แต่กลับหายนานนับสัปดาห์ เธอรู้สึกว่าเหมือนเขาหายไปจากชีวิตเธอนานยี่สิบปีดังเช่นอดีต
การกลับมาอีกครั้ง
ไร่กาแฟ จ.เชียงใหม่...
“ติ” เสียงเรียกอย่างปรานีทำให้หนุ่มหล่อรูปร่างสูงสง่าวัยสามสิบปีหันไปมองผู้มีพระคุณที่ชุบเลี้ยงเขามาจนโต
สินธรมองหลานชายด้วยความรักที่เต็มเปี่ยม สายตาครุ่นคิดของผู้มีพระคุณทำให้รติภัทรรับรู้กลายๆ ว่ามันต้องมีเรื่องอันใดเป็นแน่
หลังจากขึ้นเครื่องบินกลับจากสุราษฏร์ธานีเมื่อไม่กี่วันก่อน เขาคอยเฝ้าติดตามคอยดูแลพิรวดีอยู่ห่างๆ และนั่งเครื่องบินลงไปดูเธอด้วยตัวเองอีกหลายครั้ง ที่ยังไม่เข้าไปแสดงตนเพราะอยากรอเวลาที่เขาจะได้กลับไปที่นั่นอีกครั้งในฐานะบุตรชายคนโตของ ภคิน สุรสิทธิ์ ไม่ใช่อดีตลูกเมียเก่าที่ภคินหย่าร้างเนิ่นนานยี่สิบปี
“คุณลุงมีอะไรครับ”
น้ำเสียงห้าวเอ่ยถาม ดวงตาคมดุติดจะเย็นชา ใบหน้าเรียบเฉยชาเป็นนิจมักไม่แสดงความรู้สึก แต่ความอ่อนโยนในน้ำเสียงทำให้รู้ว่ารติภัทรรักและเคารพสินธรเป็นอันมาก
“ถึงเวลาแล้วติ”
น้ำเสียงของผู้เป็นลุงมิได้เคร่งเครียดเท่าที่ควร เขาพอจะเข้าใจคำว่าถึงเวลาของท่านดี แต่เขาไม่เคยต้องการ สินธรมองร่างบึกบึนล่ำสัน ผิวเนื้อสีแทนเข้มเพราะทำงานในสวนในไร่ ความมุ่งมั่นในแววตาและความเป็นผู้นำได้ฉายชัดในตัวหลานชายที่เขาเลี้ยงดูมาให้เข้มแข็งและเป็นผู้นำเหนือคนทั้งหลาย
รติภัทรนึกย้อนไปถึงตอนที่เขาได้เจอบิดาครั้งสุดท้าย ท่านถามเขาว่า เขาอยากได้อะไรมากที่สุด ไม่ว่าอะไร ท่านจะหามาให้ ท่านคงคิดว่าข้าวของเงินทองจะทดแทนทุกสิ่งที่เคยผิดพลาดได้ แต่มันไม่ใช่ สิ่งที่เขาขอบิดาเอาไว้กลับเป็นใครคนหนึ่งที่เขารักและหวงแหนสุดหัวใจ
“ผมขอพิรวดี ช่วยดูแลเธอให้ดีด้วย นี่คือสิ่งที่ผมต้องการจากพ่อ”
ท่านพยักหน้ารับเป็นมั่นเหมาะ รับปากว่าจะดูแลพิรวดีให้เขาตามคำขอเมื่อหลายปีก่อน
“คราวนี้ติคงปฏิเสธไม่ได้”
สินธรเดินไปหยุดยืนริมหน้าต่างเพื่อมองทัศนียภาพด้านนอก เขาอดจะยิ้มกับไร่กาแฟที่มีพื้นที่นับพันไร่ มันเป็นน้ำพักน้ำแรงของหลานชายที่ร่วมพัฒนาที่นี่กับเขาและลูกชายอีกสองคน เขาจึงแบ่งสันปันส่วนพื้นที่หลายร้อยไร่ให้บุตรชายทั้งสองและหลานชายเท่าเทียมเสมอกัน
นอกจากนี้รติภัทรยังสร้างโรงงานผลิตกาแฟแทนการส่งวัตถุดิบเข้าโรงงานอื่นลูกชายของเขาคือสินทรัพย์กับสินไทย สร้างรีสอร์ตช่วยกันบริหารจนมีชื่อเสียง ปีปีหนึ่งมีนักท่องเที่ยวมาพักและดื่มด่ำกับบรรยากาศที่รายล้อมไปด้วยธรรมชาติอย่างเนืองแน่น
“หมายความว่ายังไงครับ”
รติภัทรหัวใจกระตุกวูบอย่างไม่ทราบสาเหตุ เมื่อคืนเขาฝันว่าบิดายืนจับมือมารดามาหาเขา มายืนอยู่ที่ปลายเตียง ก่อนจะสะดุ้งตื่นเหงื่อโซมกาย
“ลุงอยากให้ติลงไปสุราษฏร์” สินธรบอกเสียงหม่น ใบหน้าหมองลงอย่างเห็นได้ชัด
“เขาเป็นอะไรครับ” รติภัทรพยายามบังคับเสียงไม่ให้สั่น
“เขาตายแล้ว ภคินตายแล้ว”
น้ำเสียงของผู้เป็นลุงทำให้รติภัทรตกใจและหมองเศร้า
“เมื่อไหร่” รติภัทรรู้สึกว่าเสียงของเขามันเปล่งออกมาเพียงแค่ในลำคอ
“ไม่กี่ชั่วโมงมานี่เอง คุณธนา ทนายประจำตระกูลเพิ่งโทร.มาบอก ลุงให้แทนจองตั๋วเครื่องบินให้ติแล้วนะ ลงไปอาบน้ำศพเขาซะ ลุงก็จะไปด้วย อย่างไรเสีย เขาก็เคยเป็นเพื่อนรักของลุง ไปอโหสิกรรมให้เขาซะ ทุกอย่างจะได้จบในชาตินี้ ไม่มีเวรมีกรรมต่อกันอีก”
“ลุงให้อภัยเขาได้เหรอครับ”
รติภัทรได้สติหันมามองผู้เป็นลุง แม้ระยะหลังมา สินธรจะยอมให้บิดาได้มาเจอกับเขาและมารดาโดยไม่ขัดขวางเหมือนก่อน ท่านไม่ได้แสดงออกว่าให้อภัยหรือไม่ให้อภัย
เขาจึงคิดเอาว่าท่านคลายจากความโกรธลงไปมาก แต่คงไม่ทั้งหมด ตอนมารดาเขาเสียชีวิต ลุงของเขาก็แจ้งข่าวไปบอกบิดาที่สุราษฏร์ธานีให้มาร่วมงาน คงอยากให้บิดาของเขามากล่าวลามารดาเป็นครั้งสุดท้าย เพราะใบหน้าของผู้เป็นลุงสงบเรียบเฉยเมื่อสนทนากับบิดาของเขาเพียงไม่กี่คำเท่านั้น
“เขาตายแล้วติ ยังไงเขาก็เป็นพ่อแท้ๆ ของติ”
สินธรพูดอย่างปลงๆ เขาเองเป็นคนช่วยเหลือภคินให้เจอกับน้องสาวและหลานชายอีกครั้ง แต่ทุกอย่างมันคงกลับไปเป็นเหมือนก่อนไม่ได้ เมื่อสุวดียืนยันที่จะไม่กลับไปหาภคินอีก
รติภัทรนิ่งเงียบ ไม่ตอบรับสินธรแม้แต่คำเดียว แต่หัวใจของเขาดูจะอ่อนแรงลงอย่างเห็นได้ชัด ในอดีต เขาเคยโกรธและน้อยใจบิดาที่ท่านหยามมารดาโดยการเอาเมียน้อยเข้ามาอยู่ในบ้าน ยังไม่พอ ท่านยังหย่าขาดจากมารดา ขับไสไล่ส่งอย่างไม่ไยดี หลงเมียน้อยจนโงหัวไม่ขึ้น
“ความจริงถ้านึกย้อนไปถึงอดีต เขาก็มาหาติหลายครั้ง มาง้อสุก็หลายครั้ง” สินธรยังคงไม่ละสายตาจากไร่กาแฟขณะพูดเนิบนาบอย่างนึกถึงอดีต
ตอนที่สุวดีน้องสาวคนเดียวเซซัดกลับมาพร้อมลูกชายวัยสิบขวบ เขายอมรับว่าโกรธมากถึงกับตัดเป็นตัดตายจะไม่ไปเผาผีภคินซึ่งเป็นเพื่อนรักที่เขาฝากดูแลน้องสาวคนเดียวเอาไว้ แต่หลังจากนั้น ภคินก็มาขอโทษและมาขอคืนดี เขาไล่ยิงก็หลายครั้ง ให้คนจับโยนออกไปก็นับครั้งไม่ถ้วน ส่วนสุวดี น้องสาวของเขาก็ใจแข็ง เธอบอกว่าภคินขอหย่าขาด แถมยังจดทะเบียนกับอนงค์ในวันนั้นด้วยซ้ำ เธอคงทนกลับไปเป็นเมียน้อยไม่ได้อีก แม้ภคินบอกว่าจะหย่าขาดจากอนงค์ก็ตามที เขาเองก็โกรธที่เห็นเพื่อนรักไม่มั่นคง คิดว่าจะหย่าก็หย่า จะจดก็จด ตัดสินใจโดยง่ายอย่างคนเห็นแก่ตัว แล้วผู้หญิงอีกคนจะคิดเช่นไร
หลังจากนั้น ภคินก็ล่าถอยไปเองเพราะเขายื่นคำขาดว่าถ้ายังอยากเห็นหน้าสุวดีกับรติภัทรให้เลิกมาก่อกวนเสียที ไม่เช่นนั้น เขาจะเป็นคนพาทั้งสองไปอยู่ที่ที่ไม่มีใครหาเจอ ภคินตกใจและคอตกยอมกลับไปแต่โดยแต่ แต่ทุกเดือนก็จะส่งเงินมาให้ แต่สุวดีโอนกลับไปทุกครั้ง จนภคินเคยเอ่ยปากว่าจะยกทรัพย์สมบัติให้รติภัทร แต่สองแม่ลูกยืนยันว่าจะไม่รับ ภคินจึงอ่อนใจเงียบหายไป แต่ใครจะรู้ว่าจริงๆ เขาคอยถามข่าวคราวจากเพื่อนรักอย่างสินธรเสมอโดยที่ไม่ให้สองแม่ลูกรู้
จนในที่สุด เมื่อรติภัทรโตขึ้น ภคินจึงได้มีโอกาสได้พบปะพูดคุยกับลูกชาย แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ และน้อยครั้งนัก แต่ภคินเองก็รู้สึกดีใจในทุกครั้งอย่างไม่ปิดบัง แตกต่างจากรติภัทรที่เฉยชาไม่ยินดียินร้ายในการพบเจอกับบิดาแม้แต่ครั้งเดียว ครั้งแรกที่เจอภคิน เขาก็อยู่ด้วย รติภัทรเอ่ยปากเพียงเรื่องพิรวดีเท่านั้น และภคินก็รีบรับปากเพื่อเอาใจบุตรชาย คงรู้สึกผิดจึงอยากทดแทนทุกสิ่งทุกอย่างตามแต่รติภัทรเรียกร้อง แต่รติภัทรกลับไม่ได้เรียกร้องอะไรจากบิดาเลยนอกจากนั้น
สินธรรู้ว่าหลานชายมีปมในใจ ดังนั้นในวัยเด็กจนถึงปัจจุบัน อะไรก็ตามที่เป็นของรติภัทร ใครก็แตะไม่ได้ แม้แต่พี่ชายสองคนซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้อง ทุกอย่าง หากคนหน้านิ่งเย็นชาไม่เอ่ยอนุญาต ใครก็ไม่มีสิทธิ์เอาอะไรไปได้ทั้งนั้น รติภัทรเป็นคนหวงของมาตั้งแต่เด็ก หลังจากบิดาหย่าขาดจากมารดา ลึกๆ ในใจเขารู้ว่าหลานชายคงกลัวการพลัดพรากจากการถูกแย่งของรัก เหมือนมารดาที่ถูกแย่งบิดาไปต่อหน้าต่อตา
“ผมไม่เคยขอให้เขามาง้อ ถึงไม่มีเขา ผมกับแม่ก็อยู่ได้ เงินเขา ผมก็ไม่เคยขอสักแดงเดียว หลังจากที่เขาไล่แม่ออกจากบ้านเหมือนหมูเหมือนหมา”
รติภัทรพูดเสียงราบเรียบ แต่กระแสเสียงบ่งบอกถึงอารมณ์มากมายที่อัดแน่นในอก