หลังจากวันที่คุณปู่เสียทนายความประจำตระกูลก็ได้มาแจ้งกับทุกคนในครอบครัวให้ทราบว่า
"หลังจากที่คุณท่านเสีย คุณท่านยังไม่ต้องการให้จัดงานศพครับ คุณท่านต้องการให้เก็บศพของคุณท่านไว้ก่อนจนกว่าจะครบ 1 ปีครับ.."
"ทำไมต้องรอให้ครบ 1 ปีด้วย.?"
ภูดิษฐ์ถามทนายความประจำตระกูลของเขาขึ้นด้วยความสงสัย
"ผมก็ไม่ทราบครับ เพราะเป็นความประสงค์ของคุณท่านนะครับ.."
"แล้วเรื่องพินัยกรรมละ..?"
แม่ของภูดิษฐ์ถามทนายความขึ้นทันที ด้วยความอยากรู้จนแม่ของหมอภูวนัยมองด้วยสายตาไม่ค่อยพอใจนัก
"คุณพ่อเพิ่งจะเสียไปได้แค่เพียง1วันเธอก็ถามถึงเรื่องพินัยกรรมแล้วหรอ..?"
"หรือเธอไม่อยากได้หละ ฉันก็แค่กลัวว่าคุณพ่อจะโดนยาสั่งให้ทำพินัยกรรมแล้วยกสมบัติไปให้คนอื่นที่ไม่ใช่คนในครอบครัวเราต่างหากละ.."
สายตาของหม่ภูดิษฐ์หันไปเหล่มองที่สริสา โดยที่เธอยังมีสีหน้าแววตาที่ยังเศร้าเสียใจอยู่ โดยไม่รู้เรื่องอะไรเลยว่ากำลังมีคนคิดกับเธอไม่ดียังไง
"อาทิตย์หน้าผมจะเปิดพินัยกรรมของคุณท่านนะครับ ขอให้ทุกคนมาโดยพร้อมเพียงกันนะครับ.."
.....
1 อาทิตย์ผ่านไป
ทุกคนในครอบครัวมากันพร้อมหน้าพร้อมตา โดยมีผู้ถือหุ้นในบริษัทอีก 2 ท่านที่ถูกเชิญให้มาร่วมเป็นสักขีพยาน
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
"สา..อยู่ในห้องหรือเปล่าจ๊ะ.?"
"อยู่ค่ะ.."
"ทุกคนมาพร้อมกันหมดแล้ว เรารีบลงไปข้างล่างกันเถอะ."
สริสาหันกลับไปมองที่กระเป๋าเสื้อผ้าตัวเองที่เก็บเตรียมเอา เพราะรู้ดีว่าตัวเองเป็นแค่คนนอกเมื่อคุณปู่ไม่อยู่แล้วเธอก็คงไม่มีสิทธิ์อยู่ในบ้านนี้อีกต่อไป
เธอลุกขึ้นเดินไปที่ประตูด้วยความลำบากใจ เพราะตัวเธอไม่ได้มีส่วนในพินัยกรรมของครอบครัวนี้เลย แต่หมออัศนัยก็ยังคะยั้นคะยอให้เธอลงไปให้ได้
"พี่หมอคะสาไม่ลงไปไม่ได้หรอคะ มันเป็นเรื่องของคนในครอบครัวพี่ สาไม่ได้เกี่ยวอะไรด้วยเลยนะคะ.."
"อย่าพูดแบบนี้ซิ คุณตาเคยบอกแล้วไงว่าสาคือคนในครอบครัวคนหนึ่งของเรา.."
"แต่ว่าสา.."
หมออัศนัยยื่นมือมาจับมือสริสาไปกุมไว้แล้วมองจ้องเข้ามาในแววตาของเธอด้วยสายตาที่ดูอบอุ่น
"พี่เชื่อว่าคุณตาจะไม่มีวันทอดทิ้งสา.."
"ถ้าคุณปู่ทำแบบนั้นจริงๆสาก็คงรับไว้ไม่ได้หรอกค่ะ สาเป็นแค่คนนอกนะคะ.."
"แต่ถ้าสาไม่รับ คุณตาคงต้องเสียใจมากแน่ๆ.."
"..."
"ไปเถอะนะ ทุกคนมากันพร้อมแล้ว.."
"ก็ได้ค่ะ.."
เธอตอบรับเขาออกไปด้วยสีหน้าหนักใจ แต่ก็ยอมเดินตามหมออัศนัยไปด้วยความลำบากใจ
....
ภูดิษฐ์ขับรถเข้ามาจอดที่หน้าบ้านก็รู้สึกแปลกใจมากที่เห็นพวกนักข่าวมายืนออกันอยู่ที่หน้าบ้านของเขา
"มาแล้วหรอตาภู รีบเข้าไปข้างในกันเถอะทนายชัชชาติจะเปิดพินัยกรรมแล้ว.."
แม่ของเขาเห็นว่ารถลูกชายมาจอดหน้าบ้านจึงเดินออกมารับเพื่อให้รีบพากันเข้าไปข้างใน
"นักข่าวพวกนี้มาทำอะไรกันหรอครับแม่..?"
"ก็ทนายชัชชาตินะซิเป็นคนเรียกมา บอกว่าปู่แกต้องการให้การเปิดพินัยกรรมครั้งนี้มีทุกคนร่วมเป็นสักขีพยานด้วย..แม่ละไม่เข้าใจปู่แกจริงๆว่าจะทำให้เรื่องราวมันใหญ่โตไปทำไมก็แค่เปิดพินัยกรรมเอง.."
ผมก็คิดอย่างที่แม่พูดนะว่าทำไมคุณปู่ถึงต้องทำให้ดูเป็นเรื่องใหญ่โตด้วยก็แค่เปิดพินัยกรรม จนถึงขนาดต้องเชิญพวกนักข่าวมาทำข่าวขนาดนี้ด้วยหรอ
"สวัสดีครับคุณภูดิษฐ์.."
"สวัสดีครับอาชัช..นี่อาชัชเป็นคนเรียกนักข่าวพวกนี้มาหรอครับ..?"
"ใช่ครับ เป็นความประสงค์ของคุณท่านนะครับ ผมเพียงแค่ทำตามคำสั่งเท่านั้น.."
"ก็แค่เปิดพินัยกรรมเอง ทุกคนก็รู้กันดีอยู่แล้วว่าคุณปู่จะยกสมบัติให้ใครบ้าง เพราะครอบครัวเราก็มีกันอยู่แค่ 6 แค่นี้.."
"คุณภูลืมใครไปอีกคนหรือเปล่าครับ..?"
"ใครครับ..?"
"สามาแล้วครับทุกคน.."
ภูดิษฐ์หันไปมองตามเสียงของหมออัศนัยที่พาสริสาเดินเข้ามาในห้อง
เขาจึงมองจ้องหน้าเธอด้วยความไม่พอใจทันที
"เธอมาเกี่ยวอะไรด้วย..?"
"สาเป็นคนในครอบครัวของเราเหมือนกันนะครับ."
"ไม่ใช่..เธอไม่ใช่คนในครอบครัวฉัน.."
"คุณตารับสาเข้ามาเป็นหลานสาวแล้วให้สาเปลี่ยนมาใช่นามสกุลเรา นั่นก็หมายถึงว่าสาเป็นคนในครอบครัวของเรานะครับ.."
"แต่เธอก็ยังไม่ได้เปลี่ยนนามสกุลนี่ งั้นเธอก็ไม่มีสิทธิ์..ออกไป"
"พอได้แล้วทั้ง 2 คน.."
พ่อของภูดิษฐ์เห็นลูกชายยืนเถียงกับหมออัศนัยจึงต้องห้ามปราม
"ตานัยพาสริสาไปนั่งที่ ส่วนแกตาภูไปนั่งลงข้างๆแม่แกนู้น อย่ามาทำตัวเป็นหมาบ้าในนี้อายพวกนักข่าวที่ยืนมองมาบ้าง.."
ภูดิษฐ์หันไปมองที่นักข่าวที่ยืนออกันอยู่หน้าประตูห้องก็เริ่มสงบลง จึงตัดสินใจเดินไปนั่งข้างๆแม่ของเขาโดยที่สายตายังจับจ้องไปที่สริสาไม่วางตา
"ตอนนี้ทุกคนมากันพร้อมหมดแล้ว คุณชัชชาติครับเปิดพินัยกรรมเลยครับ.."
"ครับคุณภูวนาท.."
ทุกคนรอฟังการเปิดพินัยกรรมของตระกูลไพศาลสืบสกุลด้วยความตั้งใจ นักข่าวที่เตรียมลั่นชัตเตอร์และเตรียมอัดเสียงการอ่านพินัยกรรมของทนายประจำตระกูลไพศาลสืบสกุล เพื่อให้ทุกคนได้รู้และจะได้ร่วมเป็นสักขีพยานซึ่งเนื้อหาในพินัยกรรมตั้งแต่ต้นจนจบก็ทำให้ทุกคนตกใจและอึ้งไปตามๆกัน
"นี่มันอะไรกัน..คุณปู่ทำแบบนี้กับผมได้ยังไง ผมไม่ยอม..เป็นไปไม่ได้ที่คุณปู่จะไม่ยกสมบัติอะไรให้ผมเลย ผมไม่เชื่อ.."
