พอเข้าสู่อาณาจักรของพวกคลาส S นิมมานก็รู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องเผลอขยับเข้าไปเบียดไตรวิชญ์มากขึ้นโดยไม่รู้ตัว อาจเพราะสัญชาตญาณของเขาบอกว่าพื้นที่นี้ไม่ใช่ว่าใครก็โผล่พรวดเข้ามาได้ หรือต่อให้ได้รับอนุญาตแล้วก็ยังรู้สึกเหมือนเป็นคนนอกที่ไม่ควรเหยียบเข้าไป
มันคือเขตหวงห้ามของพวกมีอิทธิพลในมหาวิทยาลัยแห่งนี้ เขาเป็นใครกันถึงกล้าเสนอหน้าเดินเข้าไป
หมับ
“มึงนี่ดื้อกับกูตลอด แต่ดันมาปอดแหกกับคนอื่น จำใส่หัวไว้ว่ากูน่ากลัวที่สุดในโลกนี้แล้ว คนที่มึงควรกลัวคือกูไม่ใช่พวกมัน” ไตรวิชญ์ที่พอรู้อาการของคนข้างกายก็เปลี่ยนมากอดเอวบางไว้พร้อมกับดึงตัวนิมมานให้ขยับเข้ามาใกล้ ๆ
ใบหน้าอ่อนใสงดงามจับตาของโอเมก้าน้อยย่อมเรียกสายตาของพวกบริกรให้หันกลับมามอง ถึงจะบอกว่าพื้นที่นี้ไม่อนุญาตให้คนนอกเข้าออก แต่ส่วนของชั้นล่างสุดคือคลับที่เปิดให้พวกเขาได้มาสนุกสังสรรค์และผ่อนคลายกันตามใจ จึงมีพวกพนักงานคอยดูแลอำนวยความสะดวก เฟอร์นิเจอร์ส่วนใหญ่เน้นสีดำ แสงไฟด้านบนปรับโทนสีส้มอบอุ่น เคาน์เตอร์บาร์มีความมนโค้งคลาสสิกอยู่ทางฝั่งขวายาวถึงสามเมตร ด้านหลังเป็นชั้นกระจกมีทั้งไวน์และเหล้านอกเกรดเอ
นิมมานเลียริมฝีปากที่แห้งผากมองดูบรรยากาศภายในคลับชั้นล่างที่ราวกับเดินหลงเข้ามาในโรงแรมหรูระดับเจ็ดดาว เดินแต่ละทีกลัวจะทำให้พื้นเป็นรอย แค่หายใจก็กลัวจะหอบเอามลพิษเข้ามาข้างใน แต่เพราะถูกคนพี่ฝึกฝนมาอย่างดี เทรนนิ่งเองกับมือ ถึงจะตื่นเต้นหวั่นใจยังไงก็เก็บ
สีหน้ามิดชิด มีบ้างที่เผลอกวาดตามองไปรอบๆ อย่างสนใจ
ว่าคฤหาสน์ของไตรวิชญ์ทำให้เขาตกตะลึงจนตาค้างได้แล้ว ที่นี่ทำเอาอยากจะร้องว้าวออกมาเลย มันดูอลังการ หรูหรา และทันสมัยมาก เหมือนอยู่คนละโลกกับเขา ให้เปรียบแบบมองเห็นภาพหน่อย เขาก็เหมือนหนูตัวเล็กๆ ที่กำลังลักลอบเข้าไปในถ้ำราชสีห์ ถ้าเดินไปลึกกว่านี้จะไม่มีโอกาสให้ถอยหลังกลับอีกแล้ว
ยิ่งเข้าใกล้ก็ยิ่งรับรู้ถึงแรงกดดันที่ส่งตรงมา แม้ไม่เห็นตัวแต่สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของอัลฟ่าคนอื่นซึ่งมีมากกว่าสามคน เหมือนกำลังถูกจับจ้องจากที่ไหนสักที่ หลบอยู่ในเงามืดและส่งสัญญาณเตือนบางอย่างให้รู้ตัวว่าเขาเป็นคนนอกที่ควรรีบไสหัวออกไป
ไตรวิชญ์สัมผัสได้ถึงความไม่เป็นมิตร กลิ่นอายคุกคามกำลังพุ่งตรงมายังพวกเขา หรือหากจะพูดให้ถูกคงเป็นคนตัวเล็กที่เดินอยู่ข้างกายเขามากกว่าที่ถูกเพ่งเล็ง
“ไม่อยากเข้าไปแล้ว กลับเถอะ”
“กูอยู่ตรงนี้ข้าง ๆ มึง คิดว่ากูจะปล่อยให้ใครมาทำอะไรมึงก็ได้รึไง ถ้าวันนี้มึงขี้กขลาดถอยหลังกลับเพราะความกลัว วันหน้ามึงจะเป็นแค่หนูสกปรกตัวหนึ่งให้พวกมันเล่นงาน มึงจะตายตั้งแต่ยังไม่ทันสู้”
“แล้วทำไมนิมต้องสู้”
“เพราะกูต้องการให้มึงสู้ไง ไอ้เด็กมะลิ อย่าถามมาก อยู่เฉย ๆ กูสอนยังไงก็ทำตาม ดื้อมากเดี๋ยวจับฟาดให้อายคน”
“น่ากลัวตายแหละ”
“ขนาดกูมึงยังไม่กลัว แล้วจะเสือกกลัวคนอื่นทำไม”
“ก็เฮีย…” นิมมานเงยหน้าสบตากับไตรวิชญซึ่งจ้องมองอย่างรอคอยคำตอบ สายตาคู่นั้นคมกริบเหมือนใบมีดที่พร้อมแล่เนื้อเฉือดหนังคนอื่น แต่กลับไม่ได้น่ากลัวมากมายอะไรในสายตาเขา
สายตาร้อนแรงที่มักจ้องเขม็งราวกับจะกลืนกินเข้าไปทั้งตัว จะข่มขวัญให้เขากลัวได้ยังไง
คำว่า 'จ้องจะกิน' ไม่ได้หลุดมาจากกลีบปากก็ถูกเจ้าตัวกลืนลงท้องไปจนหมดแล้วสั่นหน้ารัว ๆ เหมือนไม่มีอะไร แต่คนพี่มีหรือจะไม่ทันเห็นแววตาวูบไหวขัดเขินของคนน้อง ในหัวคงคิดอะไรลามก ๆ อีกล่ะสิ
“กูไม่ฆ่ามึงหรอก แต่กูจะแดกมึง”
ทันทีที่พูดจบ จิตสังหารของไตรวิชญ์ก็แผ่ออกจากร่างพร้อมกับกลิ่นอายเย็นยะเยือกที่ทวีความรุนแรงขึ้น เพื่อแสดงถึงพลังอำนาจของอัลฟ่าสายเลือดผู้นำ ทำให้นิมมานสะดุ้งเตรียมจะผละหนีด้วยความกลัว แต่กลับถูกรัดเอวแน่นหนาจนกระดุกกระดิกตัวไปไหนไม่ได้ ทำได้แค่ตัวสั่นเทาอยู่ในวงแขนแกร่งสูดหายใจเข้าออกลึกๆ พยายามตั้งสติไม่ให้แตกกระเจิง
“ออกมาได้แล้ว จะหดหัวอยู่ในกระดองกันอีกนานไหม?” น้ำเสียงของไตรวิชญ์เจือกระแสข่มขู่ รังสีอำมหิตแผ่ปกคลุมโดยรอบบีบคั้นให้พวกที่แอบซุ่มอยู่ยังมุมต่าง ๆ ค่อย ๆ ทยอยโผล่หัวออกมา
ทว่า…ในกลุ่มคลาส S ที่รวมตัวกันอยู่ตรงนี้ หากนับรวมไตรวิชญ์เข้าไปด้วยก็อยู่กันแค่ครึ่งเดียวจากจำนวนทั้งหมดสิบคน หากแต่สี่คนที่ปรากฏออกมา แม้พูดได้ไม่เต็มปากว่าเป็นเพื่อนตายของเขา แต่ก็เป็นกลุ่มคนที่ยืนอยู่ข้างเดียวกันและไม่คิดทรยศหักหลังไปเข้าพวกกับศัตรู
“ไม่เห็นต้องใช้กลิ่นมาข่มขู่กันเลย” ทิเบตยอมก้าวออกมาเป็นคนแรก เส้นผมสีชมพูรับกับใบหน้าขาวจัดทำให้เจ้าตัวดูดีไร้ที่ติ บุคลิกค่อนไปทางหนุ่มเจ้าสำราญชอบโปรยเสน่ห์ ผู้มีแววตาขี้เล่นและลักยิ้มน่ามอง
ไดอาน่าซึ่งเป็นหญิงสาวแสนสวยสุดเซ็กซี่คนเดียวของกลุ่มก็ก้าวตามมา อวดหุ่นนางแบบสูงเพรียวสมส่วนกับท่อนขาเรียวยาวที่ใครเห็นเป็นต้องกลืนน้ำลาย
“เมียนายเป็นโอเมก้า” เสียงใสกังวานของใครคนหนึ่งช่างไพเราะซะจนนิมมานยังเผลอเคลิ้มตาม
แต่พอหันไปมองทางต้นเสียงกลับต้องตกใจเมื่อเห็นสายตาไม่เป็นมิตรของอีกฝ่ายพุ่งตรงมายังเขาราวกับมีดที่พุ่งฉิวมาปักตรงกลางหน้าผาก ก่อนจะต้องประหลาดเพราะกลิ่นหอมหวานที่แตกต่างจากพวกอัลฟ่า กลิ่นเหมือนโอเมก้าอย่างเขา
“อารัญ เลิกทำหน้าข่มขู่เมียไอ้ไตรได้แล้ว” อธิปก้าวตามหลังมาพลางพูดปรามโอเมก้าจอมหยิ่งที่ยังคงขู่ฟ่อใส่คนนอก ซึ่งได้รับอภิสิทธิ์พิเศษในการย่างกรายเข้ามาในอาณาเขตของพวกเขา
ในเมื่อเป็นเมียของไตรวิชญ์ และมีการเซ็นเอกสารรับรองฐานะว่าที่ภรรยาในอนาคตจากพ่อแม่ของไตรวิชญ์อีก พวกเขาก็ไม่สามารถขัดขวางหรือคัดค้านไม่เห็นด้วยได้
“ชื่อนิมมานสินะ เคยเห็นรูปถ่ายอยู่ ตัวจริงน่ารักกว่าในรูปเยอะ”
“หน้าตาก็งั้นๆ แหละ” อารัญเบะปากพลางเชิดหน้าขึ้น ก่อนจะย้ายตัวเองไปอยู่ที่อื่นที่ไม่ไช่ตรงนี้ ฐานะของเขาไม่ได้ด้อยไปกว่าคนอื่น แม้จะเป็นเพียงโอเมก้าอ่อนแออย่างที่ใครชอบปรามาส แต่ที่ไม่ธรรมดาคือตระกูลเบื้องหลังของเขา
สิ่งที่โอเมก้าทุกคนมีคือความอ่อนแอตามสัญชาตญาณ แต่เขานั้นแตกต่างกว่ามาก ตระกูลของเขาไม่อนุญาตให้ใครอ่อนแอใจเสาะเลยสักคน ยิ่งเกิดเป็นโอเมก้าก็ยิ่งต้องฝึกฝนมากกว่าขึ้นอื่น
ไดอาน่าที่รู้สึกถูกชะตากับโอเมก้าน่ารักคนนี้ก็เตรียมจะเดินเข้าไปกอดจูบทักทาย แต่ยังไม่ทันได้ถึงตัวก็ถูกมือใหญ่ยันหน้าผากให้ถอยออกไป
“ไปไกลๆ เลย ยายผู้หญิงอันตราย”
“มันจะมากเกินไปแล้วนะไตร ฉันแค่จะกอดหนูน้อยคนนี้แล้วนายเกี่ยวอะไรด้วย”
“เมียกู ถอยไป” เสียงเข้มดุดันของอัลฟ่าหน้าโหดทำให้อัลฟ่าหญิงคนเดียวในกลุ่มถึงกับกระตุกยิ้มร้าย แต่แทนที่จะถอยกลับยิ่งรุกหนักกว่าเดิม
“ชื่อนิมมานเหรอ เจ๊ชื่อไดอาน่านะ ยินดีที่ได้รู้จัก ถ้าเจ้าไตรมันดุมากนักหรือทำร้ายร่างกายหนูก็มาซบอกเจ๊ได้ เจ๊จะช่วยปลุกปลอบขวัญให้” สาวลูกครึ่งตาสีฟ้าคมกริบโฉบเฉี่ยวเปล่งประกายแพรวพราวเจ้าเล่ห์อย่างที่ไม่น่าไว้ใจ ทำให้คนเห็นอย่างไตรวิชญ์เกิดอาการหัวเสียดันตัวนิมมานไปไว้ข้างหลังแทน
“กูพามันมาเพื่อให้ทำความรู้จักไม่ใช่มาอ่อยมัน เก็บหน้าหื่น ๆ กลับไปด้วย ยายผู้หญิงไร้ยางอาย”
“กรี๊ด! ไตรวิชญ์! นี่เพื่อนนะยะ เพื่อน! พูดจาให้ดี ๆ เหมือนที่สุภาพบุรุษคนอื่นเขาทำกันไม่ได้เหรอ! ผู้ชายปากจัดไม่น่ารักหรอกนะ!”
