ตู้เซียงเหมยตั้งใจว่าจะพาลูกน้อยกลับบ้านเดิมที่อยู่ท้ายหมู่บ้าน ตั้งแต่แต่งงานมาบ้านเหวินจนกระทั่งคลอดลี่ลี่ ร่างเดิมยังไม่เคยกลับ บ้านเดิมเลยสักครั้ง แม้แต่ลี่ลี่ยังไม่เคยพบหน้าครอบครัวฝั่งบ้านตู้เลย มีหลายครั้งที่พี่ใหญ่กับพี่รองของร่างนี้แอบมาดูน้องสาวด้วยความรักและเป็นห่วง แต่ร่างนี้ก็ใจดำเหลือเกิน ไม่ยอมพูดคุยด้วย บางครั้งไล่ไปด้วยซ้ำ
“ไม่เป็นไรเซียงเหมย สิ่งที่เธอไม่ได้ทำตอนยังมีชีวิตอยู่ ฉันจะทำแทนเธอทุกอย่างเอง และจะดูแลครอบครัวตู้ให้ดีที่สุด ฉันสัญญา เธอไปให้สบายเถอะ”
ไม่รู้ว่าเธอคิดไปเอง หรือว่าตู้เซียงเหมยรับรู้แล้วจริง ๆ มีเพียงลมพัดผ่านเธอไปวูบเดียว หลังจากนั้นจึงอุ้มลูกสาวตัวน้อยเดินออกมาจากห้องด้วยท่าทางแจ่มใสและหยอกล้อกับลี่ลี่ตลอดทางเดินมาจนถึงหน้าบ้าน
“เกิดเป็นสะใภ้รองบ้านเหวินนี่ช่างดีจริง ๆ วัน ๆ ไม่ทำอะไร มีแต่กินกับนอน” แม่เฒ่าเหวินใช้หางตามองลูกสะใภ้รองที่ตัวเองไม่ชอบ จึงพูดลอย ๆ ออกมา
“ขอบคุณที่ชมนะคะแม่สามี ว่าแต่เงินที่พี่หยวนต้าส่งมาให้ฉันกับลูก ฉันไม่เคยเห็นสักเหมาเดียว ถ้าเกิดไม่มีพี่ใหญ่ หรือพี่รองของฉันเอาของมาวางไว้ให้ ฉันกับลูกคงอดตายไปแล้ว อาหารที่เราสองแม่ลูกได้กินนั้นมีแต่แผ่นแป้งแข็ง ๆ กับข้าวต้มน้ำใส ๆ แค่นั้นเอง แล้วฉันจะเอาแรงจากไหนมาทำงาน
แม่สามีต้องเปลี่ยนคำพูดนะ ฉันเป็นถึงภรรยานายทหารแต่การอยู่การกินนั้นยิ่งกว่าแรงงานที่ท่าเรือเสียอีก แม้แต่สามีที่เป็นทหารส่งเงินกลับมาให้ หวังว่าจะบำรุงเมียและลูกน้อยที่ยังไม่เคยเห็นหน้า ก็ดันไม่ถึงมือลูกและเมียเสียนี่ เฮ้อ...เกิดเป็นเมียพี่หยวนต้านี่ช่างลำบากแท้”
เอาสิ คิดว่าจะยอมเหรอ ฝันไปเถอะ แม่สามีแล้วอย่างไร ถ้าร้ายและเห็นแก่ตัวแบบนี้อย่าหวังว่าเธอจะเคารพเลย
แม่เฒ่าเหวินได้แต่หน้าดำหน้าแดง แต่พูดอะไรไม่ออก เพราะเรื่องทั้งหมดมันคือเรื่องจริง เมื่อหาข้อโต้แย้งไม่ได้ แม่เฒ่าเหวินจึงเลือกที่จะ ถามกลับเมื่อเห็นว่าสะใภ้ตัวดีกำลังอุ้มลูกออกจากบ้าน
“แล้วนั่นหล่อนกำลังจะไปไหน”
“ไปบ้านเดิม แต่แม่สามีไม่ต้องห่วงฉันไม่ได้เอาอะไรกลับบ้านเดิมแน่นอน ฉันรู้ดีว่าเป็นสะใภ้ที่ไม่โปรดไม่เหมือนใครบางคน”
ตู้เซียงเหมยไม่คิดจะอยู่รอ เธออุ้มลูกน้อยเดินออกมาไปทิศทางของบ้านตัวเองเท่าที่ความทรงจำของร่างนี้ ระหว่างที่เดินทางสองแม่ลูกต่างหยอกล้อกันไปมา ลี่ลี่ตัวน้อยส่งเสียงกรี๊ดใหญ่เลย เมื่อมาถึงบ้านตู้ ตู้เซียงเหมยได้แต่ยืนถอนหายใจกับสภาพบ้าน และคิดว่าหน้าหนาวปีนี้ บ้านจะไม่ถล่มใส่หัวใช่ไหม
“นั่นใคร” ตู้เปียวซวนและตู้เหรินหนานสองพี่น้องกลับมาจากหาอาหารในป่าถามขึ้นอย่างสงสัยว่าใครมาที่บ้าน แม้ว่าด้านหลังจะคล้ายน้องสาวของพวกเขาก็ตาม แต่คงเป็นไปไม่ได้ที่อาเหมยจะกลับมาที่บ้าน อาเหมยนั้นรังเกียจความจน และรังเกียจพวกเขายิ่งกว่าอะไร ใจของพวกเขาสองพี่น้องอยากจะพบหน้าหลานใจจะขาดแต่ไม่กล้า ทำได้เพียงแอบเอาอาหารที่หามาได้ไปให้เท่านั้นเอง
“พี่ใหญ่ พี่รอง ฉันกลับมาเยี่ยม พ่อกับแม่อยู่ไหม” ตู้เซียงเหมยหันมายิ้มหวานให้พี่ชายทั้งสอง พอคิดถึงการกระทำของร่างนี้ที่ได้ทำกับครอบครัวเธออยากจะด่าเจ็ดวันไม่จบ คนอะไรใจดำ ใจแคบ เห็นแก่ตัว ครอบครัวรักเธอยิ่งกว่าแก้วตาดวงใจยังตั้งท่ารังเกียจได้อีก ด่าไปสะดุ้งไปเพราะเธอนั้นได้มาอยู่ในร่างนี้แล้ว
“อาเหมย!!” สองพี่น้องบ้านตู้เรียกน้องสาวเสียงดัง จนเจ้าตัวน้อยสะดุ้งตกใจ แต่ไม่ร้อง ได้แต่ส่งเสียงเรียกและยิ้มหวานให้ลุงทั้งสองคนของตัวเอง “แอะ แอ๊”
“พี่ทั้งสองคนจะเสียงดังทำไม หลานตกใจแล้วเห็นไหม แล้วทำไมเนื้อตัวมอมแมมกันแบบนั้นล่ะ ไปหาของป่าหรือว่าไปคลุกดินมา ฮ่า ๆ ๆ ใครอาบน้ำแต่งตัวช้าอดอุ้มลี่ลี่ อ้าว…ไม่ฟังให้จบวิ่งแนบไปแล้วพี่ชายฉัน” ตู้เซียงเหมยหัวเราะกับท่าทางของพี่ชายที่กลัวว่าจะไม่ได้อุ้มหลานเลยรีบวิ่งไปอาบน้ำล้างตัว แต่พอหันกลับมาจะเข้าบ้าน เจอเข้ากับพ่อแม่ยืนมองด้วยรอยยิ้มน้ำตาคลอ พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“อาเหมย กลับมาแล้ว” สองผู้เฒ่าเช็ดหางตา
“พ่อขา แม่ขา ฉันกลับมาแล้ว” ตู้เซียงเหมยน้ำตาคลอไม่ต่างกันก่อนจะเดินเข้าไปกอดแม่กับพ่อพร้อมลูกน้อยอย่างลี่ลี่
“ดีแล้ว กลับมาดีแล้ว” พ่อตู้ยิ้มให้ลูกสาวไม่หยุด แต่สายตาของเขานั้นตกไปอยู่ที่หลานสาวตัวน้อยที่กำลังส่งเสียงอ้อแอ้ให้ตากับยายด้วยความไร้เดียงสา แค่นี้ก็ทำให้สองผู้เฒ่าของบ้านหลงหัวปักหัวปำแล้ว
“ลี่ลี่ ไปหาตาก่อนนะลูก คนเก่งของแม่อยากให้ตาอุ้มหรือเปล่า”
ตู้เซียงเหมยหยอกล้อลูกสาวเพื่อสร้างความคุ้นเคยให้เด็กน้อย และให้รู้ว่าคนตรงหน้านี้คือตากับยาย แต่เพราะความไม่กลัวคนทำให้ลี่ลี่ยื่นมือไปให้ตาของเธออุ้ม ทำให้ตาแก่เช่นพ่อตู้ยิ้มกว้างที่หลานสาวตัวน้อยส่งแขนให้จากนั้นสองตาหลานจึงอุ้มกันไปเดินเล่นหน้าบ้านพร้อมกับเสียงหัวเราะของเด็กน้อย เมื่อนั่งกันเพียงสองคนแม่ตู้จึงถามลูกสาวด้วยความเป็นห่วง
