หลังจากอาบน้ำแต่งตัวเตรียมไปเรียนเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผมเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตัวเองลืมอะไรไป ผมลืมเรื่องเมื่อวานไปเสียสนิท
ตั้งแต่ตอนที่ตื่นจากฝันร้ายแล้วก็นอนลืมตาร้องไห้อย่างไม่รู้สาเหตุอยู่สักพัก หัวใจที่บีบรัดอย่างเจ็บปวดก็คลายตัวลง เมื่อน้ำตาบนหน้าเริ่มแห้ง ผมก็ตระหนักได้ว่าตอนเช้ามีเรียน และถ้าไม่ลุกออกจากที่นอนเดี๋ยวนั้นผมได้ไปเข้าเรียนสายแน่ๆ เลยรีบตวัดตัวลงจากเตียงเข้าห้องน้ำ ไม่ทันได้คิดอะไรทั้งสิ้น
แต่ตอนนี้ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อวานวิ่งผ่านสมอง เกิดทั้งภาพและเสียงที่ผมได้เผชิญหน้ากับอสรพิษร้ายอย่างใกล้ชิดอีกครั้ง แต่ให้ความรู้สึกที่ต่างกัน ครั้งแรกในวันที่ฝนตก งูที่เลื้อยอยู่บนโคมไฟเหนือหัวไม่ได้มีแววตาที่จ้องจะทำร้ายเหมือนกับตัวเมื่อวาน ผมไม่ได้บ้าแต่ผมรู้สึกได้
ผมรอดมาได้ยังไง
แล้วอาซาล่ะ เขาช่วยผมไว้นิ
ที่น่าแปลกคือผมกลับมานอนที่ห้องได้ยังไง แถม...เสื้อผ้ายังถูกเปลี่ยนอีกด้วย ตื่นมาก็มีผมอยู่คนเดียวในห้อง ไม่เห็นดาวเสาร์เลย แล้วใครล่ะที่จะเป็นคนเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ถ้าไม่ใช่...อาซา
โอ้พระเจ้า! นี่ผมเขินเขาอีกแล้วเหรอ ไอ้โยชิเอ้ย แกโตแล้วนะ ไม่ใช่เด็กเล็กๆ อาบน้ำกับเพื่อนผู้ชายด้วยกันก็เคยมาแล้ว ทำไมยังเขินได้มากขนาดนี้อีกก็ไม่รู้ ใครรู้เข้าอายตายเลยเกิดเป็นผู้ชายเสียเปล่า
“ช่างเถอะ ไว้ค่อยไปถาม” สะบัดหัวเรียกสติกลับเข้าร่าง มือหยิบกระเป๋าสะพายข้างขึ้นคล้องพาดบ่า ตรวจเช็คความเรียบร้อยก่อนจะออกจากห้อง
กลิ่นน้ำค้างบนยอดหญ้ากับอากาศเย็นๆ ผมสูดลมหายใจเข้าปอด แต่ต่อให้ที่กรุงเทพจะเช้าสักแค่ไหน อากาศก็ไม่ดีเท่ากับที่เชียงใหม่เลยสักนิดเดียว แม้ว่าในมหาวิทยาลัยจะเทียบเท่าได้กับป่าก็เถอะ
ก่อนที่ผมจะเดินไปถึงคณะ ผมเหลือบไปเห็นร่างคุ้นตาเดินอยู่ไม่ไกล แต่ทางที่อาซากำลังเดินไปมันเป็นป่าด้านหลังมหาวิทยาลัย จะเรียกว่าป่าก็ไม่ถูกนัก แต่เพราะด้านหลังเป็นพื้นที่ที่ปลูกต้นไม้ใหญ่โตเอาไว้มาก มองไปจึงเห็นแต่ต้นไม้ ทุกคนเลยเรียกว่าป่า แต่ที่พิเศษไปมากกว่านั้นคือที่นั่นเป็นส่วนหวงห้ามเพราะเป็นบ้านพักของพวกอาซา ซึ่งก็ไม่ต่างอะไรกับอีกสามทิศ
