เฉิงเฟยหรง บุรุษหนุ่มรูปงามวัยสิบแปดปี เขาเป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของเฉิงหย่งฝู นายพรานที่เก่งที่สุดของตำบลหงเหลิง มารดาคือนางเหม่ยผิง หรือ ก่วงเหม่ยผิง
เฉิงเฟยหรงนั้นแตกต่างจากบุรุษหนุ่มทั่วไปในตำบล เขาเป็นหนุ่มรูปงาม อาจจะกล่าวได้ว่าในบรรดาบุรุษวัยฉกรรจ์ที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกัน เขาคือคนที่รูปงามที่สุด เฉิงเฟยหรงนั้นไม่ต้องการที่จะเป็นนายพรานเฉกเช่นบิดา และไม่ต้องการที่จะทำงานแบกหามเป็นกรรมกรหรือเป็นชาวไร่ชาวนาเหมือนกับผู้คนส่วนใหญ่ในตำบลหงเหลิงแห่งนี้ บุรุษหนุ่มผู้มีความฝันใฝ่เขาหมายมั่นที่จะสอบเข้ารับราชการและเป็นขุนนางให้ได้ เมื่อถึงเวลานั้นเขาจะเลี้ยงดูบิดามารดาให้อยู่ดีมีสุข ไม่ต้องลำบากลำบนเช่นนี้อีก
เส้นทางการเข้ารับราชการของเขาเริ่มจากเฉิงเฟยหรงนั้นต้องไปสมัครเข้าศึกษาที่สำนักศึกษาชื่อดังในเมืองใหญ่ซึ่งก็คือในตัวจังหวัด หรือ ที่เรียกว่าเมืองไห่หู สำนักศึกษาเป่าไฉคืออันดับหนึ่งของเมืองไห่หูซึ่งแน่นอนว่าค่าเล่าเรียนนั้นแสนแพง ลำพังอาชีพนายพรานป่าล่าสัตว์ของบิดาและทำไร่ทำนาของมารดาคงไม่พอจ่ายได้ ลำพังแค่ค่ากินอยู่ก็ยังไม่พอซะด้วยซ้ำ แต่บุรุษที่มีสติปัญญาฉลาดเฉลียวที่สุดในตำบล (เฉิงเฟยหรงคิดเช่นนั้น )มีหรือจะยอมจำนนต่อโชคชะตา ท่านแม่ของเขาสายตาหลักแหลมและเฉียบคม นางมองออกว่าบุตรชายที่ทั้งรูปงามและอนาคตไกลของนางย่อมต้องเป็นที่พึงพอใจของสตรีทั่วทั้งตำบล ไม่เว้นแม้แต่…คุณหนูใหญ่บุตรสาวเถ้าแก่หวง
“ข้าว่าคุณหนูใหญ่บุตรสาวเถ้าแก่หวงต้องแอบชอบพอเจ้าเป็นแน่ เหตุใดไม่รีบผูกรักกับนางซะล่ะ ก่อนที่จะมีบุรุษอื่นมาชิงสู่ขอนางตัดหน้า” นางเหม่ยผิงยุยงส่งเสริมบุตรชาย
มีผู้ใดไม่รู้บ้างเล่าว่าในตำบลแห่งนี้สตรีที่โดดเด่น งดงาม ร่ำรวย อีกทั้งยังหัวอ่อนว่านอนสอนง่ายคือผู้ใด เฉิงเฟยหรงเห็นว่านางกับเขานั้นช่างเหมาะสมกันทุกประการ นางเป็นคุณหนูผู้สูงศักดิ์ของตำบลหงเหลิง บิดามีกิจการร้านค้าใหญ่โต นางเองเป็นบุตรสาวคนโต อีกทั้งรูปร่างหน้าตาก็งดงาม นิสัยโอบอ้อมอารี อ่อนหวานและอ่อนโยน นี่แหละ…สตรีในฝันของเขา โดยเฉพาะเรื่องความโอบอ้อมอารี ชอบช่วยเหลือผู้คน
“เอ่อ…ฮุ่ยเหยา เห็นทีว่าคราวนี้ข้าอาจจะต้อง เอ่อ…” ชายหนุ่มสุดจะกระดากอายที่จะเอ่ย
“อย่าได้คิดมากไปเลยเจ้าค่ะพี่เฟยหรง เราใช่คนอื่นคนไกลเสียที่ไหน ท่านลำบาก ข้าก็ยินดียื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ ไม่เช่นนั้นจะกล่าวว่าเป็นคนรักกันได้อย่างไร”
“ข้าซาบซึ้งใจยิ่งนักที่เจ้าและบิดามารดาของเจ้าไม่เคยคิดรังเกียจข้า”
“ท่านพ่อท่านแม่จะรังเกียจท่านได้อย่างไร อีกหน่อยท่านก็จะได้เป็นขุนนาง ได้ดูแลทุกข์สุขของชาวบ้าน ชาวเมืองหงเฟยโดยเฉพาะคนตำบลหงเหลิงต้องดีใจมากแน่ๆหากท่านได้มาเป็นนายอำเภอหรือขุนนางที่บ้านเกิดของเรา”
“ข้าสัญญา ข้าจะทำให้ได้ ข้าต้องสอบเข้ารับราชการให้ได้ ว่าแต่ เอ่อ…เจ้าจะให้ข้ายืมไปก่อนได้หรือไม่?” เฉิงเฟยหรงก้มหน้าซ่อนแววตา เขาเองที่เป็นบุรุษใช่ว่าจะไม่รู้สึกกระดากอายที่มาหยิบยืมเงินของหญิงคนรัก
“ย่อมได้ ว่าแต่คราวนี้ท่านต้องการเท่าไหร่หรือ?” หวงฮุ่ยเหยาเอ่ยด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
เฉิงเฟยหรงมีท่าทางหลุกหลิดหลุดออกมา
“เอ่อ….หนึ่งร้อยตำลึง เจ้าจะว่าอย่างไร พอดีว่าข้าต้องจ่ายค่าเล่าเรียนซึ่งเป็นปีสุดท้ายแล้ว พอจบปีนี้ข้าจะได้เข้าสอบ หากสอบผ่านข้าจะได้เป็นซิ่วไฉ่ เมื่อถึงวันนั้นข้าจะให้ท่านพ่อกับท่านแม่มาสู่ขอเจ้า” เฉิงเฟยหรงเอ่ยอย่างลิงโลด เขาอดนึกถึงวันที่ตนเองสอบผ่านได้เป็นซิ่วไฉ่ไม่ได้ ถึงแม้จะเป็นการสอบผ่านระดับท้องถิ่น แต่เขาจะได้รับการยกฐานะและได้รับสิทธิพิเศษเหนือกว่าชาวบ้านตาดำๆทั่วๆไป และต่อจากนั้นเขาจะเข้าสอบจิ้นซื่อ หากสอบได้อันดับหนึ่งเขาก็จะได้เป็นจอหงวน โอกาสที่จะได้เป็นขุนนางในราชสำนักก็อยู่แค่เอื้อม
“อืม…ตั้งหนึ่งร้อยตำลึงเชียวหรือ?” หวงฮุ่ยเหยามีความลังเลในแววตา ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมาเวลาที่ชายคนรักมีปัญหาเรื่องการเงิน นางก็มักจะเสนอให้เขาหยิบยืมเอาไปใช้ก่อนเสมอ แต่ไม่ได้มากมายเท่าครั้งนี้ แค่ครั้งละสิบ หรือยี่สิบตำลึง และบิดามารดาของนางก็รับรู้มาโดยตลอด นอกจากจะไม่ตำหนิหรือห้ามปรามแล้ว พวกเขายังสนับสนุนด้วยเห็นว่าเฉิงเฟยหรงนั้นเป็นบุรุษที่มีอนาคตไกล อีกทั้งนิสัยใจคอก็ดี เป็นคนกตัญญูต่อบิดามารดา มีใจรักความก้าวหน้า อนาคตต้องได้เป็นขุนนางแน่นอน และหากบุตรสาวของพวกเขาออกเรือนไปกับเฉิงเฟยหรง ชีวิตนางคงมีแต่ความสุขกายสบายใจ
“ย่อมได้ ไม่มีปัญหา ขอเพียงแต่ให้เจ้าสอบผ่านในรอบแรกข้าก็ดีใจแล้ว” ในขณะที่บุตรสาวกำลังลังเลด้วยจำนวนเงินที่ชายคนรักจะหยิบยืมนั้นมิใช่เงินจำนวนน้อยๆ แต่กลับมีเสียงของเถ้าแก่หวงผู้เป็นบิดาดังขึ้นด้านหลัง
“ขอบคุณมากขอรับเถ้าแก่ ข้าน้อยสัญญาว่าหากข้าน้อยสอบผ่านได้เป็นขุนนางแล้ว จะรีบเก็บเงินมาคืนทุกอีแปะทุกตำลึงเลยขอรับ” เฉิงเฟยหรงรีบคุกเข่าพลางเอาหัวโขกพื้นพอเป็นพิธี
“ฮื้ย! อย่าได้เกรงอกเกรงใจ เงินเพียงเท่านี้เล็กน้อย ข้าเพียงแต่อยากจะสนับสนุนคนหนุ่มจากบ้านเกิดของเราให้ได้เป็นขุนนาง แล้วมาพัฒนาและดูแลชาวบ้านที่นี่ก็เท่านั้น” หวงเหวินกวงพูดอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง ก่อนจะยื่นเงินหนึ่งร้อยตำลึงให้ว่าที่ลูกเขย และเฉิงเฟยหรงก็รีบรับมาด้วยหัวใจพองโต
“หึหึ…เถ้าแก่หวงคงคิดคำนวณดีแล้วละสิว่าจะได้สิ่งใดตอบแทนกับเงินที่จ่ายออกไป เขาไม่ได้ต้องการสิ่งอื่นใดนอกจากอยากได้บุตรเขยขุนนาง คงจะหวังเพิ่มบารมีและเส้นสายให้ตนเองร่ำรวยมากขึ้นสินะ เจ้าเถ้าแก่หน้าเลือด” เป็นเฉิงหย่งฝูที่อดเหน็บแนมไม่ได้ เขาเป็นนายพรานมาตั้งแต่หนุ่มยันแก่ ล่าสัตว์และหาของป่าได้ก็เอามาขายให้ร้านเถ้าแก่หวงเพราะไม่มีรถม้านำสินค้าเข้าไปขายในเมืองใหญ่อย่างไห่หู ซึ่งอยู่ห่างออกไปถึงหนึ่งร้อยลี้ ใช้เวลาเดินทางราวๆหนึ่งถึงสองชั่วยาม กลายเป็นว่าเถ้าแก่หวงที่เป็นคนนำสัตว์ป่าเหล่านั้นไปขายต่อได้กำไรมากกว่าเงินที่จ่ายออกเพื่อซื้อสัตว์ป่านั้นจากพรานอย่างเขาเสียอีก คิดๆแล้วมันคับแค้นใจ
“เอาน่า ตอนนี้ทั้งเถ้าแก่หวงและคุณหนูใหญ่หวงบุตรสาวของเขาต่างก็กำลังทั้งรักทั้งหลงเจ้าเฟยหรงของพวกเรา เจ้าเองก็เถอะเฟยหรง ข้าเองก็ไม่เห็นว่าในตำบลของเรานี้จะมีสตรีนางใดที่ดีพร้อมและสมบูรณ์แบบไปมากกว่าคุณหนูใหญ่สกุลหวง ทั้งกิจการร้านค้า ทรัพย์สินเงินทอง ทั้งที่ดินอีกหลายร้อยหมู่วันหนึ่งย่อมต้องตกเป็นของนาง เจ้าเป็นคนฉลาด ข้าเชื่อว่าเจ้าต้องมองการณ์ไกลเป็นแน่” ก่วงเหม่ยผิงพอใจว่าที่สะใภ้บุตรสาวเศรษฐียิ่งนัก ได้ข่าวว่านางนั้นมีนิสัยเรียบร้อย ว่านอนสอนง่าย อีกทั้งยังหัวอ่อน แบบนี้สิจึงจะเหมาะกับบุตรชายของนางที่ในภายภาคหน้าจะได้เป็นขุนนางใหญ่โต
“ท่านแม่ เงินที่เถ้าแก่หวงให้หยิบยืมมาครั้งนี้คงจะสามารถเป็นค่าเล่าเรียน ค่ากินอยู่ อีกทั้งค่าสอบได้อย่างสบายๆโดยที่มิต้องรบกวนเงินจากทางบ้านของเราแล้วขอรับ” เฉิงเฟยหรงเอ่ยด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม เขาช่างเป็นบุตรชายที่กตัญญูยิ่งนัก หาทางหลอกล่อเอาเงินจากสตรีและบิดาของนางโดยไม่ยอมให้บิดามารดาของตนต้องลำบากแม้แต่น้อย
“ฮึ! อย่าได้เรียกว่าหยิบยืม ให้บอกว่าพวกเขาให้เจ้าด้วยความเสน่หาสิจึงจะถูก” เฉิงหย่งฝูเอ่ยขึ้น แล้วสามคน พ่อ แม่ ลูก ก็หัวเราะขึ้นมาพร้อมกันจนดังลั่นกระท่อมไม้ไผ่หลังน้อยของพวกเขา