ตอนที่ 7

1418 คำ
บทที่ 7 บ้านไม้เก่า ๆ หลังหนึ่งในสลัมแออัด หลังคาที่คุ้มแดดคุ้มฝนแทบจะพรุนไปด้วยร่องรอยแห่งการเวลา ฝาผนังบ้านที่ทำด้วยไม้ตอกแปะ ๆ เอาไว้ง่าย ๆ ก็ผุพังไปเกือบหมด จากสภาพที่เห็นแสดงได้ถึงความขาดการเอาใจใส่จากเจ้าของบ้าน ส่วนภายในบ้านเองก็ปราศจากทรัพย์สินมีค่าอันใด นอกจากที่นอน หมอนมุ้งเท่านั้นเอง หญิงวัยกลางคนซึ่งได้ชื่อว่าเจ้าของบ้าน ตอนนี้หล่อนนั่งกำลังจิบสุรากลั่น 40 ดีกรีตรงหน้าอย่างเอาเป็นเอาตาย อุทุมพรคือชื่อของหล่อนและหล่อนก็คือมารดาของบทมากรนั้นเอง “นังลูกไม่รักดี หายหัวไปทั้งคืนยังไม่กลับบ้านมาอีก ปล่อยให้แม่ของมันต้องถูกเขาไล่ออกมาจากโรงพยาบาล กลับมาก่อนเถอะจะตีให้ตายเลย” น้ำเสียงอ้อแอ้ที่หลุดรอดออกมาจากริมฝีปากสีเข้ม ดำคล้ำ ของอุทุมพร แสดงสภาพอารมณ์ของหล่อนได้เป็นอย่างดี แก้วแล้วแก้วเล่าสาดพรวดลงคอไปอย่างเคยชิน ความทรงจำในอดีตย้อนกลับเข้ามาในสมองเป็นฉาก ๆ “ผมรักคุณพร ผมรักคุณ” คำพูดของชายคนรักดังก้องอยู่ในหัว หล่อนส่ายศีรษะไปมาอย่างพยายามจะขับไล่คำพูดพวกนั้นให้ออกไปจากความคิด แต่ยิ่งพยายามมันก็เหมือนจะจมดิ่งเข้าไปทุกที “ฉันไม่มีวันเชื่อน้ำคำคุณอีกแล้ว ฉันจะทรมานลูกของคุณให้สาสมกับความเลวของคุณ” ความเคียดแค้นที่มีต่อเขา ทำให้อุทุมพรรังเกียจเดียดฉันท์บทมากรอย่างกับกิ้งกือไส้เดือน “มันจะต้องแหลกเหลวคามือของฉัน” เสียงหัวเราะที่เต็มไปด้วยความคั่งแค้นดังก้องไปทั่ว บทมากรที่กำลังจะเปิดประตูบ้านเข้าไปจึงได้แต่ยืนอึ้ง หล่อนรับรู้มาตลอดว่ามารดาแค้นบิดาของหล่อน แต่หล่อนไม่เข้าใจว่าทำไม มารดาถึงต้องมาลงที่หล่อนด้วย ทำไมถึงต้องมาทำร้ายหล่อนเหมือนกับว่าหล่อนไม่ใช่ลูกอย่างนั้นด้วย ประตูถูกเปิดออกช้า ๆ ด้วยมือบางของบทมากร ริมฝีปากอิ่มของหญิงสาวเม้นเข้าหากันแน่น เมื่อหล่อนได้ประสานสายตากับมารดาที่จ้องมองหล่อนมาอย่างกับจะฆ่ากันให้ตายไปข้างหนึ่ง “แม่คะ คือหนู..” ยังไม่ทันจะแก้ตัวอะไรเลย แก้วเหล้าในมือของมารดาก็ลอยเฉียดหน้าหล่อนไปนิดเดียว “ไปไหนมานังลูกชั่ว แกรู้ไหมว่าไอ้โรงพยาบาลมันไล่ฉันออกมา เพราะไม่มีเงินไปจ่ายมัน แกไปมุดหัวอยู่ที่ไหน ไปนอนกับใครมา นังสารเลว” คำพูดที่ออกมาจากปากของมารดาที่เมาได้ที่แล้วของหล่อน ทำให้หญิงสาวถึงกับกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ บทมากรพยายามกลืนก้อนสะอื้นลงไปในอก เพราะหล่อนรู้ถึงยังไงแม่ของหล่อนก็คงไม่สงสารหล่อนหรอก แค่ความห่วงใยสักนิดแม่ก็ไม่เคยมีให้ “อย่ามาทำเป็นสำออย ไป๊! ไปเลยนะ ไปหาเงินมาให้ฉัน ไปหาเงินมา ไปซิ” บทมากรวิ่งออกจากบ้านแทบไม่ทัน เมื่อสิ่งของใกล้มือของมารดาลอยเคว้งเข้ามาหาหล่อนไม่หยุด หญิงสาวยกมือขึ้นป้ายน้ำตาที่ไหลออกมาไม่ขาดสายอย่างเสียใจ ไม่เคยมีวันไหนเลยที่แม่ของหล่อนจะรักหล่อน ไม่มีเคยเลยจริง ๆ อากาศยามบ่ายแก่ ๆ ทอแสงร้อนระอุลงมาแตะต้องพื้นผิวโลก ร่างบางในชุดเสื้อยืดสีฟ้าเก่า ๆ กับกางเกงยีนเน่า ๆ กำลังเดินใจลอยไปตามท้องถนน รถราที่วิ่งผ่านไปมาไม่สามารถเรียกให้สายตาที่โศกเศร้าคู่นั้นสนใจได้เลย ความเสียใจความน้อยใจสาดซัดเข้าใส่ไปทั่วร่าง หญิงสาวหยุดเดิน ยืนนิ่ง ยกมือขึ้นวางบนอกข้างซ้ายที่มีหัวใจของตัวเองซ่อนอยู่ภายในนั้น ก่อนจะเปล่งคำพูดประจำตัวออกมาเบา ๆ “กอบัว สู้ ๆ” บทมากรปลอบใจตัวเองด้วยวิธีนี้เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ แต่มันก็ได้ผลทุกครั้งเพราะยามใดท้อ แค่ทำอย่างนี้ เอามือวางไว้บนหัวใจ แค่นั้นหล่อนก็รู้สึกมีแรงขึ้นมาแล้ว เสียงหัวใจเต้น ทำให้หล่อนรู้ว่ายังมีสิ่งที่เห็นว่าหล่อนสำคัญอยู่บนโลกที่โหดร้ายใบนี้ “ช่วยด้วย…!” เสียงร้องขอความช่วยเหลือจากสตรีคนหนึ่งดังขึ้นด้านหลัง บทมากรตื่นจากความเจ็บช้ำ หล่อนรีบหันหลังกลับไปมองยังต้นเสียง ภาพที่สะท้อนเข้ามาในดวงตาคู่สวยก็คือ ภาพของบุรุษผอมแห้งคนหนึ่งกำลังวิ่งมาทางหล่อน และในมือของผู้ชายคนนั้นก็มีกระเป๋าถือใบหนึ่งอยู่ด้วย ซึ่งถ้าหล่อนเดาไม่ผิดกระเป๋าใบนั้นน่าจะเป็นของผู้หญิงอีกคนที่วิ่งตามหลังเจ้าขโมยคนนั้นมา ขโมย!!! เมื่อคำนี้ปรากฏเด่นชัดขึ้นในสมอง บทมากรก็ไม่สามารถอยู่เฉยได้อีกต่อไป หญิงสาวเงยหน้ามองเจ้าหัวขโมยนั้นที่วิ่งเข้ามาใกล้หล่อนเรื่อย ๆ พลางสมองก็คิดหาหนทางที่จะหยุดยั้งพฤติกรรมชั่วร้ายของมัน เพราะถ้าจะให้หล่อนไปต่อยไปตี หล่อนคงสู้มันไม่ได้ และหล่อนก็ไม่ถนัดที่จะใช้กำลังด้วย.. แต่มีวิธีเดียวเท่านั้นที่จะช่วยหล่อนได้ก็คือ หาเครื่องทุ่นแรงไงล่ะ รอยยิ้มผุดขึ้นมาที่เรียวปากอิ่ม เมื่อสายตาของหล่อนแลเห็นท่อนไม้ที่วางอยู่ไม่ไกลจากที่หล่อนยืนนัก “เหมือนนางฟ้าจะรู้นะว่าเรากำลังต้องการ” บทมากรอมยิ้ม พึมพำเบา ๆ กับตัวเอง ก่อนจะก้มลงหยิบมันขึ้นมาไว้ในมือ หล่อนกระจับมันแน่น รอจังหวะที่เหยื่อจะเข้ามากินเบ็ด และไม่นานร่างของเจ้าโจรห้าร้อยนั้นก็กองแน่นิ่งอยู่บนฟุตบาท หลังจากที่บทมากรระดมทุบไปหลายที “ขอบใจหนูมากนะ ถ้าไม่ได้หนู น้าคงแย่” สาวิตรีกล่าวขอบคุณเด็กสาวตรงหน้าอย่างซึ้งในน้ำใจ เพราะถ้าไม่ได้เด็กคนนี้หล่อนก็ไม่รู้ว่าของมีค่าในกระเป๋าของหล่อนจะได้คืนมาเมื่อไหร่ คิดว่าก็น่าโมโหนักทำไมเจ้านักสืบบ้านั้น มันบอกมาได้ยังไงว่าหลานของหล่อนอยู่ในที่ซอมซ่ออย่างนี้ ป่านนี้ตายไปหรือยังก็ไม่รู้ บทมากรจ้องมองสตรีวัยกลางคนตรงหน้าอย่างพินิจ ดูจากการแต่งตัวแล้ว หล่อนไม่น่าจะใช่คนในสลัมแห่งนี้ คงจะเป็นคนที่อื่นหลงมา หรือไม่ก็มีธุระแถวนี้ “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ช่วย ๆ กัน ถ้าไม่มีอะไรแล้วหนูขอตัวนะคะ” พูดจบก็บทมากรก็หันหลังจะเดินจากไป แต่เสียงของสตรีที่หล่อนช่วยเหลือไว้ดังขึ้นเสียงก่อน ทำให้เท้าบางชะงักงัน ต้องหันกลับมาอีกครั้ง “หนูจะรีบไปไหนจ๊ะ จะไปทำงานเหรอ” บทมากรพยักหน้ารับ ใช่แล้วหล่อนต้องรีบไปทำงาน ต้องรีบไปหาเงินมาให้มารดาไว้รักษาตัวและก็ไว้เป็นค่าสุราที่แม่ของหล่อนกินเป็นประจำ ถึงแม้หล่อนจะห้ามเท่าไหร่แม่ก็ไม่เคยฟัง แถมยังมาทุบตีหล่อนทุกครั้งที่หล่อนพูดถึงเรื่องนี้ “ค่ะ หนูต้องไปทำงานแล้ว” สาวิตรีมองใบหน้าขาวใสของเด็กสาวตรงหน้าอย่างพิจารณา เด็กคนนี้ผิวพรรณดีมาก น่าตาก็สะสวยน่ารัก ถึงแม้จะแต่งตัวมอซอไปสักหน่อยก็เถอะ และที่สำคัญ... เหมือน... เหมือนพี่กลางเหลือเกิน! เมื่อความคิดหนึ่งแล่นเข้ามาในสมอง รอยยิ้มแห่งความดีใจก็ฉาบไปทั่วไปหน้า สาวิตรีกรีดร้องด้วยความลิงโลดใจอยู่ในลำคอ หล่อนคิดได้แล้ว คิดออกแล้ว ทำไม?! ทำไมหล่อนจะต้องไปหาลูกพี่กลางให้เหนื่อยยากอีก ในเมื่อหล่อนไม่มีทางรู้เลยว่า หลานแท้จริงของหล่อนจะยังไม่ชีวิตอยู่หรือเปล่า นี่ไง...หลานของหล่อนยืนอยู่ตรงหน้าแล้ว หลานของหล่อน...ถึงแม้จะเป็นหลานจอมปลอมก็เถอะ แต่ถ้าทำให้คุณแม่ของหล่อนกลับมารักหล่อนเช่นเดิม หล่อนก็ยอม... “ฉันมีงานให้หนูทำ...”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม