Asa
ผมอยากจะต่อยไอ้ฟรินน์แรงๆสักทีข้อหาทำอะไรไม่ระมัดระวัง แต่มันก็เท่านั้น โยชิสลบไปแล้ว ผมไม่รู้ว่าเขาเห็นไอ้ฟรินน์ชัดแค่ไหนเพราะฝนตกหนักและเม็ดใหญ่จนทำให้เห็นรอบข้างลำบากสำหรับคนธรรมดา และแถวนี้ต้นไม้ใหญ่ค่อนข้างสูง ผมก็ได้แต่หวังว่าเขาจะเห็นไม่ชัด
ผมอุ้มร่างบางขึ้นแนบอก รีบเดินกลับไปที่บ้านด้วยใจที่ระส่ำระส่าย กลัวว่าโยชิจะเป็นอะไรมากกว่าที่ผมเห็น มาถึงหน้าบ้านผมก็รีบพาขึ้นห้อง ผิวกายสีขาวนวลซีดไร้สีเลือดจนผมใจคอไม่ดี
“Hey!…” จูเลียตที่กำลังเดินลงบันไดมาปะหน้ากับผม เธอมองคนในอ้อมแขนผมงงๆ แต่ผมรู้ว่าเธอไม่พอใจ
“Get out of the way” ผมจะเดินแทรกขึ้นไป แต่จูเลียตขยับบังทางไม่ยอมให้ผมเดิน
“Human? Who is he?”
“He is Yoshi, he will stay here with us for a while.
“Why?”
“Move!”
เมื่อเธอยังคงขวางทางผมที่ร้อนใจราวกับไฟสุมอก ก็ไม่มีอะไรต้องเกรงใจ เดินกระแทกตัวเธอจนล้มลงกับพื้น ก้าวฉับๆไปที่ห้องนอน ผมไม่แคร์ว่าจูเลียตจะรู้สึกยังไง ในเมื่อเธอไม่เคารพเรื่องส่วนตัวของผม ก็ไม่มีอะไรต้องเกรงใจเธอ
ห้องของผมอยู่ด้านในสุด ผมกระชับร่างเล็กในอ้อมกอดแน่น ปล่อยมือข้างหนึ่งบิดลูกบิดให้ประตูเปิดออก ผมวางโยชิไว้บนเตียงก่อนจะลงมือเปลี่ยนเสื้อผ้าชุ่มน้ำฝนออก ถึงจะเป็นครั้งที่สองที่ผมได้เห็นเนื้อตัวเปล่าเปลือยของโยชิเต็มๆตา แต่ก็ยังไม่ชินอยู่ดี เรือนร่างผอมบางอย่างเด็กผู้ชายตัวเล็ก แต่ก็ไม่ได้ต่ำกว่ามาตรฐานเด็กไทยนอนนิ่งไม่ไหวติง ผมเป็นห่วงว่าเขาจะอาการหนัก ผิวซีดจนแทบไม่มีสีเลือด ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วเบนสายตาหนีภาพน่ามอง
กลัวระงับตัวระงับใจตัวเองไว้ไม่ได้ เผลอทำอะไรคนไม่มีสติเพราะแรงรักแรงปรารถนา
ผมหาผ้าชุบน้ำอุ่นเช็ดตามเนื้อตัวโยชิที่มีคาบน้ำฝนและเศษดินติดตามขาตอนที่สลบล้มลงไปกับพื้นให้สะอาด เขาเหมือนเด็กตัวน้อยที่ผมอยากดูแลเฝ้าทะนุถนอมเอาไว้ในอ้อมกอด กกกอดเอาไว้ไม่ให้ห่างกาย แต่ความปรารถนาคงไม่มีวันได้เป็นจริง ทุกอย่างที่หล่อหลอมออกมาเป็นโยชิ ผมรักหมดใจ อยากที่จะเผยความรู้สึกออกไป แต่ก็รู้ดีว่าเป็นไปไม่ได้
เขาเกลียดงู
เขาเกลียดในตัวตนที่ผมเป็น
คงไม่มีอะไรทรมานไปกว่าการต้องเก็บซ่อนความรู้สึกเอาไว้โดยที่ไม่สามารถแสดงออกหรือบอกออกไปได้
ถ้าเพียงแต่ผมจะเป็นมนุษย์คนหนึ่ง
มนุษย์ผู้โง่เขลา ไม่มีพลังวิเศษใดๆ
ก๊อกๆๆ
แอ๊ด~
เสียงเคาะประตูพร้อมเปิดออกในเวลาไล่เลี่ยกัน ผมรีบตวัดผ้าห่มคลุมร่างเปลือยเปล่าของโยชิป้องกันการถูกมองจากสายตาคนอื่น ไม่ว่าใครผมก็ไม่อนุญาตให้เห็นโยชิในสภาพน่าหลงใหลเช่นนี้ ฟรินน์โผล่หน้าเข้ามา ผมขยับตัวบังโยชิเอาไว้ด้วยความหวงแหน
“มีอะไร”
“เอ่อ โยชิเป็นไงบ้าง คือฉันขอโทษนะเว้ย ฉันแค่ออกไปตรวจตราความเรียบร้อย ไม่คิดว่าแกจะพาโยชิเข้ามานี่หว่า”
“ช่างเถอะ ฝากลงไปบอกปารีสให้ทำอาหารเผื่อโยชิด้วย” ผมสั่ง ไอ้ฟรินน์พยักหน้ารับ สีหน้าติดจะรู้สึกผิดที่ก่อเรื่อง แต่ก็ไม่ใช่ความผิดของมันเสียทีเดียว ทุกอย่างกะทันหันจนไม่ทันได้ระวังระไว คงต้องรอให้โยชิฟื้นก่อน ถึงจะรู้ว่าเขาเห็นฟรินน์ตอนเป็นงูหรือเปล่า
“เออ เวสตันบอกว่าเสร็จแล้วให้แกลงไปหาด้วย เรื่องโยชิ” มันคงเห็นว่าผมทำหน้าสงสัยว่าเวสตันเรียกผมเรื่องอะไรจึงได้รีบบอก แต่ผมรู้อยู่แล้วว่าเวสตันจะไม่ยอมปล่อยให้ผมทำอะไรตามอำเภอใจถ้าหมอนั่นไม่ยินยอม
“อื้อ” เสียงครางเบาๆดังเรียกความสนใจ ผมมองคนที่นอนกระสับกระส่ายด้วยความรู้สึกที่ยากจะบรรยาย ที่ผ่านมาผมจะเฝ้าดูแลเขาทำไม ในเมื่อท้ายที่สุดก็เป็นผมที่ทำร้ายเขา ให้เขาต้องอยู่กับความทรมานและนำพาเขาให้มาเจอกับอันตราย
‘มันน่าขยะแขยง หน้าเกลียดน่ากลัว แค่เห็นก็ขนลุกซู่ ถ้าโลกนี้ไม่มีงูก็ดีนะสิ’
มือที่ยืนออกไปได้เพียงนิดเดียวหวังจะสัมผัสแก้มนุ่มรีบชักกลับ ผมกำมือจนแน่นเพราะกลัวมันจะยื่นออกไปสัมผัสกับคนตรงหน้า กลัวว่าจะทำให้โยชิต้องมีรอยด่างจากผมติดตัวไป
ผมควรทำอย่างไรต่อไปดี
ผมเฝ้าดูจนแน่ใจแล้วว่าโยชิไม่มีอาการย่ำแย่จนน่าเป็นห่วง จึงตัดสินใจลงไปหาเวสตัน ในห้องนั่งเล่นไม่ได้มีเพียงเขา แต่ทุกคนในบ้านหลังนี้อยู่ที่นี่ ผมไม่รู้ว่าเวสตันคิดอะไรถึงเรียกผมมาคุยพร้อมกับปารีสและจูเลียต
“ฉันคิดว่าเราจะคุยกันส่วนตัว” ผมพูดขึ้น เดินไปนั่งที่โซฟาเดี่ยวที่ว่างอยู่
“ทุกคนจำเป็นต้องรู้เรื่องนี้ มันไม่ใช่เรื่องเล็กๆแล้วอาซา” เวสตันพูดหน้าเครียด แต่ถึงจะอย่างนั้น...
“ว่ามา” ผมก็ไม่มีทางเลือก
“เรากำลังจะพูดเรื่องอะไรกัน” ปารีสที่นั่งอยู่ข้างเวสตันพูดขึ้น ผมจุดบุหรี่สูบ แม้สายตาเขียวปั๊ดของจูเลียตกำลังจ้องผมเขม็ง ผมเลือกที่จะเมินเฉย เธอไม่เคยอยู่ในความสนใจของผม ไม่เคย และไม่มีวัน
“เอาละเรื่องแรกทุกคนรู้ว่าตอนนี้เกิดอะไรขึ้น ทั้งข่าวคนตายในสภาพกระดูกป่น ทั้งรูปปั้นคนในสภาพตกใจสุดขีดในทีวีและหนังสือพิมพ์ตอนนี้ ถึงแม้พวกคนธรรมดาจะไม่รู้ว่าใครเป็นคนทำ แต่พวกลีโอ พวกไทกริส โดยเฉพาะพวกไลแคนปรักใจเชื่อไปแล้วว่าเป็นพวกเรา” เวสตันอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้น อย่าว่าแต่พวกสามกลุ่มนั้นเลยที่คิดว่าเป็นพวกนากินีอย่างเราทำ เพราะพวกผมก็คิดเช่นกัน แต่เราไม่รู้ว่าคนทำคือใคร
“แต่ไม่ใช่เรานี่” จูเลียตที่ยืนพิงราวบันไดขึ้นเสียงอารมณ์เสีย เวสตันยกมือเป็นสัญญาณให้จูเลียตหยุดพูด เธอทำตาเขียวใส่เขาก่อนจะเดินมากระแทกตัวลงนั่งกับโซฟาอย่างหงุดหงิด
“มันก็ใช่ แต่อย่าลืมว่าเรื่องพวกนี้พวกระดับล่างทำไม่ได้ มีแค่พวกระดับสูงอย่างพวกเราเท่านั้น”
“และกรุงเทพก็มีแค่เราที่เป็นเจ้าถิ่น และดูแลควบคุมพวกชั้นล่าง” ปารีสพูดเสริม
“เมื่อครั้งก่อนที่ฉันกับอาซาออกไปล่ามัน แต่ทุกอย่างกลับเงียบเชียบ เหมือนมันจะรู้การเคลื่อนไหวของเรา” ฟรินน์พูดน้ำเสียงโมโห
เมื่ออาทิตย์ที่แล้วผมตามรอยสถานที่เกิดเหตุและออกล่าตัวคนทำ แต่ทุกที่กลับว่างเปล่าไร้หลักฐานไร้ร่องรอย ผมไม่ได้กลิ่นพวกชั้นสูงที่พอจะสร้างเรื่องได้ และช่วงนั้นก็ไม่มีเหตุการณ์คนตายแม้แต่คนเดียว จนกระทั่งรู้ข่าวว่าไอ้เจอร์โรมพวกไลแคนจับตัวพวกเราที่สร้างเรื่องได้ เวสตันก็เลยส่งปารีสกับฟรินน์ไปแย่งตัวมันมา แต่สุดท้ายก็เหมือนคว้าน้ำเหลว ไอ้งูตัวนั้นมันก็แค่แพะรับบาป ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องโดยสิ้นเชิง
“แล้วเราจะทำยังไง” จูเลียตถามเสียงร้อนรน และไม่ใช่แค่เธอ แต่พวกเราทุกคนก็ต่างร้อนอกร้อนใจกับเรื่องนี้ มันไม่ใช่แค่ถูกกล่าวหาว่าเป็นอาชญากร แต่นั่นหมายความว่าเราทำผิดกฎเยโรม กฎเบื้องบนที่ว่าด้วยให้มนุษย์ที่สามารถกลายร่างเป็นสัตว์ได้แต่ละเผ่าพันธุ์อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข และอยู่ร่วมกันกับมนุษย์ปกติอย่างสันติ แม้พวกมนุษย์จะไม่รู้เรื่องด้วยก็ตาม
“หนึ่งคือเราต้องตามล่าหาตัวคนทำให้เจอ สองระวังตัวจากพวกไลแคน โดยเฉพาะนายอาซา มันจ้องเล่นงานนายอยู่ รวมถึงพวกเราทุกคน เพราะฉะนั้นระวังตัวให้ดี แต่พยายามอย่าใช้กำลัง ไม่งั้นเราจะยิ่งตกเป็นเป้า”
“พวกผู้ชายอย่างเราก็ออกตามหาตัวมัน ส่วนปารีสกับจูเลียตก็คอยสอดแนมดูพวกอื่นว่ามีใครจ้องจะหาโอกาสนี้เล่นงานเราบ้าง” ฟรินน์ออกความคิดเห็น
“พวกไอ้เจอร์โรมฉันจะจัดการเอง” ผมบอกทุกคน เวสตันพยักหน้าเข้าใจ
“แล้วเรื่องที่สองละ” ปารีสถามแฟนตัวเอง เขามองตาผมนิ่ง ผมรู้ได้ในทันทีเลยว่าเรื่องที่เขาจะพูดคืออะไร ถ้าไม่ใช่เรื่องของโยชิ
“เรื่องที่สองให้อาซาเป็นคนพูดแล้วกัน” เวสตันโยนมาให้ผม ผมมองหน้าทุกคนในบ้านก่อนจะถอนหายใจ
“ฉันจะขอให้โยชิอยู่ที่นี่สักพัก ไอ้เจอร์โรมต้องการตัวเขาเพื่อแก้แค้นฉัน มันต้องใช้เขาเป็นเหยื่อล่อแน่ๆฉันมั่นใจ และตอนนี้มันเจอโยชิแล้วด้วย เพราะฉะนั้น...”
“เดี๋ยวนะ โยชิคือใคร” ปารีสเอ่ยขัด เลิกคิ้วสูงมองผมและเวสตันอย่างต้องการคำตอบ พวกผู้หญิงมักเป็นแบบนี้เสมอสงสัยและต้องการคำตอบไปซะทุกอย่าง และผมค่อนข้างหงุดหงิดกับนิสัยของปารีสและจูเลียตในบางที หรือไม่บางทีผมก็เคมีไม่ตรงกับพวกสิ่งมีชีวิตเพศเมีย
“โยชิคือคนสำคัญของฉัน ฉันหวังว่าทุกคนจะดูแลเขาเหมือนคนในครอบครัว” จุดนี้ผมจงใจพูดเน้นย้ำกับจูเลียตเป็นพิเศษ ผมรู้ว่าเธอคิดยังไงกับผม และผมไม่ต้องการให้เธอคิดไม่ดีกับโยชิ
“และที่สำคัญเลยคืออย่าให้เขารู้ว่าพวกเราเป็นอะไร โดยเฉพาะนายฟรินน์ ระวังตัวหน่อย อย่ากลายร่างสุ่มสี่สุ่มห้าโดยไม่ระวังอีก ต่อให้อยู่ในเขตบ้านพักก็ตาม”
“โอเค ฉันขอโทษ ต่อไปจะระมัดระวัง” ฟรินน์แบมือทั้งสองข้างและยกแขนขึ้นขอโทษขอโพย
“ฉันก็เตือนนายแล้วนะอาซา สุดท้ายก็เป็นเรื่องจนได้ แต่เอาเถอะ มาถึงขั้นนี้แล้ว ก็คงต้องดูแลกันไป” เวสตัสพูด
“เดี๋ยวนะ ฉันสงสัยว่าทำไมเราถึงบอกเขาไม่ได้ว่าเราเป็นอะไร ในเมื่อเขาสำคัญกับนาย” ผมบอกแล้วว่าผู้หญิงน่ะน่ารำคาญ อยากรู้อยากเห็นไปเสียทุกเรื่อง โดยเฉพาะจูเลียต เธอมองผมตาขวางติดจะประชดประชันและตัดพ้อ
“แล้วถ้าเด็กนั่นรู้ว่านายเป็นอะไร จะเกิดอะไรขึ้นงั้นเหรออาซา” คราวนี้เธอใช้น้ำเสียงเหมือนเป็นต่อพูดกับผม ผมขบกรามแน่น จ้องเธอด้วยสายตาดุดันที่สามารถทำให้เธอสลดลงได้
“อย่าคิดลองดีกับฉันจูเลียต แม้แต่เธอฉันก็ไม่เว้นถ้ายุ่งกับเขา”
“ทำไมฉันจะยุ่งไม่ได้”
“ก็ถ้าเธอยังไม่อยากตาย”
“อาซา!” เธอแผดเสียง ผมตวัดตามองนิ่งๆ
“เขาต้องไม่รู้ ยังไงก็ให้รู้ไม่ได้”
ถ้าให้รู้แล้วผมจะต้องเสียเขาไปพร้อมทั้งโดนรังเกียจ ก็ปล่อยมันไปแบบนี้นี่แหละ ผมจบการสนทนาของวันนี้โดยการลุกขึ้นเดินกลับห้อง
“ความลับไม่มีในโลกอาซา สักวันเด็กนั่นก็ต้องรู้ว่านายเป็นอะไร” ไม่สนใจคำพูดของจูเลียตที่ลอยตามหลังมาแม้ว่าผมจะกังวลตามคำพูดนั้นก็ตามที
“เชื่อคำพูดฉันได้เลย ไอ้เด็กนั่นจะทำให้นายเดือดร้อน!”