ไดอาน่าเท้าสะเอวมองคนหวงเมียจนออกนอกหน้า ใครแตะต้องหรือเข้าใกล้หน่อยไม่ได้เลยเชียว ต้องแยกเขี้ยวใส่คนอื่นเหมือนหมาบ้า น่าหมั่นไส้!
ไตรวิชญ์พ่นลมหายใจอย่างหงุดหงิดรีบพาตัวนิมมานไปให้ไกลจากพวกที่จ้องตาเป็นมัน เดินผ่านหน้าพวกก่อกวนไปยังด้านในสุด ก่อนจะดันตัวโอเมก้าของตนเข้าไปในลิฟต์แล้วกดแผงหมายเลขชั้นสิบ นิมมานเบียดตัวไปชิดร่างสูงใหญ่ยิ่งขึ้น เมื่อมีพวกเพื่อน ๆ ของอีกฝ่ายก้าวตามเข้ามาให้ยิ่งหายใจลำบากรู้สึกอึดอัดจนอยากพุ่งตัวออกไปข้างนอก สักพักก็ถูกมือใหญ่ดันหน้าให้เข้าไปซุกอกแกร่งเผลอสูดกลิ่นหอมเฉพาะตัวของอัลฟ่าเถื่อนเข้าไปเต็มปอด
ร่างเพรียวบางชะงักงันไปชั่วครู่ยอมหยุดอยู่นิ่ง ๆ ไม่ได้ดันตัวออกห่างเพราะกำลังรู้สึกดี หายใจได้คล่องขึ้นเยอะ หลังจากถูกกลิ่นอัลฟ่าอื่นตีกันมั่วไปหมดในอากาศจนแทบล้มทั้งยืน แตกต่างจากอารัญที่คุ้นชินกับพวกอัลฟ่าเป็นกลุ่มพากันมาแบบยกโขยงแล้วจึงกอดอกมองท่าทางออดอ้อนออเซาะของโอเมก้าแปลกหน้าด้วยสายตากึ่งสมเพชกึ่งเวทนา
โอเมก้าไม่ได้อ่อนแอก็แค่ทำตัวอ่อนแอเพราะยอมรับชะตากรรมไร้ความยุติธรรมนี่ต่างหาก
“เดี๋ยวค่อยนัดคุยกันทีหลัง ตอนนี้อยู่ดูแลเมียมึงก่อนเถอะ หน้าซีดเพราะมาอยู่ท่ามกลางอัลฟ่าหลายคน ยังไงก็ทนกลิ่นพวกกูไม่ไหว”
“แล้วเจอกัน”
“อย่าโอ๋กันให้มากนักล่ะ หัดทำตัวให้ชินได้แล้ว ขืนทำตัวอ่อนแอรอคอยแต่จะให้คนอื่นปกป้อง สักวันหนึ่งที่ไม่มีใครคอยกางปีนคุ้มครองก็คงต้องตายอย่างเวทนา”
“อารัญปากร้าย อย่าไปสนใจเลยหนูนิม ถ้ามีเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจแก้ไขไม่ได้ก็มาหาเจ๊ เดี๋ยวเจ๊คนนี้จะปลุกปล้ำ เอ่อ ปลุกปลอบใจและช่วยแก้ปัญหาให้เอง”
“อิเจ๊ครับ น้องเขากลัวหมดแล้ว ออกมายืนตรงนี้เลย!” ทิเบตต้องรีบมาลากตัวไดอาน่าออกมายืนห่างๆ โอเมก้าหน้าสวยที่มองมาอย่างไม่ไว้ใจปนระแวง
เกิดมาคงไม่เคยพบเคยเจออัลฟ่าที่อยากเขมือบโอเมก้าทุกทางจนต้องหว่านล้อมด้วยคำพูดน่ากลัว ๆ ชวนขนลุกแบบนี้ เขาฟังเองยังรู้สึกสยองเลย
“ไอ้ทิเบต แกอย่าพูดมากให้น้องเขากลัวฉันสิยะ เดี๋ยวแม่ตบคว่ำ” ไดอาน่าพูดพร้อมกับง้างมือจนทิเบตต้องหนีไปยืนอยู่ข้างอธิป
“พวกมึงหยุดเล่นกันสักที กูเวียนหัว” อธิปเหนื่อยใจที่ต้องมาเห็นพวกโตแต่ตัว สมองหยุดพัฒนาในวัยสามขวบ
“มึงแอบด่าพวกกูในใจแน่ ๆ”
“อธิปคนหล่อต้องไม่ปากร้ายสิ อย่าทำสายตาแอบด่าฉันในใจด้วย ฉันรู้นะ ฉันเห็น”
“ถึงชั้นของพวกมึงแล้ว รีบไสหัวออกไปเล่นข้างนอกเลย มีอะไรค่อยหารือกันอีกที”
ไตรวิชญ์ไล่ทุกคนให้ออกไปจากลิฟต์เพราะกลิ่นอัลฟ่ามันฟุ้งกระจายให้ทั่วจนโอเมก้าที่เพิ่งเคยมาเหยียบถิ่นอื่นอาจจะเวียนหัวได้ เหมือนกับทั้งสี่คนจะเข้าใจความนัยที่เพื่อนชายต้องการสื่อสารถึงยอมออกจากลิฟต์ แม้จะยังขึ้นไม่ถึงชั้นของตัวเองก็ตาม เมื่อทุกคนออกไปหมดนิมมานก็รู้สึกหายใจโล่งขึ้นแต่ยังไม่ยอมเอาหน้าออกจากการฝังอยู่ตรงอกแกร่ง จมูกสูดกลิ่นกายเฉพาะตัวของคู่แห่งโชคชะตา ความกังวลต่าง ๆ นานาได้ถูกปลดปล่อยออกมา ก่อนจะถูกดันตัวออกกะทันหันแล้วผลักติดกับผนังลิฟต์
ริมฝีปากร้อนผ่าวเหมือนเหล็กเผาไฟนาบลงบนกลีบปากนุ่มดูดเม้มสลับกับบดขยี้จนชอกช้ำบวมเจ่อในพริบตา ก่อนจะผละออกแล้วจ้องเขม็งริมฝีปากอมชมพูน่ารังแกที่เผยอขึ้นกอบโกยอากาศบริสุทธิ์เข้าปอด
ไตรวิชญ์เอื้อมมือไปเชยคางนิมมานให้แหงนหน้าขึ้น คราวนี้เขาก้มลงประกบริมฝีปากลงใหม่ค่อย ๆ ละเลียดชิมกลีบปากนุ่มนิ่มซึมซับความหอมหวานชวนละลายจากข้างนอกและรุกล้ำเข้าไปตักตวงดื่มด่ำกับความหวานซ่านที่แผ่กระจายข้างใน เรือนกายสูงใหญ่ในชุดสูทสีเทาอ่อนเริ่มบดเบียดเนื้อตัวแนบชิดกับร่างบาง สองมือตะปบบั้นท้ายอวบแน่นยกตัวนิมมานให้มาอยู่ในระดับเดียวกัน เพื่อที่จะจูบได้ถนัดถนี่ขึ้น
เนิ่นนานที่ชายหนุ่มหลงใหลมอมเมากับรสชาติหวานล้ำที่หยาดรินทั่วอุ้งปากของเด็กหนุ่ม ใบหน้าสวยหวานแดงระเรื่อร้อนฉ่า นัยน์ตาเรียวรีปรือปรอยมองผู้ที่รังแกตัวเองด้วยสายตาตัดพ้อพร่าเบลอ ยิ่งดูงดงามหยาดเยิ้มและมีเสน่ห์เย้ายวนใจจนไตรวิชญ์ส่งเสียงฮึดฮัดในลำคอโน้มหน้าตวัดลิ้นเลียใบหูเล็ก พร้อมกับมือที่เริ่มซุกซนเลื้อยแตะไปทั่วเหมือนกับหักห้ามใจไม่ไหว