“เกิดอะไรขึ้นกับลูกและหลานของแม่หรือเปล่า บ้านเหวินรังแกลูกอีกแล้วใช่ไหม หากไม่ไหวก็กลับมาบ้านเราเถอะลูก ในเมื่ออาหยวนต้าไม่รัก แม่สามีไม่ชอบ กลับมาบ้านเรานะ ลูกกับหลานแม่เลี้ยงได้ แม้ว่า บ้านเราจะจนเงินทอง แต่บ้านตู้เราไม่จนน้ำใจและความรักนะลูก”
แม่ตู้เอ่ยทั้งน้ำตา เธอคิดเพียงอย่างเดียวว่าต้องเกิดเรื่องกับลูกสาว ไม่เช่นนั้นอาเหมยจะกลับมาบ้านทำไม ทั้ง ๆ ที่ตั้งแต่แต่งงานไปลูกสาวคนนี้ไม่เคยกลับมาบ้านเลยสักครั้ง ให้เจ้าใหญ่เจ้ารองไปดูน้อง ทั้งสองบอกว่าอาเหมยไม่ยอมออกมาเจอ หากพบกันโดยบังเอิญเธอมักจะเดินหนี แต่ครั้งนี้ลูกสาวของเธออุ้มหลานกลับมาถ้าจะบอกว่าไม่เกิดเรื่องที่บ้านเหวินเธอไม่มีทางเชื่อเด็ดขาด
“ไม่มีอะไรหรอกจ้ะแม่ ฉันแค่พาเจ้าตัวน้อยมาเยี่ยมบ้าน ฉันรู้ตัวว่าฉันเป็นคนไม่ดี อกตัญญู ตั้งแต่แต่งงานไปฉันไม่เคยกลับมาหาทุกคน อีกเลย แม่ให้อภัยลูกอกตัญญูคนนี้ได้ไหม ฉันขอโทษสำหรับทุกอย่างนะจ๊ะแม่” ตู้เซียงเหมยโถมตัวเข้ากอดแม่ทั้งน้ำตา ในความรู้สึกเหมือนร่างกายได้รับการปลดปล่อยเสียที และสัญญาว่าเธอจะดูแลและปกป้องครอบครัวนี้ด้วยตัวเอง
“ไม่เป็นไรลูก ไม่เป็นไร ทุกอย่างมันผ่านไปแล้ว ลืมมันไปเสียเถอะ แม่ไม่เคยโกรธ หรือเกลียดลูกเลยสักครั้งเดียว และแม่เชื่อว่าพ่อและพี่ชายทั้งสองคนของลูก ไม่ได้โกรธหรือเกลียดลูกเช่นกัน ไม่เชื่อลูกหันไปถามทั้งสามคนดูสิ” แม่ตู้ลูบหลังปลอบโยนลูกสาวด้วยความรักและรอยยิ้ม
เมื่อตู้เซียงเหมยหันกลับมาก็เจอเข้ากับพ่อและพี่ชายยืนยิ้มให้เธอทั้งน้ำตา หญิงสาวจึงไม่คิดถึงธรรมเนียมรีบโผเข้ากอดทั้งสามคนด้วย ความดีใจและร้องไห้ออกมา ส่วนลึก ๆ อาจจะเป็นเพราะความรู้สึกผิดจากร่างนี้ด้วยเหมือนกันที่ทำให้เธอร้องไห้เป็นเด็กน้อยไม่ปาน
“ไม่ร้องนะน้องเล็ก พี่ใหญ่คนนี้ไม่เคยโกรธ หรือเกลียดน้องสาวคนนี้เลย พี่แค่เป็นห่วงเพราะรู้ดีว่าพี่หยวนต้านั้นไม่ได้รักเรา พี่จึงคัดค้าน แต่พี่ก็อดเป็นห่วงไม่ได้จึงคอยแอบไปดูและคอยเอาอาหารไปให้ บ้านเหวินนั้นเป็นยังไงทุกคนในหมู่บ้านรู้ดี” ตู้เปียวซวนปลอบโยนน้องสาว เขาไม่เคยโกรธ หรือเกลียดน้องสาวคนนี้ของเขาเลย มีแต่ความรักและเป็นห่วงมากกว่า