มาคิดๆดูแล้ว ผมว่ามหาวิทยาลัยนี้มันแปลกเกินไป หลายสิ่งหลายอย่างดูไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย
ผมมองแผ่นหลังกว้างจนลับสายตาหายเข้าไปในป่าแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะก้าวตามไป คงไม่ได้เข้าเรียนคาบเช้าของวันนี้แล้ว ผมคิดว่าผมมีคำถามจะถามอาซา
หันซ้ายแลขวาเพื่อดูว่ามีใครสังเกตเห็นผมหรือเปล่า แต่รอบๆบริเวณด้านหลังของมหาวิทยาลัยมักจะปลอดคน วางใจได้ว่าต่อให้ผมเดินเข้าไปในป่าตอนนี้ก็ไม่มีใครพบเห็นเอาไปฟ้องอธิการบดีแน่นอน ยกเว้นแต่คนที่ผมตามหาจะไปบอก
ประตูรั้วสูงปิดไม่สนิท ผมเอื้อมมือผลักมันให้เปิดอ้าออก ทางเดินยาวไปข้างหน้า สองข้างทางมีแต่ต้นไม้สูงใหญ่ดูวิเวกวังเวงชอบกล แต่ผมก็ไม่ได้ตัดใจถอยห่าง เลือกที่จะเดินเข้าไป
เมื่อเดินเข้ามาในป่าผมก็ต้องตกตะลึงกับสิ่งรอบด้าน มีต้นไม้บางชนิดที่เคยเห็นในรูป แต่พ่อบอกว่าหาดูได้ในป่าที่อุดมสมบูรณ์เท่านั้น ซึ่งก็ควรจะเป็นบนป่าบนภูเขาใหญ่ถึงจะถูก ไม่ใช่ในเมืองกรุงที่มีแต่มลพิษแบบนี้
โลกนี้ช่างแปลกขึ้นทุกทีๆแล้วสินะ
โดยเฉพาะผมที่พาตัวเองเข้ามาอยู่ในที่แปลกๆ
“หายไปไหนของเขานะ”
ทั้งที่ก็เดินตามมาติดๆ แต่ผมกลับมองหาอาซาไม่เจอ เดินไปไหนของเขากันไวชะมัด
สองเท้าย่ำลงบนดินที่ชื้นแฉะ กวาดสายตามองไปรอบๆสลับกับมองพื้นดิน เกรงว่าจะเดินสะดุดตอไม้เข้าจนเจ็บตัว แต่บนพื้นกลับปรากฏรอยลากที่คดเคี้ยวเป็นเส้นคลื่นยาวตรงไปข้างหน้า
“รอยอะไร” ผมพึมพำกับตัวเอง ผมต้องการรอยเท้าของอาซา ไม่ใช่รอยแปลกๆอะไรแบบนี้ เหมือนรอยตัวอะไรสักอย่างที่เคยเห็นในหนังสือตอนที่ทำรายงาน...
งู?
แต่ใหญ่ขนาดนี้...ถ้าอยู่บลาซิลคงคิดว่ามีอนาคอนด้ามาเลื้อยเล่นให้ใจสั่นขวัญแขวน
เพียงแค่คิดขนก็ลุกซู่ซ่าขึ้นมาเต้นแทงโก้ แทบอยากวิ่งหนีออกไปให้รู้แล้วรู้รอด แต่ถ้าผมหนีไปตอนนี้ แล้วอาซาล่ะ ผมควรจะต้องรีบหาอาซาให้เจอก่อนที่เขาจะถูกงูกัดตาย
นั่นไง!
ในพื้นที่โล่งกว้างพอประมาณ บริเวณนั้นมีต้นหญ้าปกคลุมและมีต้นไม้ต้นเล็กๆออกดอกอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลเป็นกระจุก อาซานอนหงายกับพื้นหญ้าอย่างกับเอ็ดเวิร์ดในหนังเรื่องทไวไลท์ แต่ต่างกันตรงที่เอ็ดเวิร์ดเป็นแวมไพร์ ส่วนอาซาก็เป็นคนธรรมดา
แต่ถ้าอาซาจะเป็นแวมไพร์ เขาก็คงเป็นแวมไพร์เจ้าเสน่ห์ที่ดูดีเอามากๆ และเชื่อว่าทุกคนจะยอมพลีกายให้เขาได้ดื่มเลือดทุกหยาดหยดด้วยความเต็มใจแม้แต่ผมเอง
เอ๊ะ! นี่ผมคิดอะไรเพ้อเจ้ออยู่
ไม่แปลกถ้าจะเก็บไปฝันเป็นตุเป็นตะขนาดนั้น
เพิ่งได้สังเกตอาซาจริงจัง เขาตัวสูงกว่าผมพอสมควร ผมสูงร้อยเจ็ดสิบสาม เขาน่าจะร้อยแปดสิบกว่า รูปร่างเขาสูงใหญ่ตามแบบฉบับฝรั่ง แต่ก็ไม่ได้ถือว่าบึกบึนเป็นหนุ่มกล้ามปู ออกแนวสูงโปร่งมากกว่า ผมชอบนะ...กำลังพอดี กอดแล้วน่าจะอบอุ่น
เอ๊ะ?...นี่ผมคิดอะไรไม่ดีกับอาซาอีกแล้วใช่ไหม
ก่อนที่ผมจะคิดอะไรเลยเถิด ผมควรจะหยุดทุกอย่างไว้แค่ในความคิดเท่านั้น อย่าเผลอทำเชียว
“เฮ้อ...อาซา” ผมเรียกอาซาที่นอนหลับตาอยู่ ขาก็ค่อยๆก้าวเข้าไปใกล้ ไม่ให้เกิดเสียงดังจนทำให้เขาตกใจ
แต่อาซาเพียงแค่ลืมตาขึ้นมองผมที่ยืนอยู่เหนือหัว เขาดูตกใจไม่น้อยที่เห็นผมอยู่ที่นี่ คิ้วเข้มขมวดเป็นปม ผุดลุกขึ้นนั่งทันที สีหน้าของเขาเหมือนจะปรามว่าผมทำไม่ถูก ผมจึงทำได้เพียงยืนก้มหน้าเหมือนเด็กมีความผิด จนเขาถอนหายใจเบาๆ ผมถึงได้ช้อนตาสบเข้ากับดวงตาสีดำเข้ม
“มีอะไรเหรอ นั่งลงสิ” เขาพูดนิ่งๆ นิ่งมากจนผมเกร็ง
“เอ่อ คือ...” แทบจะลืมไปหมดแล้วว่าตามอาซามาทำไมตั้งแต่เห็นรอยงูที่เลื้อยอยู่บนพื้น ใช่ไม่ใช่ผมก็ไม่รู้แหละ คนมันกลัว ยิ่งเจอจังๆสองครั้งสองคราในช่วงเวลาไม่ถึงเดือนก็ไม่แปลกถ้าผมจะจิตตกเข้าขั้นเกิดอาการหลอน
“นายไม่ควรเข้ามาที่นี่คนเดียวนะ” อาซาเตือน ผมพยักหน้ารับรู้ ถ้าไม่ใช่เพราะอยากเจอ อยากพูดคุยถามไถ่จนลืมตัว ผมก็คงไม่เดินเข้ามาในนี้หรอก
เพราะรู้สึกว่าอยู่กับอาซาเหมือนกับอยู่กับคนในครอบครัว คุ้นเคยและอบอุ่น ถึงได้อยากอยู่ใกล้ และความรู้สึกแบบนี้ก็ยิ่งเด่นชัดมากขึ้นทุกที และยิ่งชอบอาซาแล้วด้วย...
“บ้าๆๆ” คิดบ้าอะไรอยู่วะ!
