S.E.C.R.E.T - 9. ความฝัน

3532 คำ
ผมกำลังฝัน มันต้องใช่แน่ๆ ผมมั่นใจร้อยเปอร์เซ็นว่ามันไม่ใช่เรื่องจริง ผมเห็นตัวเองในนั้น เมื่อตอนที่เป็นเด็กประมาณสักห้าขวบได้ ผมวิ่งเล่นรอบบ้านอย่างสนุกสนาน หัวเราะคิกคักเมื่อดอกไม้ที่ถืออยู่มีผีเสื้อบินมาเกาะดอมดมชิมน้ำหวานก่อนจะบินจากไป ผมวิ่งตามอย่างอารมณ์ดี ยิ้มกว้างแบบสุดๆจนเห็นฟันหลอ ก่อนที่ภาพจะเปลี่ยนไป ผมกำลังนั่งยองๆ เบื้องหน้าเป็นสิ่งมีชีวิตบางอย่างสีดำมันเลื่อมนอนขดตัวอยู่ใต้ต้นไม้ “เอ๋...คุ้นจังเลย เหมือนจะเคยเห็น มันเรียกว่าอะไรนะ ตัวที่ยาวๆแล้วก็ขดได้เลื้อยได้...อ่อ งู! Snake snake โยชิจำได้แล้ว นี่ก็คือคุณงูนี่เอง!” “คุณงูบาดเจ็บมาเหรอ รอแปบนะ โยชิจะไปเอายามาทาให้” “ต้องทำแบบนี้ ใส่ยาทาแผล โยชิทำได้ พี่ยอร์ชทำให้โยชิบ่อยๆตอนหกล้ม แล้วก็เอาผ้าพันไว้แบบนี้ เรียบร้อยแล้ว หายไวๆนะคุณงู” “ขอบใจนะ” “เอ๊ะ? คุณงูพูดกับโยชิเหรอ” “ใช่ นายใจดีกับฉันจริงๆ” “คุณงูก็ทำใจให้ดีๆเหมือนกันนะ” ...ภาพเหล่านั้น มันคืออะไร?... “คุณพ่อฮะ น้องโยมีเรื่องจะบอก” “หืม เรื่องอะไรครับคนเก่ง” “น้องโยอยากมีสัตว์เลี้ยง” “ฮะๆๆ นึกว่าเรื่องอะไร น้องโยอยากเลี้ยงอะไรล่ะครับ” “เดี๋ยวน้องโยไปเอามาให้ดูนะครับ” ผมเห็นตัวเองวิ่งหายไปก่อนจะกลับมาพร้อมบางอย่างในอ้อมกอด งูตัวดำใหญ่กว่าแขนผมนอนนิ่งอยู่ในอ้อมกอด หัวของมันตั้งขึ้นมองหน้าผมนิ่ง “โยชิ! ปล่อยมันลงเดี๋ยวนี้ลูก เดี๋ยวมันกัด!!!” “คุณงูไม่กัด คุณงูใจดี น้องโยคุยกับคุณงูแล้ว คุณงูบอกว่าอยากจะมาอยู่กับน้องโย” “ไม่ได้ลูก ปล่อยมันลง วางมันลงเดี๋ยวนี้!!!” “แต่...” “ไม่มีแต่โยชิ วางมันลงก่อนที่พ่อจะตี!!!” ที่ต่อไปคือในห้องนอนของผม “ฮึกฮึก ฮือ” “ไม่ต้องร้องไห้เลยนะโยชิ งูเป็นสัตว์อันตราย ไว้ใจไม่ได้ วันนี้มันไม่กัดลูก แต่งูก็คืองู อรสพิษที่ไว้ใจไม่ได้ ถ้าลูกอยู่ใกล้มัน มันอาจจะกัดลูกได้ทุกเมื่อ” “ฮึก ฮือ คุณพ่อใจร้าย คุณพ่อฆ่าคุณงู” “พ่อต้องทำ ไม่งั้นมันจะฆ่าลูกนะ” “ไม่ฆ่า คุณงูบอกน้องโย คุณงูจะไม่มีวันทำร้ายน้องโย ฮือ” “หนูจะไปคุยกับงูได้ไงโยชิ เพ้อเจ้อใหญ่แล้วเรา” “แต่คุณงูพูดกับน้องโยจริงๆนะพ่อ” “พอๆๆ พ่อขอสั่งห้ามไม่ให้เราออกไปวิ่งเล่นข้างนอกหนึ่งอาทิตย์” ภาพความฝันเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ผมจับรายละเอียดได้ไม่หมด ฝันซ้ำไปซ้ำมาว่าผมเคยจับเคยสัมผัสงู ยิ่งไปกว่านั้นผมยังพูดกับงูได้ เศษความฝันชิ้นเล็กๆไม่ปะติดปะต่อ ผมเริ่มอึดอัดกับสิ่งที่กำลังฝันจนรู้สึกหายใจไม่ออก ในท้องบิดเกร็งจนอยากจะอาเจียน จนกระทั่งภาพความฝันเริ่มจางและมีหมอกขาวมาปกคลุมจนแทบมองอะไรไม่เห็น สิ่งสุดท้ายที่ผมพอจะมองเห็นก็คือ...บ้านไม้ชั้นเดียวหลังหนึ่งกลางหุบเขาก่อนที่ผมจะสะดุ้งตัวโยนหลุดออกจากฝันที่ประหลาด เหงื่อผุดขึ้นตามใบหน้าและลำคอ อากาศร้อนอบอ้าวแม้ว่าฝนข้างนอกจะยังคงตกหนัก ผมหายใจหอบรุนแรงเหมือนวิ่งมาราธอนมาสักสี่หรือห้าชั่วโมง หายใจไม่ทันจนสำลักอากาศที่กำลังกอบโกยเข้าปอด ในห้องมืดสนิท และคงจะค่ำมืด ไม่รู้ว่าผมสลบไปนานขนาดไหนเพราะสิ่งที่ผมเห็นกับตา สิ่งที่ผมเกลียดจับจิตจับใจตัวใหญ่ยักษ์มากกว่าขนาดตัวคน มันมีสีขาวแบบที่มองไกลๆก็สังเกตเห็นได้ ผมเห็นไม่ชัด แต่คิดว่าผมไม่ได้ตาฝาด ไหนจะสิ่งที่ผมเพิ่งฝันอีก เป็นไปได้ไหมว่าผมจะกลัวมากจนเก็บเอาไปฝัน ผมครุ่นคิดเรื่องราวในความฝัน แต่หลังจากที่คิดอยู่นานสองนานก็คิดไม่ออก เพราะเมื่อผมพยายามจะปะติดปะต่อความฝันให้เป็นภาพจิ๊กซอร์ที่สมบูรณ์ กลายเป็นว่าผมสัมผัสได้แต่ความหวาดกลัวจนคิดต่อไปไม่ได้ สุดท้ายผมก็เลิกพยายาม หันมาครุ่นคิดถึงภาพยุ่งเหยิงปนเปที่เกิดขึ้นตั้งแต่ก่อนที่ผมจะมาอยู่ที่นี่จนกระทั่งตอนนี้ มันสะเปะสะปะกระจัดกระจาย รู้ว่ามีอยู่แต่อธิบายไม่ได้ แต่ผมแน่ใจประมาณแปดสิบเปอร์เซ็นเลยว่าทั้งหมดนี่มันไม่ปกติ ไม่มีอะไรปกติ...ทั้งอาซา พวกของเขา เจอร์โรมและดาวเสาร์รูมเมตของผม รวมไปถึงมหาวิทยาลัยแห่งนี้ หรือที่ Midnight และสิ่งที่ไม่ปกติในความรู้สึกถึงเก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นก็คือ...ตัวผมเอง คิดมาถึงตรงนี้ผมขยับยกผ้านวมขึ้นคลุมหน้าเว้นไว้แค่ดวงตาที่หลุบต่ำ รอบด้านเย็นวาบแปลกๆ ผมไม่ใช่คนขี้กลัวขนาดนั้น ผมชอบดูหนังผี หนังลึกลับสยองขวัญ ซึ่งก็บอกได้ดีว่าผมไม่ใช่คนจิตอ่อน เพียงแต่สิ่งเดียวที่ผมกลัวก็คืองู แต่ตอนนี้ทุกอย่างดูจะอยู่นอกเหนือการควบคุม บางสิ่งบางอย่างที่ไม่ปกติ และมันอยู่ใกล้ตัวผมมาก หรือไม่มันอาจอยู่ในตัวผม “หลับอยู่เหรอ” เสียงทุ้มแหบเอ่ยถาม ตาของผมเปิดพรึ่บ อาซายืนพิงกรอบประตู ผมผุดลุกขึ้นกระโจนลงจากเตียง แต่ร่างกายไร้เรี่ยวแรงจนแทบทรุดลงไปกับพื้น โชคดีที่อาซาพุ่งเข้ามาคว้าตัวผมได้ทัน “ฉันมีเรื่องจะถามนาย ฉันเห็น...” “เราจะยังไม่พูดอะไรตอนนี้ นายควรจะได้กินข้าวและกินยาเสียก่อน” “ไม่อาซา ไม่..ฉันต้องการรู้ตอนนี้ มีเรื่องเกิดขึ้นมากมายกับฉัน และ...” “หยุด! โยชิ สงบสติอารมณ์ ไม่ต้องพูดอะไร หายใจเข้าลึกๆ อย่างนั้น...ดี” เขามองตาผม สะกดผมด้วยดวงตาดุจรัตติกาลเอาไว้อยู่หมัด ผมทำตามเขาแบบไม่เกี่ยงงอน ควบคุมลมหายใจและอาการตื่นตระหนกของตัวเองจนเริ่มกลับสู่ภาวะปกติ “โอเคไหม...ดีขึ้นหรือเปล่า” “อืม” ผมพยักหน้า แม้ความจริงจะไม่ได้รู้สึกดีขนาดนั้น “ลงไปข้างล่าง ทุกคนรอนายอยู่” เขาหมุนตัวเดินไปที่ประตู ผมก้าวเร็วๆตามสองสามก้าวก็ถึงตัวเขา มือยื่นไปคว้ามือใหญ่ที่เย็นเชียบ อาซาหยุดเดินก้มมองมือผมที่จับมือเขาอยู่ก่อนจะเงยหน้ามองตาผม “ถ้านายต้องการ ก็เรียกหามันได้ตลอดเวลา” เขาบีบกระชับมือผมแน่นจนเกิดสายธารที่อบอุ่น คล้ายจะบอกว่า มือของเขาจะมีไว้เพื่อปกป้องและดูแลผมไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม ภายในบ้านหลังนี้ไม่ได้มีอะไรพิเศษหวือหวา ไม่ได้ดูขลังหรืออลังการอย่างตัวตึกเรียนของมหาวิทยาลัย กลับเป็นแค่บ้านสไตล์โมเดิลธรรมดาๆที่ตกแต่งอย่างสวยงาม บนผนังมีรูปวาดเกี่ยวกับพระเยซูหรือเทพเจ้าต่างๆแขวนเรียงราย โคมไฟสีเหลืองนวลทำให้รูปภาพเหล่านั้นดูมีชีวิตชีวา กลิ่นหอมของดอกไม้ที่จัดไว้สวยงามในแจกันวางไว้ทั่วทุกมุมบ้านลอยอบอวล บันไดตรงหน้าทอดยาวมองเห็นประตูทางเข้า ผมเดินตามอาซาช้าๆ เหมือนเขาจะรู้ว่าผมอ่อนแรงไร้ความกระฉับกระเฉง จึงไม่ได้เร่งเร้า สุดทางบันไดเลี้ยวไปทางขวาไม่กี่ก้าวก็จะเจอประตู ทุกคนในห้องอาหารหันมองผม หัวโต๊ะคือเวสตันและด้านขวาของเขาคือปารีส ข้างๆเธอคือจูเลียต ตรงข้ามกับปารีสคือฟรินน์ เขายิ้มแห้งๆให้ผม ผมยิ้มตอบ อาซาให้ผมนั่งตรงข้ามกับจูเลียต และเขานั่งข้างผมอีกที ผมรู้ได้ทันทีว่าผมนั่งในที่ของอาซา แต่ก็ไม่ได้คิดเปลี่ยน และผมรู้อีกอย่างเลยตั้งแต่เข้ามาในห้องอาหารแห่งนี้ จูเลียตเกลียดขี้หน้าผม ผมไม่รู้ว่าทำไม แต่คนเราก็ต้องเคยเกลียดใครแบบไม่มีสาเหตุบ้างแหละ เพราะฉะนั้นผมจะทำเป็นไม่เห็นแล้วเลิกสนใจท่าทางฮึดฮัดของเธอซะ “ดีขึ้นแล้วใช่ไหมโยชิ ทานซุปสักหน่อย มันจะทำให้นายรู้สึกดีขึ้น แฟนของฉันปารีสทำอย่างสุดฝีมือ” เวสตันพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ริมฝีปากของเขาคลี่ยิ้มบางๆอย่างใจดี