หวงฮุ่ยเหยาจูงมือน้องชายหญิงทั้งสองกลับไปยังร้านค้าและบ้านเดิมซึ่งตอนนี้กลายเป็นซากปรักหักพังไปแล้ว บรรดาบ่าวรับใช้และคนงานทั้งหลายต่างพากันแยกย้ายกลับบ้านเดิม บางส่วนก็มุ่งหน้าไปหาที่ทำงานที่ใหม่ มีเพียงสตรีวัยกลางคนผู้หนึ่งที่กำลังรอพวกเขากลับมาด้วยท่าทางกระสับกระส่าย
“คุณหนูใหญ่ คุณชายใหญ่ คุณหนูรอง” เป็นเสียงของเหมยเหม่ยจิ้งหรือป้าเหมยซึ่งเป็นพี่เลี้ยงของหวงซิงเหยียน และหวงหย่งจื้อนั่นเอง
ป้าเหมยของพวกเขานั่งรอคนทั้งสามตั้งนานแล้ว พอเห็นว่าพวกเขาพากันกลับมานางก็ดีอกดีใจ
“ป้าเหมย นี่ท่านไม่ได้ไปกับคนอื่นหรอกหรือ?” หวงฮุ่ยเหยาเอ่ยถามด้วยความสงสัย นางรู้ว่าคนงานและบ่าวทั้งหลายต่างพากันจากไปเพื่อหางานทำและที่อยู่ใหม่ คงไม่มีใครยอมเอาชีวิตและอนาคตมาทิ้งไว้ที่นี่กับพวกนางหรอก
เหมยเหม่ยจิ้งส่ายหน้าพลางยิ้มบางๆ
“บ่าวไม่ไปไหนหรอกเจ้าค่ะคุณหนู บ่าวจะอยู่ดูแลรับใช้คุณหนูทั้งสองและคุณชายที่นี่”
หวงฮุ่ยเหยาน้ำตารื้นด้วยความซาบซึ้งใจ
“ป้าเหมย แต่ตอนนี้ข้าและน้องๆไม่เหลืออะไรแล้ว พวกเรามีแต่ตัวเท่านั้น แม้แต่ที่จะซุกหัวนอนคืนนี้ก็ยังไม่มีเลย พวกเราคงไม่มีเงินค่าจ้างให้ป้าเหมยได้อีกต่อไป”
“คุณหนูใหญ่ เรื่องนั้นท่านอย่าได้กังวล บ่าวเองให้คำมั่นสัญญากับตนเองตั้งแต่วันที่ฮูหยินได้ไถ่ตัวบ่าวออกมาจากหอนางโลมเมื่อสิบกว่าปีที่แล้วว่าจะมอบกายถวายชีวิต ซื่อสัตย์และจงรักภักดีต่อครอบครัวสกุลหวง ไม่ว่าวันนี้สกุลหวงจะร่ำรวย หรือว่าตกอับ ไม่ว่าจะยากดีมีจนอย่างไรบ่าวก็จะไม่จากไปไหน จะอยู่ที่นี่กับพวกคุณหนูเจ้าค่ะ”
หวงฮุ่ยเหยาใช้มือเช็ดน้ำตาป้อยๆ ไม่นึกเลยว่าในใต้หล้านี้จะยังมีผู้คนที่มีหัวใจทองคำเช่นนี้อยู่
“ป้าเหมย ต่อจากนี้ท่านจะไม่ใช่บ่าวรับใช้ของพวกเราอีกต่อไปแล้ว”
เหมยเหม่ยจิ้งตกใจอ้าปากค้าง
“ทำไมเล่าเจ้าคะคุณหนูใหญ่ บ่าวยืนยันจะอยู่กับพวกคุณหนูที่นี่ อย่าไล่บ่าวไปเลย”
หวงฮุ่ยเหยาจับมือเหมยเหม่ยจิ้งไว้พลางบีบเบาๆ
“ผู้ใดบอกกันล่ะว่าข้าจะไล่ป้าไป ต่อไปเราจะอยู่ด้วยกันที่นี่ในฐานะญาติพี่น้อง ต่อไปท่านคือท่านป้าของพวกเรา สัญญานะว่าจะอยู่ด้วยกัน จะสู้ไปด้วยกัน”
“เจ้าค่ะ บ่าวสัญญา”
“ป้าเหมย ต้องแทนตัวเองว่าป้าสิเจ้าคะ” หวงซิงเหยียนท้วง ถึงแม้นว่านางจะอายุเพียงแค่แปดขวบ แต่นางฉลาดและรู้ความ นางรู้ว่าผู้ใดคิดดี ผู้ใดคิดร้าย
“จริงด้วยขอรับป้าเหมย ต่อไปป้าเหมยคือป้าของพวกเราแล้วนะขอรับ” หวงหย่งจื้อเอ่ยสำทับ
หวงฮุ่ยเหยามองดูภาพที่ป้าเหมยโอบกอดน้องชายหญิงของนางด้วยจิตใจมุ่งมั่น ต่อไปนางจะเป็นเสาหลักของครอบครัวเอง การสูญเสียบิดาและมารดาในกองเพลิงในคราวเดียวกันกับการสิ้นเนื้อประดาตัวสำหรับสตรีวัยสิบหกปีที่อ่อนด้อยต่อโลกนั้นมันช่างหนักหนาและใหญ่หลวงนัก หากเป็นสตรีนางอื่นหรือแม้แต่หวงฮุ่ยเหยาคนเดิมก็สุดที่จะรับมือไหว แต่นี่…ตอนนี้นางคือหวงฮุ่ยเหยาคนใหม่ที่ไม่ได้ตายจากไป ไม่ใช่วิญญาณจากชาติภพอื่นเข้ามาสิงร่าง หากแต่เป็นดวงจิตที่เต็มไปด้วยความปรารถนาและจิตที่ตั้งมั่นเป็นอย่างดีก่อนที่สำนึกรู้สุดท้ายของร่างเดิมจะดับไปได้เข้ามาประทับประทาบและเสริมพลังให้แก่ดวงจิตดวงเดิมของนาง นอกจากนี้ยังมีความทรงจำเดิมๆจากอีกชาติภพติดตามมาอีกด้วย
“ใครบอกว่าพวกเราสิ้นเนื้อประดาตัว ถึงแม้ว่าตอนนี้จะไม่มีร้าน ไม่มีบ้าน แต่พวกเรายังมีที่ดินและไร่นาอีกห้าร้อยหมู่” หวงฮุ่ยเหยาเอ่ยอย่างยินดีเมื่อนึกขึ้นมาได้
ตอนนี้หวงลี่จิน ซึ่งมีศักดิ์เป็นพี่สาวของบิดา เป็นท่านป้าของพวกนางกำลังใช้ประโยชน์จากที่ดินนั้นทำนาทำไร่อยู่ หวงลี่จินนั้นเข้ามาขอร้องขอความช่วยเหลือจากน้องชายให้ยืมที่ดินทำกินสักห้าปีโดยบอกว่าจะแบ่งผลผลิตจากไร่นาให้กึ่งหนึ่ง แต่ปีแล้วปีเล่าครอบครัวสกุลหวงก็ไม่เคยได้รับผลผลิตใดๆตอบแทน เพราะนางลี่จินได้แต่บอกว่า
“ปีนี้ฝนแล้ง ข้าวในนาก็ตายหมด ผักในไร่ก็ปลูกไม่ได้ ข้าขอผลัดเป็นปีหน้าละกันนะ”
พอฤดูเก็บเกี่ยวของปีถัดไปมาถึง นางก็พาใบหน้าอันเศร้าสร้อยมาพบน้องชายที่ร้านค้าของเขาอีก
“เฮ้อ! ปีนี้น้ำมากไปหน่อย ฝนตกเยอะกว่าทุกปี ข้าวในนาบางส่วนก็ตายเพราะน้ำท่วม ส่วนพวกผักต่างๆนั้นไม่ต้องพูดถึง โดนทั้งน้ำท่วมทั้งแมลงกัดกิน เฮ้อ! หากเป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆทุกปี เมื่อไหร่ข้าจะร่ำรวยอย่างเจ้าบ้างก็ไม่รู้ อย่างน้อยให้มีผลผลิตมาแบ่งให้ครอบครัวเจ้าบ้างก็ยังดี” หวงลี่จินนั้นพูดด้วยเสียงเศร้าสร้อย อีกทั้งยังทำท่าทางจะร้องไห้ออกมา ผู้เป็นน้องชายเห็นแล้วก็อดสงสารไม่ได้
“ไม่เป็นไรหรอกท่านพี่ อย่าได้กังวลไป อย่างไรเสียพวกเราก็เป็นพี่น้องกัน ข้าเองก็มีท่านเป็นพี่สาวเพียงคนเดียว หากว่าผลผลิตจากไร่นานั้นได้ไม่มาก พวกท่านก็เก็บไว้กินเองเถิด ตอนนี้ทางครอบครัวของข้ายังไม่มีความจำเป็นต้องใช้ที่ดินผืนนั้น หากจะใช้เมื่อไหร่ข้าจะบอกล่วงหน้า” หวงเหวินกวงเคยบอกกล่าวพี่สาวเอาไว้
“โอว…ขอบใจเจ้ามากเหวินกวง เจ้าช่างเป็นน้องชายที่ดีจริงๆ ดูสิ เพราะเจ้าเป็นคนดีมีน้ำใจ กิจการของครอบครัวเจ้าจึงมีแต่เจริญเอา เจริญเอา ตอนนี้ร่ำรวยจนไม่รู้ว่าจะเอาเงินทองไปไว้ที่ไหนแล้ว” หวงลี่จินพูดไปก็ชำเลืองมองร้านรวงของน้องชายที่ขยายใหญ่โต มีข้าวของเต็มร้านด้วยหัวใจที่ทั้งริษยาระคนห่อเหี่ยว
หวงลี่จินนั้นแต่งงานออกเรือนไปกับชายหนุ่มรูปงาม เจ้าเสน่ห์ ทว่า…ลุ่มหลงในสุราและการพนัน ไม่เอาถ่าน ขี้เกียจตัวเป็นขนอย่างซื่อหย่งเหอ ทุกวันเขาจะร่ำสุราจากเช้าจรดเย็น จากนั้นจะเมาหลับไปจนเช้าของอีกวัน การงานไม่ทำ มีบ้างหากเวลาที่เขาขโมยเงินของภรรยาได้ก็จะไปเข้าบ่อนเล่นการพนัน
“จะว่าไป ท่านป้ากับครอบครัวก็ใช้ที่ดินทั้งห้าร้อยหมู่ของครอบครัวเราที่ท่านพ่อกับท่านแม่ได้ซื้อเอาไว้ในการเพาะปลูกมาหลายปีแล้วสินะ บัดนี้คงถึงเวลาแล้วที่พวกเราจะต้องใช้ประโยชน์จากที่ดินผืนนั้น” หวงฮุ่ยเหยาเอ่ยบอกน้องๆและป้าเหมยอย่างมีความหวัง
เมื่อครั้งที่นางยังต้องดิ้นรนปากกัดตีนถีบอยู่ในอีกชาติภพนั้น หวงฮุ่ยเหยาเองก็มีประสบการณ์ในการทำงานด้านเกษตรกรรมมาไม่น้อย ตั้งแต่เป็นลูกจ้างในไร่ผัก สวนผลไม้ รับจ้างทำนา นางได้เก็บเกี่ยวความรู้และประสบการณ์ต่างๆมาหลายปี และนั่นก็คือบันไดอีกขั้นสู่ความสำเร็จของนาง
“คุณหนู แล้วท่านป้าของคุณหนูจะยอมคืนที่ดินให้หรือเจ้าคะ ที่ดินตั้งห้าร้อยหมู่ นับว่าเป็นที่ดินที่กว้างใหญ่ไพศาล นายท่านถือได้ว่าเป็นผู้ที่มีที่ดินมากที่สุดในอำเภอหงเฟยเลยก็ว่าได้นะเจ้าคะ”
“จริงอย่างที่ป้าเหมยว่า ที่ดินที่ท่านพ่อกับท่านแม่ซื้อเอาไว้นั้นมีหลายแปลง รวมๆกันแล้วก็ประมาณห้าร้อยหมู่คงจะไม่มีผู้ใดที่ถือครองที่ดินมากเท่านี้อีกแล้วนะขอรับพี่ใหญ่” หวงหย่งจื้อนั้นเป็นเด็กชายที่ขยันขันแข็ง เขาช่วยงานในร้านเสมอๆ เด็กชายรู้ว่าบิดาของเขามีทรัพย์สินอะไรบ้างเพราะได้ยินบิดามารดาพูดคุยกันบ่อยๆ
“อย่าลืมสิ ว่าท่านพ่อของพวกเราถือครองกรรมสิทธิ์ที่ดินอยู่ เมื่อท่านพ่อจากไปกรรมสิทธิ์นั้นย่อมตกอยู่กับลูก”
“ถ้าพวกเรามีที่ดินเยอะขนาดนั้น พวกเราก็ทำไร่ทำนาก็ได้นะเจ้าคะพี่ใหญ่ ต่อไปก็ไม่ต้องกลัวว่าจะต้องอดตายแล้ว” หวงซิงเหยียนพูดขึ้นมาอย่างดีใจเพราะวันนี้นางได้ยินคนใจร้ายบอกให้พี่สาวของนางไปขายเรือนร่างเป็นนางคณิกาเพื่อหาเลี้ยงน้องๆด้วยความหดหู่ระคนสงสารพี่สาว