ผมสะบัดหัวไปมาไล่ความคิดพิลึกพิลั่นออกจากหัว แต่หารู้ไม่ว่ามันไม่ได้หลุดออกจากใจเลยแม้แต่นิด
“เป็นอะไรไป” เขาถาม
“เปล่าหรอก แค่คิดอะไรบ้าๆน่ะ” ผมหัวเราะแห้งๆ อาซาทำหน้าสงสัยแต่ก็ไม่ได้ถาม จะให้บอกได้ยังไงล่ะว่าคิดไม่ดีกับอีกฝ่ายอยู่ ถ้าอาซารู้ว่าผมแอบชอบ...
ไม่! ไม่ได้เป็นอันขาด จะให้อาซารู้ไม่ได้ ไม่อย่างนั้นเขาอาจจะไม่อยากเป็นเพื่อนกับผมอีกก็ได้
“แล้วตกลงมาทำอะไรที่นี่” อาซาถามอีกครั้ง
“ก็ ตามนายมา” ผมสารภาพ สีหน้าเจื่อนลงเรียกความสงสาร กลัวจะโดนดุ
“ตามฉันมา? มีอะไรหรือไง”
“ก็ เรื่องเมื่อวาน...” ผมขึ้นต้น แต่ก็ถูกอาซาเอ่ยแทรกเหมือนเขาจะเดาใจได้ว่าผมต้องการจะพูดอะไร
“ฉันขอโทษนะ ที่พานายไปเจอเรื่องแย่ๆ”
แต่ผมไม่ได้จะโทษว่าเป็นความผิดเขาเสียหน่อย
“ไม่ๆๆ มันไม่ใช่ความผิดของนายหรอก ฉันเองก็ไม่ระวัง อย่างว่าแหละ หน้าฝนงูชุมเป็นธรรมดา” ผมเบ้หน้าไม่ชอบใจ ต่างจากอาซาที่ทำหน้าเครียดเล็กน้อย ผมยิ้มเพื่อให้เขาคลายกังวล แต่แทนที่จะดีขึ้น ดวงตาของเขากลับเหม่อลอยไปไหนต่อไหน
“อาซา” ผมเรียกอาซาที่ทอดสายตานั่งเหม่อ แววตาที่เคยดุดันน่าค้นหากลับเต็มไปด้วยความเจ็บปวด
“เป็นอะไรหรือเปล่า”
“เปล่าหรอก ไม่มีอะไร” อาซาส่ายหน้า
“งั้นเหรอ เราออกไปจากที่นี่กันเถอะ ฉันว่าที่นี่มีงู เกิดโดนกัดขึ้นมาตายเลย” พูดแล้วก็ขนลุกซู่ ยังไงๆ งูก็เป็นศัตรูกับผมอยู่วันยังค่ำ ศัตรูที่ไม่อาจอยู่ร่วมกันได้
“ฉันไม่กลัวงูหรอก” อาซาตอบเสียงเอื่อยๆ ผมเชื่อนะ เมื่อวานตอนที่ผมตกใจสุดขีด เขาเข้ามาช่วยผมโดยไม่มีท่าทีกลัวงูสักนิด
“เมื่อวาน นายคุยกับงูงั้นเหรอ นายคุยกับงูได้ เหมือนในหนังเลย” ผมจำได้รางๆว่าตอนที่อาซาเข้ามาช่วย เขาพูดอะไรสักอย่าง เป็นภาษาที่ฟังไม่รู้เรื่อง แต่เพราะตอนนั้นผมกำลังตกใจสุดขีดเลยไม่ทันได้สังเกตอะไรมากนัก
“เปล่า ฉันไม่ได้คุย” อาซาปฏิเสธเสียงเรียบก่อนจะอธิบายต่อ
“ฉันก็แค่ท่องคาถาไล่งูของคนไทย ไม่น่าเชื่อว่าจะใช้ได้ผล เพราะฉันเองไม่ได้นับถือศาสนาพุทธ” อาซายักไหล่นิดๆ
“อย่างนั้นเองเหรอ ถึงว่า...แล้วนายเป็นต่างชาติแท้ๆเลยใช่ไหม?” ผมหาเรื่องคุย ข้ามเรื่องที่ผมใส่ชุดนอนแทนที่จะเป็นชุดของเมื่อวานไป ไม่มีอะไรต้องกังวล ยังไงก็ผู้ชายด้วยกัน แต่แทนที่จะชวนคุยเรื่องอื่น ก็โง่ขนาดที่ถามเรื่องไม่เป็นเรื่อง ต่างชาติไม่ต่างชาติมันก็ปรากฏอยู่บนหน้าเขาเด่นหรา คงมีแค่ผมที่บ้าตั้งคำถามนี้
“ฉันเป็นลูกครึ่ง”
อ่า มันก็ไม่ใช่คำถามที่บ้าสักเท่าไหร่
“ลูกครึ่งอะไรอ่ะ”
“ครึ่งคนครึ่งสัตว์” อาซาตอบหน้าซื่อ ผมฟังแล้วก็อึ้ง ก่อนจะขำออกมาพร้อมยิ้มกว้าง ไม่คิดว่าอาซาจะเล่นมุขอะไรแบบนี้เป็นด้วย คนเรามองแค่ภายนอกไม่ได้จริงๆ
“นายนี่ตลกหน้าตายชะมัด ใครสอนมุขนี่เนี่ย ใช้ได้ๆ” ผมยกนิ้วโป้งให้
“ว่าแต่ เป็นสัตว์ชนิดไหนล่ะ” ผมแกล้งแซวขำๆ เอาจริงนะ ไม่คิดเลยว่าคนอย่างอาซาจะตลกเป็น
“งู” อาซาตอบสั้นๆ ผมหยุดยิ้มทันควันหรี่ตามองอาซานิ่งๆ แหม เห็นผมกลัวงูหน่อยเอามาล้อกันเล่นได้นะ
“จะล้อฉันหรือไง เป็นอย่างอื่นสิ เป็นงูไม่เห็นเท่เลย”
“แล้วเป็นอะไรถึงเท่ละ” เขาทำหน้าจริงจัง ผมกลั้นขำเพื่อรักษามารยาท
“อืม...หมาป่าเป็นไง เท่จะตาย”
“เหอะๆ ไม่ล่ะ ฉันเป็นคนอเมริกัน” อาซาส่ายหน้าพูดตัดบทไม่ให้ออกนอกทะเลไปไกล ผมกระแอมไอเล็กน้อย
“ฉันเป็นลูกครึ่งนะ เป็นลูกเสี้ยว ฉันมีเชื้อสายจีนแค่เสี้ยวเดียว เพราะแม่เป็นลูกครึ่งไทยจีน” ผมบอกเรื่องของตัวเองบ้าง อาซานั่งฟังตาแป๋วเหมือนเด็กๆ น่ารักดีแหะ
“ตกลงแล้วที่นี่มีงูจริงๆใช่ไหม” ผมยังคงระแวง คอยเงี่ยหูอยู่ตลอดว่ามีเสียงอะไรแปลกๆหรือเปล่า
“มีสิ” อาซาพูดตอบอย่างเร็ว ผมทำหน้าเหวอ อาซาค่อยๆขยับเข้ามาใกล้ ผมเอนตัวหนีเล็กน้อยก่อนจะปล่อยให้อีกฝ่ายเคลื่อนหน้าเข้ามาใกล้จนปลายจมูกชนกัน หัวใจเต้นแรงอย่างควบคุมไม่อยู่
“ยิ่งหัวใจเต้นแรงแบบนี้ งูจะยิ่งมาหานาย รู้ไหม”
มือหนาทาบทับลงบนหน้าอกของผม ลูบไล้เบาๆทำเอาวาบหวามไปทั้งร่าง ผมแทบจะกลั้นหายใจ รู้สึกว่าใจมันหวิวๆ ทั้งระยะใกล้และสัมผัสที่นุ่มนวล ยิ่งใบหน้าหล่อเหลาราวกับรูปปั้นใกล้เข้ามามากเท่าไหร่ ผมก็แทบควบคุมตัวเองไม่อยู่ แก้มที่ขึ้นสีแดงของผมถูกริมฝีปากสีซีดแตะเบาๆ ผมหลับตาปี๋ ไม่ได้รู้สึกรังเกียจ แต่กลับรู้สึกแปลกๆ
แบบนี้เขาเรียกว่ารู้สึกดีหรือเปล่า
ทำไมใจง่ายจังวะเรา
ผมนึกตำหนิตัวเองในใจ แต่ก็ไม่ได้ห้ามปรามปล่อยให้เขาหอมแก้มผมนานอยู่เกือบนาทีก่อนจะเคลื่อนมาที่มุมปาก ผมยิ่งใจเต้นแรงเข้าไปใหญ่ กลิ่นดินเย็นๆจากตัวเขาทำให้ผมผ่อนคลาย และไม่น่าเชื่อว่าผมจะทำมัน
ผมขยับริมฝีปากเพื่อให้ได้จูบกับอาซา...
บ้าไปแล้ว!
แต่รู้สึกดีชะมัด
“ขอโทษ” อาซาผละออกมองหน้าผมอย่างสำนึกผิด
“มะ ไม่เป็นไร” ผมก้มหน้าตอบเขินๆ ก็จูบเมื่อกี้ผมเต็มใจนี่น่า ใบหน้าขึ้นสีแดงกล่ำ อาซายื่นมือเข้ามาจับและลูบแผ่วเบา บนใบหน้าปรากฏรอยยิ้ม ผมมองด้วยความตะลึง นับว่าเป็นรอยยิ้มที่สวยที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา
“นายยิ้มสวยจัง” ผมมองรอยยิ้มอย่างเผลอไผล
“นายก็ยิ้มสวย” นิ้วโป้งกร้านน้อยๆไล้ที่ริมฝีปากผม เขากำลังทำผมเขินตัวแทบแตก เขาจะรู้บ้างไหม ถ้าเขายังไม่เลิกยั่วผมละก็ ผมไม่รับประกันนะว่าเขาจะปลอดภัย >_<
สวบบ!
“เฮ้ย! เสียงอะไรน่ะ” ผมสะดุ้งตัวโยน ทั้งตัวกระถดเข้าหาอาซาอย่างลืมตัว คนกำลังหวานๆ เกิดบ้าอะไรขึ้นเนี่ย! สองตาผมกวาดมองทั่วบริเวณอย่างวิตกกังวล
จะเป็นงูหรือเปล่า หรือตัวอะไรกันแน่
“ไม่มีอะไรหรอก ใจเย็นๆ ไม่ต้องกลัว” อาซาลูบที่ต้นแขนผมเพื่อปลอบประโลม
จนแน่ใจว่าไม่มีอะไรจริงๆ ผมถึงได้ผ่อนลมหายใจออกมาพรืดใหญ่ ลูบอกลูบคอตัวเองไปมา ผมกลายเป็นคนจิตผวาตั้งแต่ที่เผชิญหน้ากับงูอย่างจริงจังถึงสองครั้งสองครา จนแอบคิดไม่ได้ว่าผมกลายเป็นโรคประสาทไปแล้วหรือยัง
“นายอยู่ที่นี่ไปได้ยังไงกัน น่ากลัวชะมัด”
อยู่ก็หลังมหาวิทยาลัย มีแต่ต้นไม้ เดินเข้ามาก็ลำบาก แบบนี้ยิ่งเป็นที่ซ่องสุมของพวกสัตว์เลื้อยคลานมีพิษต่างๆมากมาย ดูยังไงก็อันตรายเกินกว่าจะมาอาศัยอยู่ในบริเวณนี้ได้ อะไรๆผมก็เผชิญหน้าได้ทั้งนั้นนะ ยกเว้นงูอย่างเดียวจริงๆ
“ไม่หรอก ฉันชอบที่นี่”
“นายนี่แปลกจริงๆ”
อาซาทำให้ผมอึ้งกับตัวตนของเขาหลายต่อหลายอย่าง ทั้งนิสัยใจคอ คำพูดและการกระทำ ดูอย่างเมื่อตะกี้สิ ที่เขาหอมแก้ม และที่เราจูบกัน มันจะหมายความว่ายังไง หมายความว่าอาซาเองก็ชอบผมหรือเปล่า หรือแค่ลืมตัวไปชั่วขณะ
“นายคิดยังไงกับสัตว์ที่เรียกว่า ‘งู’” อาซาเอ่ยถามขัดความคิด ผมหันไปมองหน้าอาซาเหล่อหลา เขาเลยต้องถามทวนอีกรอบ
“นายคิดยังไงกับ ‘งู’” เขาถามหน้าเครียด ผมเอียงหน้าไปมาสองสามทีก่อนจะตอบด้วยอาการอึนๆที่จู่ๆเขาก็ถาม
“นายรู้อะไรไหม ถ้าถามว่าสิ่งไหนที่ฉันเกลียดมากที่สุดในโลก สิ่งๆนั้นก็คือ ‘งู’” ตอบแบบไม่ต้องคิดไม่ต้องลังเลแม้เพียงเสี้ยววินาทีที่จะตอบว่าอะไรคือสิ่งที่ผมเกลียด และไม่ใช่แค่ผมหรอก คนส่วนมากก็เกลียดงูกันทั้งนั้น
“ทำไม” เสียงอาซาแผ่วเบาลง
“มันน่าขยะแขยง น่าเกลียดน่ากลัว ถ้าโลกนี้ไม่มีงูก็ดีน่ะสิ โลกคงน่าอยู่กว่านี้เยอะ”
“งั้นเหรอ”
“ใช่ แค่พูดถึงยังขนลุกเลย” ผมทำท่าตัวสั่นลูบแขนสองข้าง
“แล้วฉันล่ะ นายรังเกียจฉันหรือเปล่า”
ผมกระพริบตาปริบๆมองอาซางงๆ เริ่มสับสนว่าตอนนี้เราทั้งสองคนกำลังคุยเรื่องเดียวกันอยู่หรือเปล่า จากที่ว่าชอบงูหรือไม่ชอบ กลายเป็นเรื่องของอาซาตั้งแต่เมื่อไหร่
แต่ผมก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เมื่ออีกฝ่ายถาม ผมก็ตอบจากใจจริง
“ฉันจะไปรังเกียจนายได้ยังไง นายไม่ใช่งูสักหน่อย และนายก็นิสัยดีด้วย”
เราไม่เคยรู้จักกัน แต่เขาก็ช่วยหยิบหนังสือ ช่วยทำรายงาน แถมยังพาผมไปเลี้ยงข้าว แม้เจ้าตัวบอกว่าเป็นการตอบแทนก็เถอะ แต่ผมรับความคิดแบบนั้นไม่ได้หรอก มิหนำซ้ำ อาซายังช่วยชีวิตผมเอาไว้ แล้วอย่างนี้จะให้ผมเกลียดอาซาได้ยังไง
“แล้วถ้าฉันใช่ล่ะ” เสียงกระซิบแผ่วเบาปลิวลอยไปตามสายลมก่อนจะหายไป ผมรู้สึกเหมือนตัวเองหูแว่ว เลยเอ่ยถามว่าอาซาได้พูดอะไรหรือเปล่า
“หืม เมื่อกี้นายพูดว่าอะไรนะอาซา”
“เปล่าหรอก ไปเข้าเรียนเถอะ นายไม่ควรโดดเรียนนะ เดี๋ยวฉันไปส่ง”
“อืม”
อาซาลุกขึ้นยืนก่อนจะยื่นมือมาตรงหน้าเพื่อให้ผมจับ แต่ยังไม่ทันได้วางมือ เขาก็ชักมือกลับสอดไว้ในกระเป๋ากางเกง ก่อนจะหมุนกายเดินนำผมออกจากที่นี่
เป็นอะไรของเขานะ ทำไมต้องทำหน้าเศร้าขนาดนั้นด้วย
ผมเดินให้ทันอาซา สอดมือเข้าประสานกับมือใหญ่ที่เย็นเฉียบเอาไว้ แบ่งปันไออุ่นให้กับเขาพร้อมกับรอยยิ้มที่ทำให้เขายิ้มตาม