ผมยิ้มรับพร้อมกับหยิบช้อนตักซุปขึ้นกิน รสชาติอร่อยและทำให้ผมรู้สึกสดชื่นขึ้นจริงๆจากซุปรสเปรี้ยว ทุกคนลงมือกินมื้อเย็น มีเพียงคนเดียวที่ไม่ยอมแตะอาหาร คนที่นั่งตรงข้ามผม เธอมองจ้องผมด้วยความไม่พอใจ ผมมองตอบเธอและทุกคนบนโต๊ะรับรู้บรรยากาศมาคุที่เกิดขึ้นระหว่างผมกับจูเลียตได้ “ถ้าไม่กินก็ขึ้นไปบนห้องจูเลียต อย่าทำให้บรรยากาศกร่อย” เวสตันพูดโดยที่ไม่ได้มองเธอ มือจับมีดหั่นสเต็กเนื้อนุ่มอย่างชำนาญพร้อมทั้งใช้ส้อมจิ้มมันเข้าปาก ผมก้มมองอาหารของตัวเอง เฮ้อ อาหารคนป่วยชัดๆ “ทานเถอะจูเลียต อย่าให้เวสตันโมโห” ผู้หญิงที่ชื่อปารีสเอ่ย ผู้ชายอีกสามคนที่ไม่รวมผมไม่ได้ให้ความสนใจอย่างที่ควรเป็นนัก เหมือนพวกเขาชินเสียแล้ว “เหอะ! ทุกคนทำได้ยังไง ทั้งๆที่มีตัวปัญหานั่งอยู่ในบ้าน แต่กลับทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น!!!” ผมเกือบจะเผลอทำช้อนซุปหลุดมือ ที่จูเลียตพูดหมายความว่าอะไร เธอจะบอกว่าผมเป็นตัวปัญหางั้นเหรอ ทั้งๆที่ผมไม่รู้เรื่องอะไรเลยสักนิดเนี่ยนะ “หุบปากของเธอแล้วขึ้นห้องไปซะจูเลียต” คราวนี้เวสตัสเงยหน้ามองจูเลียต อย่างดุดัน เธอทำหน้าไม่พอใจก่อนจะลุกขึ้นอย่างรวดเร็วแล้วกระแทกเท้าเดินออกจากห้องอาหาร ผมมองตาม เวสตันบอกให้ทุกคนทานอาหารต่อได้ แต่ผมหมดความอยากอาหารไปเป็นที่เรียบร้อย “ฉันอยากรู้ว่าสิ่งที่จูเลียตพูดหมายถึงอะไร ฉันเป็นตัวปัญหางั้นเหรอ” ผมหันหน้าไปหาอาซา เขาแค่เหลือบตามองผมเท่านั้น “ฉันต้องการรู้เรื่องที่ฉันควรรู้เดี๋ยวนี้” ผมทำเสียงแข็ง เสียงช้อนกระทบจาน ความโกรธของผมคงไปสะกิดต่อมรำคาญของปารีสเข้า เธอเหวี่ยงตาเฉี่ยวๆมองผมอย่างดูแคลน “เวลากินข้าวเราจะไม่พูดเรื่องที่ไม่สร้างสรรค์ ถ้าไม่อยากกินก็ออกไป” ปารีสพูดเสียงนิ่งๆ ตั้งแต่เกิดมาผมยังไม่เคยรู้สึกโกรธมากขนาดนี้มาก่อน พวกเขารู้ในสิ่งที่ผมไม่รู้ก็เลยสามารถนั่งนิ่งอยู่ได้ แต่คนที่ไม่รู้อย่างผม ผิดหรือยังไงที่จะรู้สึกกระวนกระวายนั่งไม่ติด “บอกฉันมาว่ามันไม่มีอะไร ฉันไม่ใช่ตัวอันตรายอย่างที่จูเลียตว่า และฉันไม่ได้เห็นงูยักษ์สีขาวข้างนอกนั่น! และฉันไม่ได้บังเอิญได้ยินนายเรียกมันว่าฟรินน์!” ผมกัดฟันแน่น เหลือบตามองฟรินน์ที่สะดุ้งนิดๆ “และข้างนอกนั้นไม่มีอะไรเป็นอันตรายที่ฉันต้องหนี บอกมาสิ ฉันจะได้กลับไปอยู่ตามทางของฉัน ไม่ต้องมาอยู่ที่นี่ให้พวกนายทำหน้ารังเกียจใส่!! บอกมาสิแล้วฉันจะไป!!!” ผมโกรธจนตัวสั่น โวยวายเสียงดังจนคนทั้งโต๊ะอาหารต้องหยุดกินมื้อค่ำ ทำยังกับว่าสน ผมไม่ใช่คนฉลาด แต่ก็พอรู้ว่ามันไม่ปกติ ไม่มีอะไรปกติกับชีวิตผมตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ เหมือนกลายเป็นคนตาบอด ไม่รู้อะไร ไม่เข้าใจอะไรสักอย่างจนผมอยากจะวิ่งหนีไปซะ ผมโกรธจนรู้สึกว่าน้ำตาจะไหล จึงพยายามกลั้นกลืนมันไว้ด้วยการกัดฟันแน่น “Please, just trust me…I’lll tell you everything you want to” “How can I trust you? When I feel like I don’t even know you” “Yoshi!” เราทำหน้าบึ้งใส่กัน ก่อนที่เขาจะลุกออกจากโต๊ะอาหารโดยที่ไม่ได้แตะมันสักนิด ผมเริ่มรู้สึกว่าตัวเองทำผิดพลาด แต่เสียงในหัวคอยเอาแต่บอกว่าผมสมควรทำมัน อย่างน้อยก็ให้ตัวเองไม่เป็นกบอยู่ในกะลา ผมคิดแบบนั้น แล้วทำไมถึงได้รู้สึกเสียใจ “ไม่ว่านายจะรู้สึกยังไงนะโยชิ” เวสตันเอ่ยขึ้นขัดความเงียบ ผมเลิกมองไปทางประตูห้องทานข้าวแล้วหันไปมองเวสตันที่ทำหน้าคิดหนักไม่ต่างจากคนอื่นนัก “แต่คนเดียวบนโลกนี้ที่จะไม่มีทางทรยศนายก็คืออาซา เขาเป็นคนเดียวที่นายควรเชื่อใจยิ่งกว่าพ่อหรือพี่ชายของนายเอง จะเชื่อหรือไม่ก็ตามแต่ แต่ฉันพูดความจริง” ผมลุกตามอาซาออกไป ไม่รู้เขาเดินไปที่ไหน ผมไม่น่าพูดออกไปแบบนั้นเลย ถึงความรู้สึกจะบอกแบบนั้น ถ้าผมเป็นคนฟังก็คงเจ็บไม่ต่างกัน คิดแล้วก็อยากจะตบปากตัวเอง นอกบ้านเงียบกริบ ฝนซาลงแล้วแต่ยังตกอยู่ ได้ยินเสียงใบไม้สีกัน ผมเดาว่าน่าจะเป็นอาซาเลยเดินตามไป มีรอยเท้าอยู่บนดิน ต้องเป็นเขาแน่ๆ ฝนตกแบบนี้ออกมาทำไม ถึงจะงอนหรือโกรธที่ผมพูดไม่ถนอมน้ำใจ ก็ควรจะเดินหนีขึ้นบ้านสิ แบบนี้มันทำให้ผมเป็นห่วง “หายไปไหนของเขานะ รอยเท้าก็มาทางนี้ไม่ใช่เหรอ หรือว่า...” ผมมองหนองน้ำเบื้องหน้า เพราะเป็นตอนกลางคืนเลยไม่รู้ว่ามันสวยแค่ไหน รอยเท้าของอาซาสิ้นสุดที่ริมสระน้ำ หวังว่าเขาคงไม่ได้น้อยใจคำพูดของผมจนคิดจะทำอะไรบ้าๆหรอกนะ “อาซา! นายอยู่ไหนน่ะ” ผมมองรอบๆก็ไม่เห็นเขา มองจ้องไปที่สระน้ำอีกครั้ง ก่อนจะตัดสินใจถอดรองเท้าและกางเกงยีนส์ออกจากตัว กระโดดลงไปในน้ำตามหาอาซา ผมดำผุดดำว่ายเหมือนคนโง่งม แต่ผมกลัวจริงๆ กลัวว่าเขาจะเป็นอะไรไป “อ๊ะ!” ผมร้องตกใจ ปล่อยอากาศออกหมดปาก สะบัดขาเมื่อมีอะไรบางอย่างเสียดสี ตัวผมเหมือนจะถูกบางอย่างเลื้อยรัด ผมดิ้นหนีสุดแรงเกิดจนเผลอสำลักน้ำ และก่อนที่ผมจะตายจริงๆก็มีบางอย่างประกบปากผมพร้อมทั้งลมหายใจที่ค่อยๆแทรกผ่านเข้ามา ผมกอบโกยอากาศยื้อชีวิตตัวเองเอาไว้ ขยับเบียดริมฝีปากเข้าหาความอ่อนนุ่มที่ช่วยชีวิต ร่างกายถูกโอบรัดด้วยอ้อมแขนอันแสนคุ้นเคย ผมคลี่ยิ้มบางๆเมื่อรู้ว่าคนที่ช่วยผมไว้คืออาซา ริมฝีปากเราไม่ผละห่างจากกันแม้ว่าจะดีดตัวโผล่พ้นผิวน้ำ เขาจูบผมรุนแรงเหมือนจะลงโทษ และผมก็เต็มใจให้เขาทำเช่นนั้นอย่างไม่คิดต่อว่า โทษที่ผมทำก็สมควรได้รับแล้ว จ๊วบ~ “อ๊ะ เจ็บ” อาซากัดปากผมจนได้เลือด ผมหอบตัวโยน ผิวน้ำกระเพื่อมตามแรงขยับเคลื่อนไหว ความอ่อนโยนประทับปลอบประโลมบนรอยแผลแผ่วเบา ไล้ลิ้นเลียหยาดเลือดเบาๆจนแห้งสนิท “ตามมาทำไม” เขาทำเสียงแข็ง พูดไปก็พรมจูบไปด้วย น้ำเสียงกับการกระทำช่างสวนทาง “ฉันขอโทษ” ผมพูดเสียงแผ่วอย่างรู้สำนึก “แต่นายก็พูดถูก นายไม่รู้จักฉัน” “ไม่ๆ ไม่ใช่อย่างนั้น คือ...ฉันอาจจะไม่รู้จักนาย แต่เราทำความรู้จักกันได้” ผมรีบกอดเอวเขาไว้แน่นกลัวว่าเขาจะผละออกห่าง น้ำเย็นมีอิทธิพลทำให้ผมเบียดตัวเข้าหาเขา อาศัยตัวเขาเป็นแรงยึดเพื่อให้ยืดตัวได้สูงขึ้นจนหน้าเราเสมอกัน มองเข้าไปในดวงตาสีดำที่ตอนนี้สะท้อนแสงเปล่งประกายยามต้องแสงจันทร์ “ฉันไม่ได้ตั้งใจจะหมายความแบบนั้น ฉันกลัว ฉันไม่เข้าใจอะไรสักอย่าง ฉันอยากรู้ในสิ่งที่ตัวเองควรจะรู้บ้างเลยเผลอตัวทำนิสัยแย่ๆออกไป อย่าโกรธฉันเลยนะ ฉันขอโทษ” ผมกดจูบที่ปลายคางของเขา ช้อนตาขึ้นมองอาซาด้วยแววตาอ้อนนิดๆแบบที่ชอบทำเมื่อต้องการให้พ่อและพี่ยอร์ชตามใจ “นายจะรอใช่ไหม ต่อให้อยากรู้มากแค่ไหนก็จะรอ จะไม่ดื้อกับฉันอีก สัญญาสิ” อาซาพูดนิ่งๆ แต่ผมรู้ว่าเขาจริงจัง ผมลังเลนิดหน่อย แต่พอเขาเริ่มขยับตัวผมก็รีบพยักหน้าตอบตกลงทันที “ฉันสัญญา! สัญญาว่าจะไม่เกเร ถึงอยากรู้แค่ไหนก็จะรอให้นายบอก สัญญาอย่างลูกผู้ชายเลย” ผมยืนยันเสียงหนักแน่น “ดีมาก เด็กดีของฉัน” อ่า...ผมชอบจริงๆที่เขาเรียกผมแบบนี้ Weston “เป็นไงบ้าง พูดความจริงไปแล้วหรือยัง” ผมถาม หลังจากทั้งสองคนทำพ่อแง่แม่งอนใส่กันแล้วโยชิออกไปตาม ก่อนจะกลับมาด้วยสภาพเปียกโชกทั้งคู่ ผมก็ไล่ทั้งสองคนให้ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า และขอให้ปารีสแฟนสาวของผมทำอาหารจานใหม่สำหรับอาซาและโยชิที “ยัง” “แล้วไม่อาละวาดหรือไง” “ก็ไม่ แค่ทำหน้าเป็นเด็กอยากรู้อยากถามตลอดเวลา ถึงจะไม่เอ่ยปากถามแต่ก็ส่งสายตาจะเอาคำตอบเป็นระยะๆจนน่าสงสาร หึหึ” พูดแล้วก็หัวเราะ ผมละทึ่งกับเด็กนั่นจริงๆ ทำให้อสรพิษร้ายอย่างอาซาเชื่องราวกับลูกแกะลูกกวางตัวหนึ่ง อาซาเหม่อมองไปไกล แววตามีความเจ็บปวดและอัดแน่นไปด้วยบางสิ่งบางอย่างที่ติดค้างอยู่ในใจ ไม่ว่าเรื่องอะไรเขาก็มักเก็บไว้กับตัว เขาเป็นเสมือนน้องชายของผม แต่ผมกลับช่วยอะไรเขาไม่ได้เท่าไหร่ ผมพยายามมองให้ออกแต่ก็สูญเปล่า วางมือบนบ่ากว้างที่กำลังสั่นไหวด้วยความหวาดกลัว ตบหนักๆให้กำลังใจ “บอกได้ไหม อะไรที่อยู่ในใจนาย อะไรที่นายปกปิดเอาไว้และยังไม่ได้บอก” “...” “ถ้ายังเห็นว่าเราเป็นครอบครัวเดียวกัน นายบอกกับฉันได้และฉันจะอยู่เคียงข้างและคอยช่วยเหลือครอบครัวของฉันอย่างสุดกำลัง” “นายรู้ว่าทำไมฉันถึงบอกโยชิไม่ได้ว่าฉันเป็นอะไร” ผมรู้เหตุผลที่อยู่ในสีหน้าที่เจ็บปวดนั่นเป็นอย่างดี มันไม่ใช่แค่เพราะโยชิจะรับไม่ได้ แต่มันหมายถึงความมั่นคงของพวกเรา พวกมนุษย์ต่างเห็นแก่ตัว และถ้าเรื่องของพวกเราเผยแพร่ออกไป พวกเราก็คงไร้แผ่นดินและกลายเป็นเหยื่อของพวกมนุษย์จอมหิวกระหายในอำนาจแบบไม่มีวันจบสิ้น “และเราให้ไอ้เจอร์โรมอยู่ใกล้โยชิมากกว่านี้ไม่ได้ ไม่งั้นมันจะรู้...” อาซาหยุดพูด เขาหันหน้าหนี ขากรรไกรขบกันแน่นทันที “รู้อะไร” “รู้ว่าโยชิไม่ใช่แค่มนุษย์ปกติ” ผมเริ่มเข้าใจทุกอย่างและเริ่มเข้าใจเหตุผลของอาซา “และถ้าไอ้เจอร์โรมรู้ โยชิก็ต้องรู้ เพราะมันต้องหาทางบอกเขาแน่ ฉันทนให้เป็นแบบนั้นไม่ได้เวสตัน นายก็เห็นว่าตอนนี้โยชิกลัวงูขนาดไหน ถ้ารู้ว่าตัวเองเป็นอะไร...เขาจะต้องเจ็บปวดและทุกข์ทรมานเจียนตาย ฉันปล่อยให้เป็นแบบนั้นไม่ได้ ต้องไม่มีใครรู้เรื่องนี้” “แต่มันอาจจะดีถ้าเขารู้ เขาอาจจะเลิกเกลียดและกลัวตัวตนของนายและของตัวเขาเอง แต่ฉันไม่เข้าใจอยู่อย่าง ทำไมโยชิกลัวงูขนาดนั้น ในเมื่อก่อนหน้านี้เขายัง...” “เพราะฉัน...” “...” “เพราะฉันทำให้เขาต้องกลัว ฉันเป็นคนทำให้ชีวิตเขาเป็นแบบนั้น ต้องทนทุกข์ทรมานอยู่กับความหวาดกลัว ทั้งหมดก็เพราะฉันที่ทำร้ายเขา!” ผมไม่เคยคิดว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น บางทีไม่ว่าสิ่งมีชีวิตหน้าไหนก็โง่เขลาด้วยกันทั้งนั้น ถึงได้ลืมไปว่า...ความลับไม่เคยมีอยู่ในโลก
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม