ความจริงยิ่งกว่าเจ็บ (70%)

1789 คำ
“ไม่ใช่สักหน่อย” “ยอมรับมาเถอะน่า ก็สามีแพรหล่อจริงๆ นี่นา ขนาดเรายังตาพร่ากับความหล่อดุดันสไตล์มาเฟียเถื่อนของสามีเธอเลย” จอมเซี้ยวยังไม่วายสัพยอก   “แล้วก็ไม่ใช่แค่เรานะ ที่ว่าสามีแพรหล่อ สาวๆ บริเวณนี้มองเขาตาเป็นมันกันทั้งนั้น โดยเฉพาะกลุ่มโน้น ดูสิ…มองสามีเธอเหมือนจะกลืนลงท้องเลยแน่ะ แหม! อยากเดินเข้าไปบอกเสียจริง ว่าสุดหล่อนั่นน่ะของเธอ” “อย่าเชียวนะยัยลูกจันทร์!” “โอ๊ย! เราไม่ทำหรอกน่า เอาเป็นว่าเห็นแก่สามีเธอแล้วกัน” แม่สาวจอมเฮี้ยวยักคิ้วอย่างทะเล้น จนปานระพีต้องส่งค้อนวงงามไปให้อีกหนึ่งที   “เอ้า…มัวแต่นั่งหน้าแดงตัวบิดอยู่นั่นแหละ รีบไปหาสามีสิยะ เขายืนพิงรถโพสต์ท่าหล่อยั่วน้ำลายสาวๆ รอเธอนานแล้วนะ เล่นตัวเกินไปเดี๋ยวก็มีใครมาลากสามีเธอไปกินหรอก”   “งั้นเราไปนะ”  “โอเคจ้า ไว้เจอกันเย็นวันศุกร์” ปานระพีพยักหน้าเบาๆ ผุดลุกขึ้น คว้าสายกระเป๋ามาคล้องไหล่ ก่อนจะก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่ค่อยมั่นคงนัก ทุกย่างก้าวหัวใจดวงน้อยเต้นกระหน่ำจนเหมือนจะหลุดออกมานอกอก ที่สุดปานระพีก็เดินมาหยุดลงตรงหน้าผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นสามี ยิ่งได้มองใกล้ๆ เธอยิ่งใจสั่น มหรรณพ นิธิธาดา ในวัยยี่สิบเก้าย่างสามสิบ หล่อจนเกือบลืมหายใจ ดวงตาสีน้ำตาลเหลือบดำคู่นั้นทำให้เธอเหมือนต้องมนตร์สะกด ผ่านไปสามปีเขาดูเป็นผู้ชายเต็มตัวมากขึ้น ใบหน้าหล่อเหลากระด้างและคมคายกว่าเดิมหลายเท่า รูปร่างสูงใหญ่ดูทรงพลัง อีกทั้งภูมิฐาน สง่า และน่าเกรงขามในเวลาเดียวกัน ปฏิเสธไม่ได้ว่าทุกอย่างที่ประกอบขึ้นเป็นผู้ชายตรงหน้ามันยิ่งกว่าคำว่าลงตัว เขาทำให้หนุ่มที่ว่าหล่อสุดของมหา’ลัยดูเป็นเด็กน้อยหน่อมแน้มไปเลย   ปานระพีตกอยู่ในภวังค์พักใหญ่ เพราะเอาแต่มองหน้าหล่อๆ ด้วยท่าทางลอยๆ ราวคนละเมอ กระทั่งเสียงกระแอมดังขึ้น สติที่เตลิดไปกับความหล่อกระชากใจของเขาถึงได้กลับมาอีกครา ก่อนจะก็รวบรวมความกล้าเปิดรอยยิ้มน่ารักสดใส พร้อมเอ่ยทักทายเสียงหวานชวนฟัง ซึ่งไม่บ่อยนักที่เธอจะใช้น้ำเสียงแบบนี้กับใคร หากไม่พิเศษจริงๆ   “สวัสดีค่ะ คุณหวง”  หญิงสาวยกมือไหว้อย่างอ่อนช้อย  “อืม…”  เขาพยักหน้าเล็กน้อย มหรรณพก็ยังคงเย่อหยิ่ง ไว้ตัว และเข้าถึงยาก ไม่เคยเปลี่ยน แต่ก็ช่างเถอะ แค่เขาลงทุนมารับถึงมหา’ลัยเธอก็ปลื้มจะแย่อยู่แล้ว “เมื่อเช้าคนที่บ้านโทรมาบอกว่าคุณหวงจะมารับแพร แพรยังคิดว่าเขาล้อแพรเล่นอยู่เลย ไม่คิดว่าคุณหวงจะมารับแพรจริงๆ ดีใจจัง”   ปานระพีชวนคุยเพื่อลดความประหม่า อีกทั้งอยากจะสร้างความคุ้นเคยกับเขา ทั้งที่ปกติเป็นคนสงบปากสงบคำ จนบางครั้งเข้าขั้นมนุษยสัมพันธ์ยอดแย่ หากไม่สนิทจริงๆ จะพูดแทบนับคำได้ แต่กับเขามันต่างออกไป มหรรณพพิเศษสำหรับเธอมากกว่าคนอื่น ท้ายประโยคสาวน้อยหลุดทำท่าเขินอายออกมา เพราะรู้สึกได้ว่าสายตาคมกล้าคู่นั้นจ้องหน้านวลนิ่ง มันนิ่งเหมือนสะกดวิญญาณ จนคนถูกมองทำตัวไม่ถูก พวงแก้มใสเป็นสีเลือดฝาด   “ขึ้นรถสิ ฉันมีเรื่องจะคุยด้วย”   เจ้าของร่างสูงใหญ่ไหล่กว้างที่ตกเป็นเป้าสายตาของสาวๆ บริเวณนั้นบุ้ยปากไปยังรถ ตัดบทเสียดื้อๆ จากนั้นก็เคลื่อนกายเข้าไปนั่งประจำตำแหน่งคนขับ เธอทำท่าเลิ่กลั่กอยู่สักพัก ก่อนจะก้าวขาตามขึ้นรถไปด้วยความสับสน  ไหนคุณย่าบอกว่าเขาเต็มใจแต่งงานกับเธอ แล้วทำไมถึงได้เย็นชานัก   นี่หรือท่าทีที่คนเป็นสามีภรรยากันแสดงออกมาหลังจากไม่พบหน้ากันมาถึงสามปี   “เอ่อ…เราจะคุยกันที่นี่เหรอคะ”  ครั้นเห็นว่าผ่านไปหลายนาทีคนที่นั่งกอดอกทำหน้านิ่งๆ อยู่หลังพวงมาลัยรถสปอร์ตคันหรูยังไม่มีทีท่าว่าจะสตาร์ตรถ ปานระพีจึงหันไปอ้อมแอ้มถามด้วยความสงสัย   “อือ…คุยเสร็จฉันก็จะไป ส่วนเธอก็ต้องลงจากรถฉัน เพราะฉันไม่คิดจะไปส่งเธอ” เสียงห้าวห้วนสวนกลับอย่างไม่รักษาน้ำใจ “ถ้ากลับบ้านเองไม่ได้ก็บอก จะได้เรียกแท็กซี่ให้”  “แพรกลับเองได้ค่ะ” เธออ้อมแอ้มออกมา สีหน้าไม่สู้ดีนัก “ดี…งั้นเข้าเรื่องเลยแล้วกัน” เขาพยักหน้าเล็กน้อย แล้วเอ่ยต่อ “ฉันแค่จะมาบอกเธอว่าฉันจะย้ายกลับมาอยู่เมืองไทย”   “งั้นก็ดีสิคะ” คราวนี้หญิงสาวละล่ำละลักตาเป็นประกายด้วยความยินดี “เราจะได้ย้ายเข้าไปอยู่เรือนหอด้วยกันเสียที คุณย่าบอกว่าคุณหวงเป็นคนออกเงินสร้าง มันสวยมากเลยค่ะ ถูกใจแพรมากๆ”   “เธออยู่ไปเถอะ” เสียงเรียบสนิทไร้อารมณ์ทำให้ปานระพีนิ่งงันไปชั่วขณะ ก่อนจะหันไปมองหน้าเขาเต็มตา “หมายความว่ายังไงคะ?” “ฉันยกให้” “แล้วคุณหวงล่ะคะ” “ฉันก็อยู่ส่วนฉัน เธอก็อยู่ส่วนเธอ” “แล้วทำไมเราไม่ไปอยู่ด้วยกันล่ะคะ”   “ปัดโธ่โว้ย! เธอยังไม่เข้าใจอีกเหรอวะ ว่าฉันไม่อยากอยู่กับเธอ” น้ำเสียงกระด้างที่โพล่งขึ้นด้วยแรงอารมณ์เพราะเหลืออดทำให้ปานระพีสะดุ้งเฮือก แทบหยุดหายใจ ก่อนจะเอ่ยเสียงสะท้าน   “แต่เราเป็นสามีภรรยากันนะคะ”   บ้าเอ๊ย! ทำไมเขาต้องรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังรังแกเด็กด้วยวะ   “ฟังนะแม่ลูกหมูน้อย ฉันไม่เคยอยากเป็นสามีเธอ ไม่เคยอยากได้เธอเป็นเมีย แต่ในเมื่อพลาดพลั้งแล้วฉันก็ต้องจำใจรับผิดชอบเธอ” ชายผู้ไม่แคร์โลกเอ่ยอธิบายอย่างหัวเสีย   “แต่คุณย่าบอกว่า คุณหวงเต็มใจจดทะเบียนสมรสกับแพรนี่คะ”  หญิงสาวแย้งเสียงสั่น สามปีที่แล้วคุณย่าของเธอบอกเธอเช่นนั้นจริงๆ ท่านให้เหตุผลว่าคนเย่อหยิ่งจองหองและเอาแต่ใจอย่างมหรรณพ หากไม่เต็มใจทำอะไรแล้วใครหน้าไหนก็บังคับไม่ได้   “เธอโดนคนแก่หลอกน่ะสิ ไม่เห็นใบหย่าที่ฉันให้คนเอาไปให้หรือไง ฉันให้คนเอาไปให้เธอหลังจากที่เราจดทะเบียนสมรสกันเมื่อสามปีก่อน จำได้ไหม”   ใช้เวลาคิดไม่นานสาวน้อยก็พยักหน้าน้ำตาคลอ   “จำได้ค่ะ แต่ไม่คิดว่ามันจะเป็นใบหย่า อีกอย่างคุณย่าก็บอกว่ามันเป็นเอกสารสำคัญของคุณหวง ท่านกลัวว่าจะหายก็เลยขอเก็บเอาไว้เอง”   พับผ่าสิวะ! ยายเขาแสบจริงๆ   “ช่างเถอะ ไปขอใหม่ก็ได้ รอให้เธอเรียน fellow จบและได้เป็น staff ก่อน…ฉันจะเอาใบหย่ามาให้เซ็น” “เรียน fellow จบ และได้เป็น staff…เหรอคะ?”   ปานระพีทวนคำอย่างงงๆ อีกทั้งตกใจกับคำพูดฉะฉานที่เปล่งออกมาจากริมฝีปากหยักลึก คำว่า ‘หย่า’ แค่พูดเบาๆ ก็สะเทือนไปถึงขั้วหัวใจแล้ว   “ใช่! ฉันมีข้อตกลงกับคุณหญิงย่าของเธอ ว่าถ้าเธอเรียน fellow จบและได้เป็น staff แล้ว หากเธอยังทำให้ฉันรักไม่ได้ หรือเราสองคนไม่ได้รักกัน คุณหญิงย่าของเธอจะยอมให้หย่า” ทำไมเธอจะไม่รักเขาล่ะ เธอรักเขาจะตาย  “แต่แพรยังไม่ได้หาทางทำให้คุณหวงรักเลยนะคะ เราสองคนไม่เคยใช้เวลาร่วมกันด้วยซ้ำ ให้โอกาสแพรหน่อยไม่ได้เหรอคะ” หญิงสาวพยายามต่อรองเพราะไม่อยากเสียเขาไป “อย่าเสียเวลาเลย เธอไม่ใช่สเปกฉัน ฉันไม่ชอบผู้หญิงอ้วน”   โอ๊ย! บอกเลยว่าประโยคสุดท้ายโคตรเจ็บ   เธอไม่ได้อ้วนเสียหน่อย ก็แค่ใส่เสื้อผ้าตัวใหญ่เกินเบอร์ และเจ้าเนื้อขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย เนื่องจากช่วงเรียนเป็นแพทย์ฝึกหัด (Extern) ปี 6 มันหนักหนาสาหัสมากจนเกินคำบรรยาย พอเครียดเลยฟาดแหลกแบบไม่คิดถึงมวลรวมของร่างกาย เอาให้อิ่มท้องสมองแล่นเป็นพอ   “แล้วคุณหวงรู้ไหมคะ ว่าเรียน fellow ต้องใช้เวลากี่ปี” ครั้นฉุกคิดขึ้นได้ปานระพีก็เอ่ยออกมา  “จะไปรู้เหรอ ฉันไม่ได้เรียนมาทางสายนี้ แต่ได้ยินคุณหญิงย่าของเธอเปรยว่า มันเป็นการเรียนต่อยอดไม่ใช่เหรอ” คนหน้านิ่งชักงุ่นง่านเมื่อโดนเด็กย้อนด้วยนัยน์ตาเป็นประกายคล้ายมีความหวัง   ยัยลูกหมูนั่นจะหวังบ้าอะไรวะ?  “งั้นแพรจะอธิบายให้ฟังนะคะ…”  ปานระพียิ้มอ่อน สีหน้ามีเลศนัยชอบกล จากนั้นก็ร่ายยาว โดยเริ่มตั้งแต่หลังจากที่เธอจบปริญญาแพทยศาสตร์บัณฑิต 6 ปี แล้วไปเป็นแพทย์ใช้ทุน (Intern) เป็นเวลา 3 ปี จากนั้นก็ไปต่อแพทย์ประจำบ้าน (Resident) หรือเรียนแพทย์เฉพาะทาง ซึ่งเธอตั้งใจว่าจะเรียนสาขาศัลยศาสตร์ออร์โธปิดิกส์ หรือที่เรียกว่าศัลยแพทย์กระดูกและข้อ หรือหมอกระดูกและข้อ หรือเรียกสั้นๆ ว่าหมอออร์โธฯ โดยใช้เวลาเรียน 4 ปี จบก็ไปเรียนต่อแพทย์ผู้ช่วยอาจารย์ หรือแพทย์เฉพาะทางต่อยอด (Fellow) ซึ่งก็คือแพทย์ที่จบสาขาเฉพาะทาง แล้วยังต้องการเป็นแพทย์เฉพาะทางอนุสาขาย่อยลงไปอีก โดยใช้เวลาเรียนรวมๆ แล้วก็ 3 ปี เพราะเธอต้องการเรียนให้ครบถ้วนและครอบคลุม หลังจากจบ Fellow เธอถึงจะได้เป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง หรืออาจารย์หมอ หรือที่เรียกว่า Staff นั่นเอง   “พอๆ ยิ่งฟังยิ่งปวดหัว สรุปมาเลยดีกว่า ว่าเธอจะเรียน fellow จบ และได้เป็น staff ต้องใช้เวลาทั้งหมดกี่ปี่” หลังจากขมวดคิ้วนิ่วหน้าฟังอยู่นานสองนานเขาก็ยกมือเป็นเชิงห้าม แล้วตัดบทด้วยท่าทางหงุดหงิด   “รวมแล้วก็…สิบปีค่ะ”   “สิบปี!”  คราวนี้คนหน้านิ่งถึงกับหลุดอุทานออกมา ดวงตาสีน้ำตาลเหลือบดำแทบถลนเพราะสติหลุด  “ใช่ค่ะ”  อีกสิบปีเชียวเหรอวะ ยัยเด็กนี่ถึงจะเรียนจบ   เวรล่ะ! เขาโดนคุณหญิงแม้นมาศตลบหลังเข้าแล้ว!
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม