S.E.C.R.E.T - 6. ท่องราตรี

4354 คำ
เกือบเดือนแล้วที่ผมไม่เจออาซา เดินไปที่ไหนในมหาวิทยาลัยก็คอยแต่จะมองหา แต่ยังมีอีกที่ที่ยังไม่ได้ไปดู ก็คือป่าหลังโรงเรียน ผมไม่กล้าเดินเข้าไปคนเดียวและที่นั่นยังเป็นเขตหวงห้าม เข้าไปแค่ครั้งเดียวก็เกินพอ เพราะถ้าถูกจับได้ก็ไม่รู้ว่าจะถูกลงโทษอะไรบ้าง ครั้งก่อนผมแน่ใจว่ามีอาซาเป็นเพื่อน แต่ตอนนี้ผมไม่แน่ใจว่าเขาจะอยู่ เกิดไปเจอเข้ากับเพื่อนของเขาได้เป็นเรื่องแน่ๆ “เฮ้! เป็นอะไร นั่งเหม่อนะแก” ผมสะดุ้งนิดๆ คิดอะไรเรื่อยเปื่อยจนไม่ทันสังเกตว่านิกกี้มาถึงแล้วพร้อมกับตะกร้าใบขนาดย่อมใบหนึ่ง พอนิกกี้นั่งลงข้างๆผมตรงบันไดหน้าทางเข้าคณะ เติร์ดก็ตามมาติดๆ วันนี้เรามีพรีเซนต์งานเรื่องสัตว์ที่ได้หัวข้อมาคราวก่อน “นี่ๆ ดูนี่ น่ารักไหม” นิกกี้เปิดตะกร้าแล้วก็อุ้มแมวพันธ์อะไรไม่รู้ แต่คล้ายScottish Foldที่ผมก็ชอบออกมา “น่ารักอ่ะ ไปเอามาจากไหน” ผมถาม อุ้มน้องแมวมากอดเอาไว้ เจ้าแมวน้อยดูจะสงบเสงี่ยมเรียบร้อยมาก ไม่ดิ้นไม่ซน ยอมให้ผมอุ้มแถมยังเอนหัวมาซบบนหน้าอกผมอีกด้วย “เก็บได้ตั้งแต่เมื่อสองวันก่อน” “ไปเก็บที่ไหนมา มีเจ้าของหรือเปล่า ป่านนี้เจ้าของตามหาให้วุ่นแล้วมั้ง” เติร์ดพูด มือก็เอื้อมมาลูบหัวน้องแมว “นั่นสิ ประกาศหาเจ้าของไหม” ผมแนะนำ น้องแมวน่ารักขนาดนี้ยังไงก็ต้องมีเจ้าของแน่ๆ แถมดูจากขนาดตัวแล้วไม่น่าจะอายุเกินห้าเดือน เจ้าแมวน้อยที่แสนจะน่ารักมองผมด้วยแววตาติดอ้อน เจ้าของจะต้องรักมากแน่ๆเชื่อได้ “โหย ถึงจะอย่างนั้นก็เถอะ แต่ฉันอยากเลี้ยงไว้นี่นาเนอะๆปุยเมฆเนอะ” นิกกี้ยื่นมือออกมารับน้องแมวคืนไป ผมส่งคืนเธอแต่โดยดีก่อนจะจามออกมา ลุกขึ้นยืนปัดขนแมวที่ติดบนเสื้อผ้าออก ปกติพ่อกับพี่ยอร์ชไม่ค่อยให้ผมเข้าใกล้สัตว์มีขนเพราะกลัวอาการหอบกำเริบ “นี่เธอตั้งชื่อให้แมวชาวบ้านเขาด้วยเหรอ” “ทำไมยะ บอกไว้ก่อนเลยว่าปุยเมฆชอบชื่อนี้มาก เรียกทีไรเชื่อฟังทุกที” ผมปล่อยให้นิกกี้กับเติร์ดเถียงกันไป ชื่อปุยเมฆก็น่ารักดี แต่ไม่ค่อยจะเข้ากับเจ้าตัวเล็กเท่าไหร่ เพราะน้องแมวไม่ได้มีขนสีขาวสะอาด ขนของมันเป็นลายทางเหมือนเสือเสียมากกว่า กลุ่มคนสามสี่คนเดินอยู่ไม่ไกล ผมจำได้ดีว่าคนพวกนี้เป็นเพื่อนของอาซา แต่ไม่มีเขาเดินอยู่ด้วย รอบข้างก็ไร้วี่แวว เขาหายหน้าไปเลย แม้แต่เงาก็ยังหายาก มองไปทางไหนก็ไม่พบ แถมยังไม่มีหนทางติดต่อ เบอร์โทรเหรอ ช่องทางโซเชียลมีเดียเหรอ หรืออีเมล ผมไม่มีข้อมูลสักอย่างยกเว้นที่พักหลังมหาวิทยาลัย ซึ่งมันไม่ใช่ทางเลือกที่ควรนัก ผมอยากจะเดินเข้าไปถามพวกนั้นว่าเห็นอาซาบ้างไหม แต่ไม่รู้สิ ความรู้สึกแวบหนึ่งบอกว่าพวกเขาไม่ใช่คนที่ผมควรเข้าไปยุ่ง “มองหาอะไรวะไอ้โย” “นั่นดิ หลายรอบแล้ว แกกำลังหาใครอยู่หรือไง” “ไม่มีอะไรหรอก” ผมยกคำปฏิเสธที่พูดมาแล้วหลายสิบรอบขึ้นมาพูดอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ไม่มีใครเชื่อและทั้งนิกกี้และเติร์ดไม่ยอมให้ปล่อยผ่านไปง่ายๆ “มีอะไรก็บอกมาเถอะ ถ้าพวกเราช่วยได้ก็จะช่วย” นิกกี้พูดอย่างใจดี ผมยิ้มนิดๆแต่ก็ส่ายหน้าปฏิเสธว่าไม่มีอะไรทั้งสิ้น จะให้บอกได้ยังไงว่าผมกำลังชะเง้อคอมองหาอาซาอยู่ แม้จะไม่มีอะไรเสียหายที่จะบอก แต่ผมก็กลัวที่จะบอกให้ทุกคนรู้ว่าผมสนิทกับชายหนุ่มชื่อดังอันดับต้นๆของมหาวิทยาลัยในระดับหนึ่ง และกลัวว่าตัวเองจะเผยอาการให้ใครต่อใครรู้ว่าผมรู้สึกดีกับอาซา เพื่อนจะคิดยังไงถ้าผมดันไปรู้สึกดีกับผู้ชายด้วยกัน ถึงสังคมจะเปิดกว้างแต่ก็ใช่ว่าทุกคนจะยอมรับ “ถ้าไม่มีอะไรก็เลิกชะเง้อคอยมองทางนั้นทีทางนี้ทีเถอะ” นิกกี้มองอย่างจับผิด แต่ถ้าผมไม่ยอมปริปากพูดพวกเขาจะทำอะไรได้ “อืม ขอบใจนะ” ผมอยากจะขอโทษเพื่อนทั้งสองคนสักพันครั้งที่ไม่ได้เล่าความจริงออกไป ตอนนี้มันคงไม่มีประโยชน์ที่จะพูด ผมกับอาซาก็คงเป็นมากกว่านี้ไม่ได้ แต่ถึงจะคิดอย่างนั้น แต่ทุกครั้งที่เผลอก็จะคอยมองหาเขาอยู่ตลอดเวลา ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความใจดีของอาซาที่คนอื่นไม่ได้สัมผัสแต่ผมกลับได้รับ หรือความอบอุ่นที่ใครก็บอกว่าเย็นชาแต่ที่จริงแล้วไม่ใช่เลยหรือเปล่า ที่ทำให้ผมรู้สึกว่าเป็นคนพิเศษ ที่เราจะสามารถเป็นเพื่อนกันได้ พบเจอพูดคุยหรือนั่งกินข้าวด้วยกัน แต่จะจริงแท้แค่ไหน ผมไม่สามารถคาดเดาได้ ตอนนี้ผมรู้แค่ว่าอยากเจออาซาอีกสักครั้ง อยากพูดคุย อยากเห็นหน้า ก็พอแล้ว ในคาบเรียนผมตั้งใจเรียนบ้างไม่ตั้งใจเรียนบ้าง ถ้าสติอยู่ก็จดเลคเชอร์ที่เพื่อนกำลังพรีเซ็นต์ แต่ถ้าสติหลุดลอยหายไปไหนต่อไหนก็เหม่อลอยจนนิกกี้ต้องสะกิด จนกระทั่งถึงคิวผมออกไปรายงานหน้าหอประชุม ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆก่อนจะลุกขึ้นเดินไปข้างหน้า พร้อมพรีเซ็นต์งานตัวเองอย่างเต็มที่ จะทำให้ดีไม่ให้อาซาต้องผิดหวัง “ข้อมูลดีมาก ละเอียดครบถ้วน ไปหามาจากไหนเหรอ” โปรเฟสเซอร์ลูน่าถาม ผมยืนนิ่งก่อนจะยิ้มแล้วตอบ “เพื่อนผมที่เป็นผู้เชี่ยวชาญเขาให้ข้อมูลมาน่ะครับ” ขอบคุณนะอาซา ฉันต้องได้คะแนนเต็มแน่ๆ จบคลาสเรียนผมกับนิกกี้และเติร์ดตัดสินใจจะไปเลี้ยงฉลองที่พรีเซ็นต์งานผ่านไปได้ด้วยดีที่ห้างสรรพสินค้าใกล้ๆ ด้วยการดูหนังสักเรื่องและหาอะไรอร่อยๆกิน ผมลืมเรื่องของอาซาไปชั่วขณะ เพลิดเพลินกับการได้ดูหนังแนวที่ชอบ ที่ทั้งนิกกี้และเติร์ดถึงกับหน้าซีดตอนออกมาจากโรงหนัง แต่พอได้ของกินร้อนๆเป็นราเมงแสนอร่อยก็อาการดีขึ้น “แกชอบหนังแบบนี้เหรอวะ” เติร์ดถาม ใช้ตะเกียบคีบเส้นอุด้งร้อนๆเข้าปาก ผมกับนิกกี้กินอิ่มเรียบร้อย มีแต่เติร์ดที่ขอเบิ้ลชามที่สอง “ก็ตื่นเต้นเร้าใจดี” ผมชอบดูหนังสืบสวนสอบสวน ที่ต้องใช้ความคิดระหว่างที่ดู ได้ลุ้นไปพร้อมกับเรื่องที่ดำเนิน คาดเดาว่าเรื่องราวจะออกมาในรูปแบบไหน จุดจบจะเป็นยังไง ใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง มันทำให้ผมตื่นเต้นตลอดเวลา “น่ากลัวล่ะสิไม่ว่า ไม่เหมาะกับหน้าละอ่อนอย่างนายเลยนะ” ผมแค่ยักไหล่เบาๆ เสมองออกไปนอกร้าน มองผู้คนที่เดินสวนกันด้วยใบหน้าและอารมณ์ที่หลากหลาย ผมมองผู้ชายสามคนที่เดินใกล้กับกระจกร้าน หนึ่งในนั้นมองผมแวบหนึ่งก่อนจะสะกิดเรียกเพื่อนแล้วชี้มาที่ร้านนี้ คนอื่นๆพยักหน้าแล้วพากันเดินเข้ามา เลือกโต๊ะนั่งอยู่ข้างหลังผม ผมเลิกสนใจเขา รอจนกว่าเติร์ดจะกินเสร็จ ว่าจะไปซื้อรองเท้าคู่ใหม่สักหน่อย “คืนนี้มีปาร์ตี้ที่ Midnight เขาว่าจะมีอะไรดีๆด้วยวะ” “อะไรดีๆ คืออะไรวะ” “ก็วันนี้พวกเจอร์โรมมันจะเล่นงานพวกเวสตันไง” “จริงดิ แบบนี้ไม่ควรพลาด ฉันละอยากเห็นไอ้อาซาโดนเล่นงานนัก หมันไส้มานานแล้ว” ผมไม่ได้อยากจะแอบฟังหรือยุ่งเรื่องของคนอื่น แต่ชื่อที่คุ้นเคยเอ่ยออกมาจากปากผู้มาใหม่ จะไม่ให้ผมสนใจได้ยังไง และน่าจะเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยดี เกิดอะไรขึ้นกับอาซา ทำไมถึงมีคนวางแผนจะทำร้ายเขา “กี่โมงวะ” “ห้าทุ่มมั้ง พวกนั้นไม่เคยไปก่อนเวลานั้นอยู่แล้ว” เกิดอะไรขึ้นกันแน่ @ Midnight เอาล่ะ ผมกำลังทำเรื่องที่บ้าสุดๆเท่าที่เคยทำมา เวลาสี่ทุ่มครึ่งแบบนี้ผมควรจะนอนอ่านหนังสือ หรือไม่ก็นอนดูหนังเรื่องโปรดอยู่ในหอพัก หรืออาจจะนอนหลับฝันดีไปเลย ไม่ใช่มายืนอยู่หน้าผับแหล่งรวมสิ่งอโคจรอย่างที่ทำอยู่ตอนนี้ เพราะคำๆเดียวแท้ๆ ...ห่วง ผมเป็นห่วงอาซา “ฮู้ว มีแต่คนหล่อๆทั้งนั้นเลย บอกฉันมานะว่าไปรู้จักที่นี่ได้ยังไง” นิกกี้ทำตาโตด้วยความตื่นเต้นดีใจ หลังจากกลับจากห้างสรรพสินค้า ผมก็คิดแล้วคิดอีกว่าจะเอายังไงดี อาซาจะรู้ไหมว่ามีคนคิดจะทำร้ายเขา ผมกังวลจนอยู่เฉยไม่ได้ ตัดสินใจโทรตามนิกกี้ให้ออกมาที่นี่เป็นเพื่อน โดยอ้างว่าเบื่ออยากเที่ยวแทนที่จะบอกว่ามาตามหาอาซา “รูมเมตบอกมา” ก็อ้างอะไรไปเรื่อย นิกกี้ไม่เชื่อผมหรอก เธอขยับมายืนตรงหน้าผม ยกมือกอดอกจ้องหน้ารอให้ผมสารภาพความจริงออกมา “จะไม่เชื่อก็ได้นะ ตกลงจะเข้าไปไหม” ผมเลิกคิ้วถามนิ่งๆ เหมือนไม่ได้ตื่นเต้นเท่าไหร่ ทั้งที่ใจผมผลุบเข้าไปในผับนั่นเรียบร้อย ห้าทุ่มแล้วด้วย อาซาต้องมาถึงแล้วแน่นอน ผมต้องหาตัวเขาให้เจอก่อน จะได้บอกเรื่องที่แอบได้ยินมา “เข้าๆ ไม่คิดว่านายจะเที่ยวที่แบบนี้เป็นนะเนี่ย” ก็เที่ยวไม่เป็นน่ะสิ -_-^ “ก็มีบ้าง” โป้ปดชัดๆ พระเจ้ายกโทษให้ผมด้วย ภายใน ‘Midnight’ ผับชื่อดังใกล้กับอาร์ชยูค่อนข้างต่างจากละครที่ผมเคยดู ไม่เหมือนตั้งแต่เข้ามาในนี้แล้วแหละ เพราะผับแห่งนี้ห้ามคนนอกที่ไม่ใช่นักศึกษาอาร์ชยูเข้า ต้องยื่นบัตรนักศึกษาให้การ์ดตัวใหญ่ด้านหน้าดู ข้างในก็ค่อนข้างน่าทึ่ง พื้นที่กว้างมาก แต่ผู้คนยั้วเยี้ยยังกับหนอนอัดกระป๋อง ทำให้สถานบันเทิงแห่งนี้เล็กลงถนัดตา พื้นที่ส่วนใหญ่จะอยู่ต่ำเป็นแอ่งกระทะ ผมที่ยืนอยู่ตรงทางเข้าจึงมองภาพได้ในมุมกว้าง “สุดยอดเลยแก ไอ้เติร์ดพลาดมากที่ไม่ยอมมาด้วย” เสียงใสพูดอย่างตื่นเต้น ผมพยักหน้าไปตามเรื่องตามราว แต่สายตากวาดมองหาอาซาและเพื่อนๆของเขา นอกจากชั้นแรกแล้ว เท่าที่ผมสังเกต ผับแห่งนี้ก็ยังมีชั้นสองและชั้นสาม ผมพนันได้เลยว่าคนพิเศษมีชื่อเสียงอย่างอาซาและพวกต้องไม่ได้อยู่ชั้นล่างแน่ๆ เขาต้องอยู่ในโซนที่พิเศษกว่านี้ “เราไปชั้นสองกันเถอะ” ผมเดินนำขึ้นชั้นสอง คนน้อยกว่าชั้นล่างหน่อย ผมเลือกโต๊ะริมราวเหล็กเพื่อจะได้มองข้างล่างได้ชัดๆ ที่แน่ๆ ข้างล่างไม่มีอาซา เขามักโดดเด่นในท่ามกลางผู้คน ไม่ว่าจะเป็นผิวที่ขาวซีดจนเกือบจะสะท้อนแสงได้ หรือรูปร่างหน้าตาที่ดูดีไม่เหมือนใคร ถ้าอยู่จริงๆผมต้องสังเกตเห็นแน่ “เอาอะไรดีโยชิ เหล้าหรือเบียร์” นิกกี้เลิกมองอาหารตาที่รายล้อมอยู่รอบตัวหันมาถามผม “อะไรก็ได้ สั่งเลย” เห็นแบบนี้ผมก็ดื่มเป็นนะ แอบกินกับเพื่อนที่โรงเรียนเก่าบ้าง ซึ่งให้พ่อกับพี่ยอร์ชรู้ไม่ได้เด็ดขาด ไม่งั้นผมจะถูกตีก้นลาย “ฉันขอไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ อยู่คนเดียวได้ใช่ไหม” ผมไม่อยากทิ้งนิกกี้ไว้คนเดียว แต่เรื่องที่กำลังจะทำรั้งรอไม่ได้ “ฉันอยู่ได้ ไปเถอะ ดีซะอีก หนุ่มๆจะได้คิดว่าฉันโสด” “ระวังจะไปเจอไอ้หนุ่มดีแตกเข้าล่ะ” “เออน่า” “ระวังตัวด้วยนะนิกกี้ เดี๋ยวฉันมา ห้ามไปไหนนะ” ผมกำชับเพราะความเป็นห่วง แต่เธอส่ายหน้าเหมือนผมเป็นเด็กๆ ถ้าเธอโอเคผมก็วางใจ ผมเดินหาอาซาในชั้นที่สอง ยิ่งดึกคนยิ่งเยอะ ไม่รู้ป่านนี้พวกนั้นเจอตัวอาซาหรือยัง เสียงเพลงดังกระหึ่มแทบไม่ได้ยินเสียงผู้คนคุยกัน แต่พวกเขาก็ดูมีความสุขจากใบหน้าที่ยิ้มแย้ม ผมเดินวนรอบชั้นที่สองแต่ก็ไม่เจออาซา “เฮ้นาย...มาใหม่เหรอ ทำไมฉันไม่เคยเห็นหน้าล่ะ” เดินหาอาซาอยู่ดีๆก็มีผู้ชายหน้าตาทะเล้นเข้ามาทักผม ผมยิ้มแห้งๆยกมือโบกปฏิเสธเขาเล็กน้อย แต่เขาดูจะไม่เข้าใจ คว้าแขนผมที่กำลังจะเดินหนีดึงรั้งไว้เบาๆ เสียงเพลงเฟรทต่ำลงเป็นจังหวะให้ผู้คนได้หยุดพักผมจึงได้ยินเสียงของคนที่ดึงผมไว้ชัดเจน “อย่าเพิ่งไปสิ” เขาว่า ยิ้มกว้างเผยให้เห็นเขี้ยวที่ยาวกว่าปกติเล็กน้อย แต่ขับให้ใบหน้าเขาดูสดใสทะเล้นยามยิ้มยิงฟัน ถ้าไม่ได้อยู่ในสถานการณ์เร่งรีบผมคงยอมคุยกับเขาด้วยความเต็มใจในฐานะที่เราเรียนมหาวิทยาลัยเดียวกัน ก็น่าจะเป็นเพื่อนกันได้ “ขอโทษนะแต่ฉันรีบ ขอตัวก่อน” ผมดึงแขนออกจากมือสีขาวซีดของเพื่อนต่างชาติร่วมมหาวิทยาลัย ทำไมคนที่อาร์ชยูถึงได้มีผิวขาวเป็นหิมะกันนะ คงเป็นเพราะในอาร์ชยูไม่ค่อยจะมีแดดเพราะมีแต่เงาร่มไม้ปกคลุม อีกหน่อยผมต้องมีสีผิวแบบนี้แน่ๆ ”เดี๋ยว...” “แกทำอะไรอยู่เฟลิกซ์ เลิกป้อเด็กสักสองนาทีแล้วไปกับฉันก่อนได้ไหม” ชายชาวต่างชาติรูปร่างสูงใหญ่ แม้จะสวมเสื้อเชิ้ตอยู่แต่ก็พอรู้ว่าข้างในเต็มไปด้วยมัดกล้าม และที่โดดเด่นที่สุดเท่าที่ผมสังเกตได้ก็คือ ดวงตาของเขา...เรียวคมเหมือนในการ์ตูนญี่ปุ่นที่ผมเคยอ่าน “เฮ้อ ขัดจังหวะจริงๆ เออๆ ฉันไปก่อนนะที่รัก ไว้เจอกัน” “เอ่อ...” ผมงงกับพวกผู้ชายพวกนี้จริงๆ กำลังจะหันหลังเดินไปอีกทาง ถ้าไม่ติดว่าได้ยินอะไรดีๆเข้าเสียก่อน “ได้ข่าวว่าไอ้เจอร์โรมมันหาหลักฐานเล่นงานพวกนากินีได้งั้นเหรอ มันเจาะจงแต่ไอ้อาซาเสียด้วยนะ นายคิดว่าไงคาร์เตอร์” “เรื่องของพวกนั้น เราอย่าไปยุ่ง” ใครคือเจอร์โรม..แล้วคนพวกนี้เป็นใคร เขารู้จักกับอาซาด้วยเหรอ “เดี๋ยวก่อน อย่าเพิ่งไป” ผมพุ่งเข้าคว้าแขนคนที่ชื่อเฟลิกซ์เอาไว้ เขาหยุดเดินหันมาเลิกคิ้วสูงมองผมก่อนจะยิ้มหวานใส่ เผยให้เห็นเขี้ยวสี่ซี่ ทั้งบนและล่าง “เด็กน้อยของฉัน...ฉันก็อยากอยู่กับนายนะ แต่วันนี้ฉันมีธุระ ถ้ายังไงฉันจะให้เบอร์ไว้...” เขาพร่ำบ้าอะไร เมาใช่ไหม? “ไม่ๆ ฉันแค่อยากถามว่า อาซาอยู่ที่ไหน” มือที่กำลังกดโทรศัพท์หยุดกึก ไม่ว่าจะเป็นเฟลิกซ์ หรือคนที่ชื่อคาร์เตอร์ต่างก็มองผมเหมือนเป็นสัตว์ประหลาด เสียงเพลงจังหวะสนุกดังขึ้นอีกครั้งกลบเสียงพูดคุยระหว่างเฟลิกซ์ และคาร์เตอร์ แต่มันคงไม่ใช่เรื่องดีเพราะสีหน้าของพวกเขาดูเคร่งเครียดผิดปกติ ผมจะอ้าปากถามเฟลิกซ์อีกครั้ง แต่ใบหน้าหล่ออย่างกับรูปปั้นเดวิดที่ชวนให้หลงใหลกลับเป็นฝ่ายเลื่อนเข้ามาใกล้หน้าผมมาก ผมเผลอปล่อยมือเฟลิกซ์ ดวงตาเรียวคมของคาร์เตอร์สะกดผมให้ยืนนิ่ง น้ำเสียงชวนขนลุกกำลังคำรามเบาๆอยู่ข้างใบหูผม “อยู่ห่างจากพวกนั้นไว้ โดยเฉพาะอาซา มันไม่ใช่คนที่มนุษย์ธรรมดาอย่างนายควรเข้าไปยุ่ง ฉันขอเตือน” ผมว่าผมได้ยินจริงๆนะ เสียงคำรามจากผู้ชายคนนั้น ...คาร์เตอร์… กว่าจะรู้สึกตัวพวกเขาก็อันตรธานหายไปแบบไม่ทิ้งร่องรอย ผมยกมือลูบหน้าเรียกสติ เสียเวลาไปมาก แต่ยังหาตัวอาซาไม่เจอเลย หันรีหันขวางมองรอบตัว ชั้นสองไม่มี งั้นก็ต้องชั้นสาม Private Zone ว่าชั้นที่หนึ่งกับชั้นที่สองน่าทึ่งแล้วนะ ชั้นที่สามเป็นอะไรที่สุดๆ การตกแต่งดูเป็นงานหยาบๆคล้ายกับว่ายังไม่เสร็จ ทั้งอิฐบล็อก ผนังปูนที่ฉาบไว้หยาบๆแต่เกิดเป็นลวดลายสวยงาม มีป้ายบอกทิศทางว่าอะไรอยู่ตรงไหนเขียนในภาษาที่ผมไม่เคยเห็น แต่มันบ้ามากที่ผมอ่านมันเข้าใจ ...ห้องเก็บอาหาร… ...ห้องพยาบาล… ...ห้องเสพสม... อะไรคือห้องเสพสม? สาบานว่าผมยังอยู่ในผับ ที่นี่มันมีไว้ทำอะไรกันแน่ ผมยืนจ้องป้ายตัวอักษรประหลาดอยู่นานเกือบห้านาที ผมเบนสายตามองไปที่อื่นแล้วมองตัวอักษรที่เขียนบนป้ายอีกครั้ง แล้วก็เหมือนเดิม...ผมแปลกมากที่ผมรู้ว่ามันหมายความว่าอะไรทั้งที่ผมอ่านมันไม่ออก!!! ผมอยากจะหาคำตอบให้กับเรื่องแปลกนี่ แต่ไม่มีเวลาแล้ว ผมเลิกสนใจสถานที่ประหลาดๆและชายหญิงคู่หนึ่งที่กำลังจูบกันดูดดื่มข้างๆ เพราะคนที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามเป็นคนที่ผมตามหา ...อาซา… ผมรีบเดินแหวกฝ่าผู้คน ให้ตายเถอะ ผมว่าผมเห็นคู่รักชายหญิงอีกคู่หนึ่งกำลังคลอเคลียกันในสภาพที่หลุดลุ่ย พวกเขาไม่อายบ้างหรือไง แต่คงไม่...ก็พวกเขาเป็นชาวต่างชาติ มันคงเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับพวกเขา ที่ไม่ใช่พวกผม และเชื่อเถอะว่าผมลืมไปแล้วว่าตัวเองกำลังอยู่เมืองไทย! ทางที่อาซาเดินหายไปเป็นทางเดินแคบๆ และมีบันไดขึ้นไปข้างบนที่น่าจะเป็นดาดฟ้า ผมหันมองข้างหลังไม่มีใครตามมา ก้าวเดินขึ้นบันไดตามไป มันเป็นทางบังคับ ยังไงอาซาก็ต้องอยู่ข้างบน “บอกฉันมาว่าใครสั่งให้แกทำ” ‘อ๊ากกก!’ “เฮือก!” เสียงอะไร...ข้างบนนั่น? ‘ซี้ดดดด อ๊ากกกก! ฟ่ออออ!!!’ ปึง! มือดันประตูเหล็กดาดฟ้าเปิดออกอย่างแรง ต้องขอบคุณหนังลึกลับที่ผมชอบดู ทำให้ผมค่อนข้างมีภูมิต้านทานต่อสถานการณ์แบบนี้ เสียงร้องโหนหวนเงียบไปแล้ว อาซาหันมามองผม สีหน้าเขาดูตกใจอย่างมากไม่ต่างจากผมเท่าไหร่ เพื่อนเขาอีกคนมองผมด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง ในมือที่ยื่นออกไปข้างหน้ากำคองูสีดำสลับแดงเอาไว้แน่น เลือดหยดลงบนพื้นเป็นสายน้ำ ผมสั่นไปทั้งตัวจนกระทั่งอาซาเดินมากอดผมไว้ ใบหน้าผมซุกอยู่กับอกเขา ผมจะไม่กลัวเลยจริงๆ ถ้าไม่มีงูเป็นตัวประกอบ! “ชู่ ไม่เป็นไรๆ” เขาปลอบ ผมถึงได้คลายความกลัวจนเลิกสั่น “เสียงนั่น...”ผมกระซิบราวกับเพ้อ แต่เขาก็ปลอบว่าไม่มีอะไร แค่ว่าพวกเขาเจองูเลยจัดการมันก่อนที่มันจะกัดใครเข้า พวกเขาทำได้ยังไง ไม่กลัวมันกัดบ้างเหรอ แต่เท่าที่ดูจากสภาพงูตัวนั้น ผมว่าคนที่ชื่อเวสตันน่ากลัวกว่างูเสียอีก เขาฆ่างูด้วยมือเปล่า! “ไม่มีอะไร แค่เสียงงู” ...แต่ผมว่ามันเป็นเสียงคน... เสียงคนแน่ๆ ผมได้ยินกับหู “เคลียร์กันไปก่อน ฉันจะไปตามพวกปารีส เสร็จแล้วก็รีบกลับบ้านเลย เข้าใจไหม” ผมขยับตัวหนีเวสตันที่มายืนข้างๆผมกับอาซาเมื่อไหร่ไม่รู้ แต่พอมองมือเขาที่ไม่มีงูแล้วก็เบาใจ ลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก “อืม” อาซารับคำสั้นๆ เวสตันพยักหน้ามองหน้าผมเคร่งเครียด และผมก็กำลังเครียดตาม ตั้งแต่กลางวันจนตอนนี้ ผมเจอแต่ผู้ชายทำหน้าเครียดใส่ผม แล้วอย่างนี้จะไม่ให้ผมเครียดตามได้ไง อาซาปล่อยตัวผมให้เป็นอิสระเมื่อเราอยู่กันสองคนบนดาดฟ้า “นายไม่ควรมาที่นี่ คราวหลังอย่ามาอีก” เขาดุผมหน้าเข้ม “แต่...ฉันหานายไม่เจอ” ผมหน้าจ๋อยที่โดนดุ ก็ไม่ได้อยากมาหรอก ถ้าไม่ติดว่ามีเรื่องสำคัญ เออใช่! เกือบลืมไปเลย “เราไม่ควรเจอกัน มันไม่ปลอดภัยสำหรับนาย” “ทำไม เพราะคนพวกนั้น ที่ชื่อเจอร์โรมอะไรนั่นหรือเปล่า...” ผมสะดุ้งเมื่ออาซาตวัดดวงตาดำสนิทมองผมอึ้งๆ ผมรีบบอกเขาก่อนที่เขาจะโมโหไปมากกว่านี้ เขาดูน่ากลัวแบบที่ผมไม่เคยเจอ เขาไม่ได้อบอุ่นอ่อนโยนอย่างก่อนหน้านี้ แต่...มันทำให้เขามีเสน่ห์เพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว “นายรู้อะไรมาโยชิ แล้วไปรู้จักไอ้เจอร์โรมได้ไง” มือหนาคว้าหมับที่ต้นแขน ออกแรงบีบจนผมรู้สึกเจ็บ ร้องโอยเบาๆไม่ได้ขัดขืนแม้แต่น้อย แต่อาซากลับปล่อยแขนผมราวกับโดนของร้อน “เอ่อ ฉันขอโทษ เจ็บไหม” เขาถามเสียงนุ่ม ผมยิ้มออก “ไม่หรอก แล้วฉันก็ไม่รู้จักไม่เคยเจอเจอร์โรมด้วย ฉันแค่แอบได้ยินคนสามคนพูดกันว่าเจอร์โรมจะมาเล่นงานนายคืนนี้ ก็เลยตามมาหานายที่นี่ นายยังไม่ได้เจอคนนั้นใช่ไหม” ผมถามด้วยความเป็นห่วง “ยัง” “เฮ้อ~โล่งอก” ถือว่าผมทำสำเร็จ ค่อยสบายใจหน่อย “ขอบใจนายที่มาบอก แต่ต่อไปนี้ห้ามมาที่นี่อีก” อาซาทำหน้าจริงจัง “ทำไม” “มันไม่เหมาะกับนาย และห้ามไปยุ่งกับไอ้เจอร์โรมเด็ดขาด อยู่แค่ในที่ของนายก็พอ เข้าใจไหม” ไม่เข้าใจ...แต่ก็ไม่ได้พูดแย้ง “แต่ฉันเจอนายได้ใช่ไหม” ไม่ให้เจอคนอื่นก็ได้ ผมก็ไม่อยากรู้จักคนอย่างเจอร์โรมอะไรนั่น ผมแค่อยากเจออาซา “แม้แต่ฉัน...นายก็ไม่ควรเจอ” “ทำไม” “เราไม่ควรเจอกันตั้งแต่ทีแรก” เขาหันหลังให้ผม แค่เพียงก้าวเดียวเท่านั้น แต่ผมรู้สึกเหมือนเขาอยู่ห่างจากผมมากเกินกว่าจะเอื้อมถึง “นายไม่อยากเป็นเพื่อนกับฉันเหรอ” ถามด้วยใจที่เจ็บหนึบลึกๆ “ใช่ ฉันไม่อยากเป็นเพื่อนกับนาย...รู้แล้ว ต่อไปนี้ก็อยู่ให้ห่างฉันเอาไว้” ก็ไม่เจ็บเท่าไหร่...แค่น้ำตาไหลเท่านั้นเอง Asa “โอ้ว เด็กน้อยที่น่ารักช่างน่าสงสาร” “s**t!” ผมสบถเบาๆ ไม่รู้ว่าไอ้เจอร์โรมมันโผล่มาที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่ ปกติผมจะต้องได้กลิ่นสาบจากตัวมัน แต่นี่...ไม่มีทางที่การรับรู้กลิ่นของผมจะผิดพลาด “แกคงกำลังจะสงสัยว่าทำไมแกไม่ได้กลิ่นของฉัน ต้องขอบคุณเสื้อหนังงูตัวนี้ที่ดับกลิ่นของฉันเสียเกลี้ยง ฉันใช้งูตั้งสามสิบตัวเพื่อตัดเสื้อตัวนี้ เจ๋งดีไหมล่ะ” มันกำลังข่มขู่ผม “งั้นก็เชิญแกชื่นชมกับเสื้อหนังงูของแกไปคนเดียว” ผมเดินหนี มือคว้าที่จับประตูดาดฟ้า “ถึงแกจะฆ่าหลักฐานชิ้นสำคัญที่ฉันหามาได้ แต่อย่าคิดว่าจะรอด ฉันจะตามกัดแกไม่ปล่อย และจะค่อยๆถลกหนังสีดำมันเงาของแกมาทำรองเท้า คงจะสวยและใส่สบายดี ว่าไหม” ไอ้เจอร์โรมหัวเราะกลั้วในลำคอ ผมหันหน้ากลับไปหามัน เดินเข้าไปใกล้ๆ “แกคงไม่อยากให้ฉันฆ่าแกหรอกใช่ไหมเจอร์โรม” ถ้าไม่กลัวว่าจะผิดกฎและพวกผมทั้งหมดจะเดือดร้อน ผมฆ่ามันไปนานแล้ว ไม่ปล่อยให้มันทำตัวเป็นหมาคอยลอบกัดอย่างทุกวันนี้หรอก “เหมือนที่แกเคยทำน่ะเหรอ หึหึ แต่ครั้งนี้ฉันจะเป็นฝ่ายที่ฆ่าแก และฉันจะทำให้ได้ด้วย รวมไปถึง คนที่แกรัก” ผมกำมือแน่น ผมไม่เคยกลัวถ้าต้องประจันหน้ากับมันและต่อให้ผมต้องฆ่ามันจริงๆผมก็ไม่คิดจะลังเล เพียงแต่ชีวิตผมไม่ได้มีไว้เพื่อดับสูญให้มัน แต่ชีวิตผมมีไว้เพื่อเขา ผมจะไม่ยอมให้มันทำอะไรโยชิ “งั้นก็อย่าลืมทำให้ได้ล่ะ” “แน่นอน ว่าแต่...เด็กคนเมื่อกี้ ถ้าแกไม่เอาแล้ว ฉันขอแล้วกันนะ...เนื้อหอมดี นานแล้วที่ไม่ได้กลิ่นจิตวิญญาณมนุษย์ที่หอมขนาดนี้” หมับ! ผมกระชากคอเสื้อของมัน มืออีกข้างก็บีบคอมันแน่น ดวงตาของมันจ้องผมอย่างไม่ยอมแพ้ “อย่ายุ่งกับเขา ไม่งั้นฉันจะเป็นฝ่ายที่ล่าแก!”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม