บทที่ 6
แสงแดดยามเช้าทอแสงสีทองแต้มขอบฟ้า ร่างบางของบทมากรค่อย ๆ ขยับตัวลุกขึ้นอย่างอ่อนล้า สองแขนกลมกลึงยกขึ้นเหนือศีรษะ ก่อนจะบิดไปมาเพื่อขับไล่ความปวดเมื่อย และเมื่อสมองเริ่มทำงานเต็มที่แล้ว ดวงตากลมโตของหล่อนก็ต้องเบิกกว้าง เมื่อนึกได้ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืน หญิงสาวหน้าแดง รีบก้มมองสำรวจตัวเอง และก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เมื่อหล่อนยังปกติดีทุกอย่าง
หญิงสาวก้าวลงจากเตียงช้า ๆ กวาดสายตาไปทั่วห้องนอนสีขาวกว้างขวางสะอาดสะอ้าน ข้าวของเครื่องใช้ถูกจัดเก็บไว้เป็นระเบียบเรียบร้อย ซึ่งแสดงได้ถึงนิสัยของเจ้าของห้องได้เป็นอย่างดี บทมากรสำรวจไปจนทั่วห้องแล้วก็ยังไม่เห็นเขาแม้แต่เงา ไม่เห็นเขา... ก็แสดงว่าเขาไม่อยู่นะซิ เมื่อเขาไม่อยู่ แล้วหล่อนจะอยู่ทำไมล่ะ หล่อนต้องหนีซิ หญิงสาวคิดด้วยความลิงโลดใจ
บทมากรรีบวิ่งไปที่ประตูห้องด้านนอก ค่อย ๆ เปิดมันออกอย่างเบามือ หญิงสาวยืนหน้าออกไปมองซ้ายมองขวาเมื่อไม่เจอใคร หล่อนรีบวิ่งออกไปไม่คิดชีวิต เป็นเวลาเดียวกันที่ติญญานนท์กำลังขึ้นลิฟท์มาพอดี หลังไว ๆ ของผู้หญิงคนนั้นเขาจำได้ดี ต่อให้หล่อนกลายเป็นเถ้าธุลีเขาก็จำได้ ขนาดในงานแต่งของเขาหล่อนปลอมตัวเป็นผู้หญิงท้องเข้าไปเขายังจำหล่อนได้เลย
“หยุดนะ ฉันบอกให้หยุด”
ติญญานนท์รีบวิ่งตามหล่อนไป หญิงสาวโกยอ้าวไม่คิดชีวิต หล่อนวิ่งลงไปตามบันไดหนีไฟ ขั้นแล้วขั้นเล่า หล่อนต้องไม่ยอมแพ้หญิงสาวคิดอย่างนั้น ถึงแม้ว่าปีศาจร้ายอย่างเขาจะตามหล่อนมาติด ๆ แต่ในที่สุดหล่อนก็อาศัยความสามารถเฉพาะตัวหลบหนีเขาไปจนได้ ซึ่งจากเหตุการณ์ครั้งนี้ก็ทำให้ติญญานนท์เคียดแค้นบทมากรขึ้นเป็นทวีคูณ...
ณ คฤหาสน์ อิ่มรัก สตรีต่างวัยสองคนกำลังนั่งสนทนากันอย่างเคร่งเครียด คนหนึ่งก็คือประมุขของบ้าน คุณหญิงศรีสุดา วรารงษ์รักษ์ คุณย่าของติญญานนท์ ส่วนอีกคนก็คือบุตรสาวคนสุดท้องของคุณหญิงศรีสุดานั่นเอง หล่อนมีนามว่า สาวิตรี หล่อนกลับเข้ามาอยู่ในคฤหาสน์แห่งนี้ได้ไม่นาน เพราะหลังจากที่หนีตามคนรักไป คุณหญิงศรีสุดาก็ตัดหล่อนออกจากกองมรดก แต่เมื่อสามีหล่อนเสียชีวิตไป สาวิตรีจึงบากหน้าขอกลับมาอยู่ในบ้านอีกครั้ง แต่คุณแม่ของหล่อนใจแข็งดั่งหิน หล่อนจึงได้แค่อยู่เรือนหลังเล็กในบริเวณคฤหาสน์เท่านั้น และได้เงินเดือนพอประทังชีวิตไปวัน ๆ ไม่มีแก่นสารที่มั่นคง
“แกมีธุระอะไรกับฉันหรือยายเล็ก” คำพูดหมางเมินของมารดาที่หล่อนได้ยินทุกครั้งที่เจอหน้ากัน มันทำให้หล่อนอดรู้สึกขุ่นเคืองขึ้นมาไม่ได้
“หนูแค่มีเรื่องอยากจะมาเรียนคุณแม่เท่านั้นเองค่ะ เรื่องลูกของพี่กลาง หนูกำลังตามหาอยู่ ตอนนี้ก็เริ่มได้เบาะแสบางแล้ว คิดว่าอีกไม่นานหนูคงตามหาหลานเจอ”
สาวิตรีเห็นรอยยิ้มแห่งความดีใจฉาบไปทั่วดวงหน้าของมารดา ความปิติยินดีปรากฏเด่นชัดในดวงตาที่ไม่เคยมองเห็นหล่อนคู่นั้น
ความรู้สึกน้อยใจ โกรธแค้นปะทุขึ้นเต็มอก หล่อนเป็นลูกสาวแท้ ๆ ทำไมแม่ของหล่อนถึงไม่เคยดูดำดูดี ไม่เคยแสดงอาการยินดีอย่างนี้กับหล่อน ไม่ซิ... เมื่อก่อนตอนที่หล่อนยังไม่หนีไปนะใช่ แม่รักหล่อน แต่พอหล่อนซมซานกลับมา แม่หล่อนไม่เคยที่จะชายตามองหล่อนสักนิด นี่ถ้าไม่ติดว่าจะให้หล่อนช่วยตามหาลูกของพี่ชายล่ะก็ แม่ของหล่อนคงไม่ทนมองหน้า ทนพูดคุยกับหล่อนหรอก
“หลานย่า ขอให้หลานกลับมาหาย่าโดยเร็วด้วยเถอะ” หญิงชราที่ผมเป็นสีดอกเลาแล้วภาวนาอยู่ในใจ
“ยายเล็ก ถ้าแกพาหลานฉันกลับมาได้ ฉันจะยกมรดกในส่วนของแก คืนให้”
คุณหญิงศรีสุดา หันไปพูดกับบุตรสาวคนเล็กด้วยน้ำเสียงดีใจ ตอนนี้หล่อนลืมไปสนิทเลยว่า บุตรสาวคนนี้เลยสร้างความอับอายอะไรไว้ให้หล่อนบ้าง เพราะตอนนี้หล่อนคิดถึงแต่หลานสาวของหล่อนเท่านั้น ลูกของศิรวัทรบุตรชายคนรอง คนที่หล่อนฆ่าเขาด้วยมือของหล่อนเอง
“แน่นอนค่ะคุณแม่ แล้วคุณแม่อย่าลืมสัญญาที่ให้เล็กก็แล้วกัน”
สาวิตรีย้ำในคำมั่นของมารดาที่ให้ไว้กับหล่อน ก่อนที่จะขอตัวกลับไปเรือนหลังเล็กของตัว แต่สักวันหล่อนจะต้องได้ครอบครองสิ่งที่มันควรจะเป็นของหล่อนให้ได้ สาวิตรีหมายมาดอยู่ในใจ
บทมากรวิ่งกระหืดกระหอบมาหยุดที่หน้าร้านของเฮียเม้ง นี่คือที่เดียวที่หล่อนคิดว่าจะพึ่งได้ เท้าบางเปลือยเปล่าไร้รองเท้าห่อหุ้มแดงช้ำไปหมด อากาศร้อนที่สะสมอยู่ในพื้นถนนช่างเหมือนกับกองไฟดี ๆ นี้เอง ยามที่เท้าเปล่าของหล่อนสัมผัสลงไป
หญิงสาวชะเง้ออยู่หน้าร้านที่มีลูกค้าแน่นเช่นทุกวัน ถ้าหล่อนเดินเข้าไปในสภาพนี้มีหวังคงแตกตื่นกับหมด เศรษฐีพวกนั้นคงคิดว่าหล่อนเป็นขอทานแน่ ๆ บทมากรถอนหายใจออกมาอย่างปลงตกในชะตาชีวิตของตัวเอง ก่อนจะตัดสินใจหันหลังเดินจากไป
หล่อนจะทำยังไงกับชีวิตดีนะ ยิ่งคิดบทมากรก็ยิ่งกลุ้ม เมื่อวานหล่อนก็ไม่ได้ไปรับมารดาออกจากโรงพยาบาล ไม่รู้ว่าป่านนี้แม่ของหล่อนจะเป็นอย่างไรบ้าง ถูกเขาไล่ออกมาจากโรงพยาบาลแล้วหรือยังก็ไม่รู้ แต่จะให้หล่อนทำยังไงได้ล่ะ ก็ในเมื่อหล่อนถูกปีศาจร้ายอย่างติญญานนท์จับตัวไปนี่ แต่ก็ยังดีนะ ที่หล่อนสามารถหนีออกมาได้ เพราะถ้าหนีไม่ได้ หล่อนคงตายคามือเขาแน่