ยมของเขาไม่ทัน ทั้งๆ ที่ปกติแล้วตัวเธอเองนั้นก็มีประสบการณ์ไม่น้อยไปกว่าใคร
“เสนอตัวเองแต่กลับมาโทษพี่ ทำแบบนี้เหมือนเด็กไม่มีวุฒิภาวะเลยนะพริม”
“คุณปุณณ์…” ถูกเขาดุเสียงเรียบ พริมาจึงค่อยได้สติว่าตัวเองไร้นั้นมารยาท เขาคือคู่หมั้นที่เธอไม่ต้องการก็จริง แต่ก็ยังเป็นถึงประธานบริษัทและลูกชายคนโตของผู้มีพระคุณ คิดพูดจาอะไรก็ต้องระวังให้มาก
“บอกแล้วว่านอกเวลางานให้เรียกพี่ ไม่อย่างนั้นจะถูกทำโทษ ยิ่งก้าวร้าวกล่าวหากันแบบนี้ด้วยแล้ว พี่คงปล่อยผ่านไม่ได้” เขาหรี่ตามองเธออย่างไม่พอใจเพียงชั่วขณะก็เปลี่ยนสีหน้าให้เป็นปกติอย่างรวดเร็ว ทั้งยังสอดแขนโอบเอวเธอเดินเข้าร้านอาหารราวกับไม่ได้เพิ่งเกือบทะเลาะกันมา
“พริมขอโทษค่ะ” พริมากระซิบหลังจากเขาเลื่อนเก้าอี้ให้เธอนั่งราวกับเป็นคนรักกันจริงๆ
“เดี๋ยวค่อยเอาไว้คุยกันที่บ้านนะ… มีนักข่าวกำลังแอบถ่ายรูปเราอยู่” ประโยคหลังปุณณ์กระซิบข้างหูของคู่หมั้น ไม่ลืมกดจมูกหอมเบาๆ โดยไม่สนใจว่าจะมีใครเห็นภาพนี้บ้าง ซึ่งพริมาเองพอได้ยินว่ามีนักข่าวก็ได้แต่เล่นละครตามเขาไป ส่วนเรื่องหอมแก้มในที่สาธารณะนั้นเอาไว้คิดบัญชีทีหลังก็แล้วกัน
เธอมองเขาสั่งอาหารและยิ้มโปรยเสน่ห์ให้กับพนักงานเสิร์ฟผู้หญิง เห็นแล้วหงุดหงิดจนแทบไม่อยากกลืนอะไรลงคอ
“พริมไม่ค่อยหิวน่ะค่ะ”
เธอปฏิเสธเมื่อเขาคะยั้นคะยอให้สั่งอาหารเพิ่มนอกเหนือจากน้ำผลไม้ปั่นแก้วเดียว อ้างว่าเมื่อเช้ารับประทานแซนด์วิชง่ายๆ กับกาแฟแก้วใหญ่จากคาเฟ่หน้าบริษัทจึงไม่ค่อยหิว ทั้งๆ ที่ความจริงนั่งท้องร้องมาได้พักใหญ่แล้ว
“พี่ไม่ชอบนั่งทานคนเดียว ถ้าพี่รู้ว่าพริมไม่หิว พี่จะพาพริมกลับบ้าน แล้วค่อยสั่งเดลิเวอรี…”
“พี่ปุณณ์ไม่ชอบนั่งทานข้าวคนเดียว แต่พริมไม่ชอบที่พี่จัดฉากให้นักข่าวมาทำข่าวเราโดยที่พริมยังไม่พร้อม ไม่ได้ตกลงรายละเอียดอะไรเลย”
“แต่พี่ไม่ได้จัดฉาก…”
“พริมไม่เชื่อ เอาเถอะค่ะ พริมสั่งอาหารก็ได้ ปัญหามันจะได้จบๆ เสียที” เธอขัดขึ้นอย่างรำคาญ ก่อนพยักหน้าเรียกบริกรมารับออเดอร์ เพื่อลดความตึงเครียดระหว่างเธอกับเขาลงบ้าง
คนตัวโตยังไม่ได้รับประทานอาหารเช้าและตอนนี้ก็ใกล้จะเที่ยงแล้วด้วย หากอยู่ในสถานการณ์ปกติเขาคงจะแสดงความไม่น่ารักออกมา แต่ผู้หญิงตรงหน้าคือคู่หมั้นต้องเอาใจใส่ ไหนจะนักข่าวที่นั่งอยู่ไม่ไกลนั่นอีก ท้ายที่สุดเขาจึงทำในสิ่งที่ตัวเองคิดว่าถูกต้องแล้ว
“ผมขอพบผู้จัดการร้านหน่อยนะครับ”
ปุณณ์กล่าวกับบริกรที่มารับรายการอาหาร สีหน้าบอกชัดว่ากำลังไม่พอใจ ซึ่งเด็กหนุ่มคนนั้นก็รีบขอตัวไปจัดการตามที่เขาต้องการทันที
“พี่ปุณณ์จะทำอะไรคะ” เขากดยิ้มมุมปาก ก่อนโน้มตัวลงกระซิบประโยคที่ทำให้พริมารู้สึกเห่อร้อนทั่วใบหน้าเพราะความอาย
“พิสูจน์ให้ว่าที่เมียเห็น ว่าผัวไม่ได้ชั่วอย่างที่ถูกกล่าวหา…” กล่าวจบเขาก็ตรงไปยังผู้จัดการร้านที่เพิ่งเดินเข้ามา เธอดูประหม่าอย่างมาก ซึ่งพริมาไม่ได้แปลกใจอะไร เพราะไม่ว่าใครได้เห็นคุณปุณณ์เป็นครั้งแรกก็มักจะมีอาการแบบนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาที่เขาไม่พอใจหรือต้องการกดดันอะไรบางอย่าง
หลังจากรอแค่ชั่วอึดใจ เขาก็เดินกลับมาหาเธอและเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่าทุกอย่างถูกจัดการเรียบร้อยแล้ว
พริมาเห็นผู้จัดการร้านและพนักงานรักษาความปลอดภัยเดินตรงไปยังผู้ชายคนหนึ่งที่นั่งสวมหมวกปิดบังใบหน้า หากมองดีๆ จะเห็นกล้องราคาแพงวางอยู่บนโต๊ะด้วย เธอไม่รู้ว่าเขาคุยอะไรกัน แต่สุดท้ายคนคนนั้นก็ยอมเปิดกล้องและทำท่าทางราวกับกำลังลบข้อมูลออกให้ตามที่เจ้าของร้านร้องขอ
หากพูดให้ถูกต้องก็คือตามที่คุณปุณณ์ ทิวานันท์ ออกคำสั่งนั่นเอง!