เมื่อทนายชัชชาติอ่านพินัยกรรมจบภูดิษฐ์ก็โวยวายขึ้นมาทันที เพราะทุกคนได้รับสมบัติของคุณปู่หมดแม้กระทั่งแม่บ้าน คนสวน ก็ยังได้เล็กๆน้อยๆแต่เขากลับไม่ได้อะไรเลย
"แล้วสริสาเป็นแค่คนนอกกลับได้สมบัติที่มันควรจะเป็นของผมไป ผมไม่เชื่อหรอกว่าคุณปู่จะเขียนพินัยกรรมนี้ขึ้นมาเอง ผมไม่เชื่อ.."
"ใช่..คุณพ่อต้องโดนยาสั่งแน่ๆ หรือไม่ก็พินัยกรรมฉบับนี้ต้องเป็นตัวปลอมแน่ๆ.."
"หนังสือทุกตัวในพินัยกรรมฉบับนี้คุณท่านเป็นผู้เขียนด้วยลายมือของตัวเองทุกตัวอักษรครับ ผมและคุณภูวนาทพ่อของคุณเป็นพยานได้.."
"จริงหรอคะคุณ..?"
แม่ของภูดิษฐ์หันไปถามสามีตัวเอง
"จริง..ผมอยู่ด้วยตอนที่คุณพ่อท่านเขียนพินัยกรรม"
"แล้วคุณยอมให้คุณพ่อยกสมบัติให้คนอื่นได้ยังไง..คุณเป็นบ้าไปแล้วหรือไงคะ คุณพ่อไม่ให้อะไรตาภูเลยแบบนี้ฉันไม่ยอมนะคะ..?"
"ใช่ครับ..ทำไมคุณปู่ถึงไม่ยกอะไรให้ผมเลย ทั้งที่ผมเป็นหลานแท้ๆแต่กลับไปยกให้คนนอกอย่างยัยนี่.."
"พอแล้วตาภู หยุดโวยวายได้แล้ว.."
"ผมไม่หยุด มันไม่ยุติธรรมสำหรับผมนะครับพ่อ พ่อจะยอมให้สมบัติของครอบครัวเราไปอยู่กับคนอื่นงั้นหรอครับ.."
"ถ้าคุณไม่ต้องการให้คุณสริสาได้สมบัติที่ควรเป็นของคุณไป ในพินัยกรรมก็บอกชัดเจนแล้วนะครับว่าคุณจะต้องทำอะไร.."
ภูดิษฐ์หันไปจ้องหน้าทนายชัชชาติด้วยสีหน้าเครียดจัด
"ตำแหน่งรองประธานบริษัทโกลเด้นกรุ๊ป รวมทั้งที่ดินทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด และยังมีบ้านพักตากอากาศติดริมทะเลที่หัวหินอีก 1 หลัง เงินสดอีกพันกว่าล้านที่มันจะต้องเป็นของคุณ แต่คุณท่านกลับยกให้คุณสริสา..คุณจะได้มันไปที้งหมดแค่เพียงคุณยอมแต่งงานกับคุณสริสาจดทะเบียนสมรสอยู่ด้วยกันจนครบ 1 ปี สมบัติทุกอย่างก็จะกลับมาเป็นของคุณตามเดิม.."
"ใช่..ตาภูแกต้องแต่งงานกับหนูสา.."
"..."
"ไม่ค่ะ สาไม่แต่ง.."
นักข่าวรัวชัตเตอร์กันยกใหญ่เพราะเรื่องนี้จะกลายเป็นข่าวใหญ่โตในหน้าสังคมในวันพรุ่งนี้เช้าแน่ๆ
"นี่เธอคงคิดจะเอาสมบัติฉันไปทั้งหมดใช่ไหม.?"
"สาไม่ได้คิดแบบนั้นค่ะ แต่ที่สาบอกว่าไม่แต่งเพราะสาจะไม่ขอรับมรดกที่คุณปู่ยกให้สา และสาก็จะยกทุกอย่างคืนกลับไปให้คุณภูทั้งหมดค่ะ.."
"นี่เธอ.."
....