ตอนที่ 4 แผนเข้าวัง 1.1

2565 คำ
บริเวณใจกลางเมือง ร่างสูงองอาจของเสิ่นอี้ก้าวเดินไปตามท้องถนนที่เต็มไปด้วยร้านค้าที่เปิดทำการมากมาย ซึ่งช่วงเวลานี้กำลังครึกครื้นและเต็มไปด้วยชาวเมืองฉู่และผู้คนต่างแคว้น เดินทางนำสินค้ามาแลกเปลี่ยนเพื่อได้ข้าวสาร อาหารแห้ง เสื้อผ้ารวมไปถึงเครื่องนุ่งห่ม จอมยุทธ์หนุ่มสวมอาภรณ์สีดำทะมึน ภายในมือถือดาบคู่กายติดตัวอยู่ตลอดเวลาไม่เคยห่างจากตัวแม้แต่น้อย จากคุณชายสามแห่งตระกูลเสิ่นที่มีอำนาจและบารมีคับเมืองเพราะพี่ชายคนโตเป็นถึงแม่ทัพใหญ่ผู้กล้าที่ควบคุมกองกำลังทหารทั้งหมดของต้าฉู่ กลับกลายเป็นคนไร้สิ้นญาติมิตรและวงศ์วาน ไม่มีบ้านที่จะใช้ซุกหัวนอน และไร้สิ้นตระกูลของตัวเองเพราะถูกคนโฉดใส่ร้ายทำให้ได้รับโทษประหารตายตกไปตามกันทั้งหมด ภายในใจเต็มไปด้วยแรงแค้นคุกรุ่นและลุกโชนอย่างไม่หยุดยั้ง เฝ้าครุ่นคิดหากลวิธีที่จะนำมาจัดการมี่ฟูเหรินและแม่ทัพหยวนคัง หญิงชั่วชายโฉดทั้งสองนี้ให้จงได้ “รีบไปดูประกาศที่ศาลากลางเมืองกันเถอะได้ยินมาว่า ทางวังหลวงจะมีการคัดเลือกทหารที่ได้รับการถูกฝึกมาแล้วให้ทำการประลองเชิงยุทธ์เข้ามาเป็นองครักษ์เพื่ออารักขาฉู่อ๋องและบรรดาพระสนม รวมไปถึงบรรดาเชื้อพระวงศ์ประจำตามตำหนักต่างๆ ดูท่าปีนี้จะต้องเข้มข้นมากเลย เพราะกองกำลังทหารจากตระกูลเสิ่นของแม่ทัพเสิ่นเยี่ย ถูกนำมาคัดเลือกด้วย” “พูดถึงแม่ทัพเสิ่นเยี่ยก็น่าเสียดายยิ่งนัก ท่านแม่ทัพประพฤติตนเยี่ยงนั่นจริงหรือนี่ ไม่อยากจะเชื่อเลย ทำให้ตระกูลสูญสิ้นได้รับโทษประหารจนหมด ทหารที่ขึ้นสังกัดกับแม่ทัพเสิ่นเยี่ยต้องไปขึ้นอยู่กับแม่ทัพหยวนคังแทบจะทั้งหมด มีเพียงบางส่วนที่มีวรยุทธ์อยู่ในขั้นดีจะถูกคัดเลือกแล้วให้มาประลองเชิงยุทธ์เพื่อนำเข้าไปเป็นองครักษ์ภายในวัง” “รีบไปดูประกาศกันเถอะว่าจะมีการประลองยุทธ์วันไหน จะได้ไปดูการประลองตั้งแต่คู่แรก”เสียงของชาวเมืองต่างพูดคุยกันอย่างออกรสพลางรีบก้าวเดินตรงไปทางศาลากลางเมืองซึ่งเป็นเป้าหมายของตน ท่ามกลางสายตาของจอมยุทธ์หนุ่มหน้าหยกกำลังมองตามหลังชาวเมืองทั้งสองที่กำลังก้าวเดินนำหน้า ไปยังสถานที่เรียกว่าศาลากลางเมือง “ประลองเชิงยุทธ์เพื่อคัดเลือกองครักษ์ คอยถวายอารักขาฉู่อ๋องและพระสนมอย่างนั้นเหรอ”เสิ่นอี้ส่งเสียงพึมพำ แววตาฉายวาววับปรากฏขึ้นมาทันใด เมื่อล่วงรู้แล้วว่าจะสามารถเข้าไปภายในวังหลวงได้อย่างไร ร่างสูงของจอมยุทธ์หนุ่มก้าวเดินตรงไปยังถนนที่ทอดยาว อันเป็นที่ตั้งของศาลากลางเมืองเพื่ออ่านประกาศในการประลองคัดเลือกองครักษ์ในครั้งนี้อย่างละเอียด ศาลากลางเมือง ร่างสูงตระหง่านของเสิ่นอี้แทรกฝูงชนก้าวเข้าไปยืนอ่านประกาศที่ติดอยู่ตรงบริเวณแผ่นไม้ ซึ่งใช้สำหรับติดประกาศของทางการมากมาย โดยมีสายตาของชาวเมืองต่างพากันชะเง้อแหงนมอง ประกาศดังกล่าวพร้อมพยายามถามผู้คนที่อยู่ใกล้ซึ่งสามารถอ่านออกเขียนได้ ให้อ่านประกาศให้กับพวกตนได้ฟังบ้าง และจอมยุทธ์หนุ่มก็ตกเป็นเป้าสายตาของชาวเมืองกลุ่มดังกล่าว ด้วยเพราะท่วงท่าที่องอาจแลดูมีความรู้สามารถอ่านและเขียนได้อย่างแน่นอน ก่อนจะเสียงของชาวเมืองซึ่งเป็นบุรุษเอ่ยถามแทรกขึ้น “พี่ชายท่านนี้อ่านหนังสือออกใช่หรือไม่ ข้าเห็นท่านยืนนิ่งอยู่ครึ่งก้านธูปแล้ว ประกาศเขียนไว้อย่างไรบ้างหรือพี่ท่าน”เสียงของเด็กหนุ่มคนดังกล่าว คะเนว่าอายุอานามไม่เกินสิบแปดปีเอ่ยถามด้วยความอยากรู้ ร่างสูงของเสิ่นอี้หันกลับมามองเสียงที่เอ่ยถามเขาอยู่ทางด้านหลัง และพบว่าเป็นหนุ่มน้อยหน้ามนยืนอยู่กับเพื่อนที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน “เจ้าอยากรู้อย่างนั้นเหรอว่าประกาศของวังหลวงเขียนเอาไว้ว่าอย่างไร”เสิ่นอี้ถามเด็กหนุ่มกลับไป “ใช่ขอรับพี่ท่าน พวกข้าทั้งหมดอยากรู้ว่าประกาศของวังหลวงที่เพิ่งมาติดเมื่อหนึ่งชั่วยามก่อน เป็นเรื่องการคัดเลือกประลองเชิงยุทธ์เพื่อคัดเลือกทหารองครักษ์เข้าประจำการในพระราชวังหลวงใช่หรือไม่ เพราะว่าพวกข้าเคยเป็นทหารในกองทัพของแม่ทัพเสิ่น แต่พอเกิดเรื่องร้ายแรงกับท่านแม่ทัพทำให้พวกข้าถูกไปขึ้นตรงกับแม่ทัพหยวน ซึ่งพวกข้ามิใคร่เต็มใจที่จะไปขึ้นสังกัด จึงอยากจะประลองเชิงยุทธ์เข้าไปทำหน้าที่เป็นทหารองครักษ์ดีกว่าขอรับ” เสิ่นอี้พยักหน้าขึ้นลงครั้นได้ยินเช่นนั้น จอมยุทธ์หนุ่มยกแขนทั้งสองข้างขึ้นกอดอกก่อนจะเอ่ยขึ้น “เหตุใดพวกเจ้าจึงมิใคร่อยากไปขึ้นสังกัดกับแม่ทัพหยวน ข้าได้ยินมาว่าท่านแม่ทัพได้ก้าวขึ้นมาเป็นแม่ทัพใหญ่คุมกองทหารทั้งหมดของต้าฉู่ อนาคตทางราชการของพวกเจ้าเบื้องหน้าย่อมมีหนทางที่สดใสเหตุใดจึงคิดเปลี่ยนเส้นทาง”เสิ่นอี้ถามกลับไปอย่างสงสัยระคนใคร่รู้ เฮ้อ! เสียงทอดถอนหายใจดังออกมาอย่างพร้อมเพรียงกันของบรรดาเด็กหนุ่มวัยสิบเจ็ดปีนับสิบคนเลยทีเดียว ก่อนจะได้ยินเสียงหนึ่งในนั้นให้คำตอบกลับมา “นั่นก็เพราะพวกข้าล่วงรู้มาโดยตลอดว่าแม่ทัพหยวน ต้องการที่จะก้าวขึ้นมาแทนที่แม่ทัพเสิ่นอยู่ตลอดเวลา ติดตรงที่ว่าท่านแม่ทัพรั้งตำแหน่งผู้บัญชาการมาโดยตลอด หากท่านยังอยู่แม่ทัพหยวนไม่มีทางที่จะก้าวขึ้นมาคุมกองทัพของต้าฉู่ได้ และพวกข้าคิดว่าเหตุการณ์ร้ายที่เกิดขึ้นกับแม่ทัพเสิ่น อาจจะเบื้องหลังแอบแฝงก็อาจเป็นไปได้เพราะพวกข้าไม่มีผู้ใดเชื่อว่าท่านแม่ทัพจะประพฤติตนเช่นนั้น” เสิ่นอี้ยกยิ้มขึ้นที่มุมปากอย่างพึงพอใจกับคำตอบดังกล่าวครั้นได้ยินเช่นนั้น ความคิดบางอย่างโลดแล่นขึ้นมาโดยพลันหากต้องการเข้าไปในวังหลวงและมีหูตาคอยสอดส่องดูแล จะต้องมีพรรคมีพวกคอยเป็นหูเป็นตาร่วมด้วยช่วยกันและเด็กหนุ่มกว่าสิบชีวิตคือเป้าหมายของเสิ่นอี้ในเวลานี้ “ข้าเองก็ไม่มีทางเชื่อกับสิ่งที่ได้ยินเช่นกัน ไม่มีวันที่แม่ทัพเสิ่นจะประพฤติตนเช่นนั้นเป็นอันขาด เพราะข้ารู้จักอุปนิสัยท่านแม่ทัพเป็นอย่างดีข้า”จอมยุทธ์หน้าหยกกล่าวเสียงเข้มแฝงคำพูดที่บ่งบอกให้กลุ่มเด็กหนุ่มล่วงรู้ว่ามีความสนิทสนมกับอดีตแม่ทัพใหญ่เป็นอย่างดี “นี่ท่านรู้จักมักคุ้นกับแม่ทัพเสิ่นอย่างนั้นเหรอพี่ท่าน”เด็กหนุ่มคนดังกล่าวรีบถามสวนกลับไปด้วยความอยากรู้ เสิ่นอี้พยักหน้าขึ้นลงพร้อมเอ่ยขึ้น “ข้ากับแม่ทัพเสิ่นเคยเป็นศิษย์ร่วมสำนักฝึกวิชายุทธ์ด้วยกัน ท่านแม่ทัพเป็นศิษย์พี่ใหญ่ของข้าที่รักและเคารพท่านมาก ทันทีที่ล่วงรู้ข่าวการประหารตระกูลเสิ่น ข้าก็รีบเร่งเดินทางออกจากสำนักฝึกยุทธ์ไม่แวะพักแห่งหนใดเพื่อต้องการล่วงรู้ความจริงออกจากปากของท่านแม่ทัพ แต่ก็มาไม่ทันเห็นหน้าครั้งสุดท้าย”ประโยคสุดท้ายน้ำเสียงของเสิ่นอี้แฝงเร้นไปด้วยความเศร้าอย่างเห็นได้ชัด “ข้าก็คิดว่าเรื่องนี้แปลกมากขอรับพี่ท่าน กำหนดการประหารจริงคือสามวัน แต่ที่ข้าล่วงรู้มากลับไม่ใช่ แม่ทัพเสิ่นถูกประหารทันทีโดยไม่มีการไต่สวนแม้แต่น้อยไม่เปิดโอกาสให้ได้เอ่ยคำแก้ต่างหรือหาข้อพิสูจน์มาหักล้างแต่อย่างใด รวมไปถึงหลัวฟูเหรินก็ด้วยเช่นกัน ทั้งสองถูกประหารในวันเดียวกันและพร้อมกันเลยขอรับ”สิ้นเสียงของเด็กหนุ่มคนดังกล่าว ดวงตาสีนิลกาฬลุกโชนขึ้นมาทันใดครั้นได้ยินเช่นนั้น สายตาจับจ้องบรรดาเด็กหนุ่มหน้ามนตรงหน้ากว่าสิบชีวิตก่อนจะหยั่งเชิงออกไปเพื่อทดสอบบางอย่าง “ข้าก็แปลกใจไม่แพ้กับพวกเจ้าเช่นกัน ทันทีที่ได้ยินว่าทางราชสำนักจะคัดเลือกทหารองครักษ์จากทหารที่ผ่านการฝึกฝนมานานกว่าสามปี ข้าจึงรีบมาที่ศาลากลางเมืองเพื่ออ่านประกาศนี้ และคิดว่าหากแม้นสามารถประลองเชิงยุทธ์ผ่านการคัดเลือกเข้าไปเป็นองครักษ์ภายในวังหลวงได้ ข้าจะตามสืบข้อเท็จจริงเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธ์ให้แก่แม่ทัพเสิ่น เพราะข้าเชื่อมั่นว่าเรื่องนี้มีเบื้องหน้าเบื้องหลังอย่างแน่นอน” ทันทีที่บรรดาเด็กหนุ่มได้ยินเช่นนั้นแต่ละคนหันหน้ากลับมามองพร้อมกัน ต่างพากันพยักหน้าเป็นสัญญาณว่าทุกคนต่างเห็นชอบกับความคิดของเสิ่นอี้ด้วยกันทั้งสิ้น “พวกข้าทุกคนรักและศรัทธาในตัวแม่ทัพเสิ่นเป็นอย่างมาก และมีความคิดเช่นเดียวกันกับพี่ท่านเช่นกัน ในเมื่อต่างมีความคิดเห็นเหมือนกัน พวกข้าทั้งหมดก็อยากจะขอเข้าร่วมด้วยเพื่อหาทางพิสูจน์ความบริสุทธิ์ให้แก่แม่ทัพเสิ่น ท่านเป็นคนดีและเปี่ยมล้นไปด้วยคุณธรรมและความกล้าหาญ ไม่สมควรที่จะต้องมีจุดจบเช่นนี้ พี่ท่านว่าอย่างไรข้าก็ว่าตามกันขอรับ” คำตอบดังกล่าวสร้างความพึงพอใจให้กับเสิ่นอี้อย่างยิ่งยวด สองแขนยื่นออกไปพร้อมจับบ่าทั้งสองข้างของเด็กหนุ่มตรงหน้าพลางกวาดสายตามองเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ทางด้านหลังทั้งหมด “ข้าขอขอบใจที่พวกเจ้าทุกคนรักและเชื่อมั่นในตัวของแม่ทัพเสิ่น ความจริงทุกอย่างจะต้องปรากฏออกมาอีกในไม่ช้าอย่างแน่นอน ถ้าเช่นนั้นนับจากนี้เป็นต้นไป พวกเจ้าและข้าจะร่วมมือช่วยกันไขความกระจ่างของเรื่องนี้ให้ออกมาจงได้” “ขอรับ!!!”เสียงขานรับดังขึ้นอย่างแข็งขัน “สนทนากันอยู่เป็นนานพวกข้ายังไม่รู้จักชื่อเสียงเรียงนามของท่านเลย เดี๋ยวพวกข้าทุกคนจะแนะนำตัวกับพี่ท่านว่าแต่ละคนมีชื่อแซ่อย่างไรกันบ้าง”เด็กหนุ่มตรงหน้าบอกกลับมา เสิ่นอี้เมื่อได้ยินเด็กหนุ่มกล่าวออกมาเช่นนั้น สายตาคมกล้าของเขากวาดไปทั่วบริเวณศาลากลางเมืองไปโดยรอบพร้อมเอ่ยขึ้น “ข้าคิดว่าไปหาสถานที่เงียบสงบหารือจะดีกว่า อยู่ตรงนี้พูดอะไรออกมาหากไม่ระวังแล้วละก็ภัยร้ายจะถึงตัว พวกเจ้าตามข้ามา”กล่าวพร้อมเดินนำหน้าออกไปก่อน โดยมีอดีตทหารที่เคยขึ้นสังกัดแม่ทัพเสิ่นเยี่ยพากันเดินออกจากบริเวณดังกล่าวตามหลังไปอย่างกระชั้นชิด เพื่อหารือการคัดเลือกองครักษ์ที่จะเกิดขึ้นในอีกสิบวันข้างหน้านับต่อจากนี้ วันคัดเลือก ณ.ลานประลอง ภายในลานประลองขณะนี้เต็มไปด้วย บรรดาทหารมากมายต่างเดินทางมาเข้าร่วมการคัดเลือกเปรียบเทียบเชิงยุทธ์ เพื่อก้าวสู่ตำแหน่งองครักษ์ เพื่อคอยถวายอารักขาฉู่อ๋องและเชื้อพระวงศ์ซึ่งจะประจำการอยู่ภายในวังหลวง แต่ละคนเต็มไปด้วยสีหน้าที่เปี่ยมล้นไปด้วยความมั่นใจด้วยกันทั้งสิ้น ร่างสูงใหญ่เต็มไปด้วยความองอาจของเสิ่นอี้สวมอาภรณ์ของชาวยุทธ์สีน้ำเงินเข้มกำลังยืนอยู่บริเวณด้านนอกทางเข้าลานประลองกับบรรดาสหายใหม่ซึ่งมีจำนวนสิบห้าชีวิตที่อ่อนเยาว์กว่าเขาอยู่หลายปี อดีตทหารที่เคยขึ้นสังกัดกับแม่ทพเสิ่นเยี่ย บัดนี้ได้เข้ามาร่วมเป็นสหายกับจอมยุทธ์หนุ่มกำลังเดินตรงมาสมทบบริเวณที่เสิ่นอี้กำลังยืนอยู่ และทันทีที่มาถึงก็ยื่นบางอย่างที่อยู่ในมือส่งให้แก่จอมยุทธ์หนุ่ม “นี่ขอรับป้ายประจำตัวของทหารที่เคยขึ้นสังกัดกับแม่ทัพเสิ่น พวกข้านำมาให้ท่านสวมรอยแทนเจ้าของตราคนเดิมที่เพิ่งสิ้นชีพไปในวันที่กองทหารของวังหลวงบุกเข้าล้อมจวนท่านแม่ทัพ สหายของข้าผู้นี้กำลังนอนเจ็บอยู่ในจวนของท่านแม่ทัพก่อนหน้านั้นแล้ว และสิ้นชีพลงเมื่อตอนรุ่งสางก่อนที่ทหารทางวังหลวงจะมาทำการกวาดต้อนออกมาจากจวน จึงทำให้ไม่มีรายชื่อส่งรายงานไปให้ทางวังหลวงขอรับ” เสิ่นอี้ยื่นมือรับตราซึ่งทำจากไม้แกะเป็นตราสัญลักษณ์ของกองทัพแม่ทัพเสิ่นเยี่ย ตามด้วยและนามของผู้ถือตราประจำตัวดังกล่าว “หยางคุน”จอมยุทธ์หนุ่มพึมพำเจ้าของชื่อแซ่เจ้าของตราประจำตัวที่กำลังถืออยู่ในมือออกมา “ใช่แล้วขอรับ สหายของข้าผู้นี้มีนามตรงกับท่านแตกต่างตรงที่ท่านบอกว่าไม่มีแซ่มีแต่นาม หากแต่สหายข้าผู้นี้แซ่หยางช่างบังเอิญได้อย่างลงตัวเสียนี่กระไร” เสิ่นอี้พยักหน้าขึ้นลงเป็นการยอมรับ ด้วยเพราะเขาใช้นามรองที่มีแต่คนใกล้ชิดเท่านั้นจะเรียกขาน แม้แต่อดีตรักแรกของจอมยุทธ์หนุ่มยังล่วงรู้แค่นามปลอมที่บอกกับนาง ว่าเขานั้นมีนามเรียกขานว่า “เฉินอี้” หากแต่แซ่นั้นไม่มี ด้วยเพราะยังไม่ทันจะเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงกับนางออกไปว่าแท้จริงแล้วเป็นคุณชายสามจากตระกูลเสิ่นที่มีอำนาจมากที่สุดในต้าฉู่ นางก็กล่าวตัดสัมพันธ์สวาทและจากไปอย่างไร้สิ้นเยื่อใย ก่อนจะได้ยินเสียงของสหายใหม่ตรงหน้าเอ่ยขึ้น “ข้าก็เพิ่งจะเห็นพี่ท่านถอดหมวกออกเป็นครั้งแรก นึกว่าจะได้เห็นรูปโฉมที่แท้จริงแต่กลับเห็นท่านสวมหน้ากากปิดบังใบหน้าเอาไว้เช่นเดิม ช่างน่าเสียดายจริงๆ หากแม้นได้เห็นรูปโฉมอันแท้จริงของพี่ท่านดูท่าจะรูปงามมากเลยใช่หรือไม่ขอรับ”สหายใหม่คนดังกล่าวเอ่ยดักคอ หึหึหึหึหึ!!! เสียงหัวเราะดังออกมาจากลำคอเบาๆ ครั้นได้ยินเช่นนั้น “ไม่เห็นรูปโฉมอันแท้จริงของข้านะดีแล้ว ข้ามิใคร่ต้องการให้ผู้ใดได้เห็นรูปโฉมอันแท้จริงของข้านักหรอกเกรงว่าจะพาลตื่นตกใจกับใบหน้าของข้ากันเสียหมดต่างหากเล่า”กล่าวพร้อมนำตราประจำตัวดังกล่าวเก็บไว้ในอกเสื้อพร้อมเอ่ยขึ้น “นับได้ว่าสหายของพวกเจ้าที่เป็นเจ้าของตราประจำตัวนี้มีวาสนาต่อกันกับข้า จึงทำให้ข้าได้ตรานี้มาครอบครองแทน อีกทั้งยังมีนามเช่นเดียวกันอีก ทำให้พวกเจ้าไม่หลงลืมหรือพลาดเรียกขานนามข้าผิดเพี้ยน นี่ก็ใกล้เวลาแล้วรีบเข้าไปรายงานตัวกันเถอะ”เสิ่นอี้กล่าวพร้อมก้าวเดินนำหน้าออกไป โดยมีบรรดาสหายใหม่จำนวนสิบห้าคนเดินตามหลังไปอย่างกระชั้นชิด
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม