ตู้เซียงเหมยยืนกอดอกและแจ้งข้อหาที่เธอต้องการฟ้องร้องและแจ้งจับด้วยสีหน้าและท่าทางเป็นผู้ถูกกระทำ หัวหน้าหมู่บ้านตกใจไม่คิดว่าเรื่องราวจะเลยเถิดมาถึงขั้นนี้ ถ้าเกิดเรื่องนี้มีการร้องเรียนถึงสำนักงานตำรวจในอำเภอจริง ๆ หมู่บ้านที่เขาดูแลจะต้องเสียชื่อเสียงไปด้วย อีกทั้งเขาต้องโดนตำหนิที่ดูแลลูกบ้านไม่ดี และที่สำคัญทั้งสองฝ่ายเป็นแม่สามีและลูกสะใภ้ เขาต้องหาวิธีให้จบเรื่องในหมู่บ้าน
“ในเมื่อตู้เซียงเหมยยอมรับว่าทำร้ายร่างกายของคนอื่น ดังนั้นหากต้องจ่ายค่าปรับยี่สิบหยวน แต่ไม่ต้องจ่ายค่าเสียหายให้อีกฝ่ายเพราะเท่าที่ฉันได้ยินมา อีกฝ่ายเป็นคนเริ่มก่อน เธอยินยอมหรือเปล่า” ชาวบ้านที่ได้ยินได้แต่สูดลมหายใจ ยี่สิบหยวนไม่ใช่เงินน้อย ๆ และยิ่งกับบ้านตู้ที่ฐานะทางบ้านไม่สู้ดี จะยอมจ่ายหรือ
“ยอมจ้ะลุงหัวหน้าหมู่บ้าน พี่ใหญ่พี่รอง ฉันขอยืมเงินกองกลางของบ้านตู้หน่อยได้ไหม” ตู้เซียงเหมยพยักหน้ารับ แค่ยี่สิบหยวนเธอจ่ายได้อยู่แล้ว
“ได้สิ พี่ไม่มีปัญหา” พี่ใหญ่ตู้ตอบรับ
“พี่ก็เช่นกัน แต่เงินอยู่กับแม่นะ” พี่รองตู้ยินยอมและหันไปบอกแม่
“ได้สิเดี๋ยวแม่ไปหยิบให้ สำหรับแม่ ต่อให้จ่ายเงินจนหมดบ้านเพื่อลูก ๆ แม่คนนี้ยินยอมทั้งนั้น” แม่ตู้พูดจบจึงเดินเข้าบ้านเพื่อไปหยิบเงิน เธอจะกลัวอะไรกับอีแค่เงินยี่สิบหยวนเพราะตอนนี้ที่บ้านมีเงินเป็นพันหยวน อยากจะรู้เหมือนกันว่าหัวหน้าหมู่บ้านที่รักความยุติธรรมมาตลอดจะจัดการบ้านเหวินอย่างไร
เมื่อซวี่ซินหรือแม่ตู้เดินเข้าบ้านไปหยิบเงิน หัวหน้าหมู่บ้านจึงหันมามองกลุ่มคนของบ้านเหวิน ที่ยืนยิ้มด้วยความชอบใจที่หัวหน้าหมู่บ้านจัดการแบบนี้และกำลังจะถอดกลับบ้านเพราะคิดว่าไม่เกี่ยวอะไรกับตัวเองอีกแล้ว แต่กลับโดนหัวหน้าหมู่บ้านเรียกไว้
“บ้านเหวินยังไปไหนไม่ได้ แม้ว่าจะจบเรื่องของตู้เซียงเหมยแล้ว แต่เรื่องที่ใส่ร้ายและดูหมิ่นยังไม่ได้สะสาง รวมทั้งยักยอกเงินที่สามีส่งมาให้ภรรยาด้วย ฉันเห็นแก่คนในหมู่บ้านนะว่าถ้าหากเรื่องนี้ไปถึงสำนักงานตำรวจชื่อเสียงหมู่บ้านคงต้องเสียหายที่มีแม่สามีทำร้ายภรรยาของลูกชายแบบนี้ ต่อไปจะมีใครกล้าแต่งเข้ามา หรือว่าจะแต่งลูกหลานของคนในหมู่บ้านเราอีกบ้าง ฉันว่าเรื่องนี้ควรจะจบในหมู่บ้านดีกว่า ทุกคนว่าจริงไหม”
หัวหน้าหมู่บ้านพูดถึงเหตุผลทั้งหมดก่อนจะหันไปขอความเห็นจากชาวบ้านที่มุงดูกันอยู่ ทำให้แต่ละคนนั้นคิดตาม หากเรื่องนี้ลามไปถึงสำนักงานตำรวจจริง ๆ คนที่เดือดร้อนคงเป็นชาวบ้านแบบพวกเขา จากนั้นจึงหันไปมองกลุ่มของแม่เฒ่าเหวินอย่างชอบใจ
“จริงด้วยท่านหัวหน้า พวกเราคิดว่าจบเรื่องนี้ในหมู่บ้านเถอะ บ้านเหวินใส่ร้ายลูกสาวบ้านตู้ยังไงพวกเราเป็นพยานให้เอง” ชาวบ้านคนหนึ่งออกความคิดเห็น เมื่อมีคนแรกจึงมีคนที่สองและสามตามมาจนเกือบทั้งหมดที่เห็นด้วย
“ในเมื่อชาวบ้านทุกคนเห็นด้วย ตู้เซียงเหมยสามารถร้องเรียนได้ แต่ฉันขอได้ไหม เราคนหมู่บ้านเดียวกัน จบลงที่หมู่บ้านได้ไหม อีกทั้งแม่เฒ่าเหวินเองก็เป็นแม่ของหยวนต้าสามีของเรา หยวนต้าเองก็เป็นทหาร หากแม่และภรรยาฟ้องร้องกันเอง คนที่เสียหายมากที่สุดก็คงจะเป็นหยวนต้านะ” หัวหน้าหมู่บ้านหันไปถาม เขาประนีประนอมที่สุดแล้ว อยู่ที่ลูกสาวบ้านตู้เท่านั้นว่าจะเอาอย่างไร
ตู้เซียงเหมยไม่ได้ต้องการเล่นงานให้ถึงตาย เพียงแค่ให้บทเรียนกับบ้านเหวินเท่านั้น และที่สำคัญจบในหมู่บ้านก็ดีเธอขี้เกียจจะเข้าอำเภอแล้วเหมือนกัน
“ได้จ้ะลุงหัวหน้าหมู่บ้าน ฉันต้องการให้ชดใช้ เรื่องใส่ร้ายและดูหมิ่นเป็นเงินสามร้อยหยวน คนละหนึ่งร้อยหยวน ส่วนข้อหายักยอกทรัพย์ ฉันขอห้าร้อยหยวน เพราะสองปีที่พี่หยวนต้าส่งเงินมาให้ฉัน มันคงมากกว่าห้าร้อยหยวนแน่ ๆ แต่ถ้าฉันไม่ได้เงินแปดร้อยหยวน เรื่องทั้งหมดคงต้องไปจบที่สำนักงานตำรวจเท่านั้น ฉันเชื่อว่าหากพี่หยวนต้ากลับมาเขาคงเข้าใจ” สิ้นเสียงของตู้เซียงเหมย แม่เฒ่าเหวินนั้นล้มทั้งยืน อะไรกันเงินแปดร้อยหยวน มันไม่มากไปหน่อยหรือ อย่างไรเธอก็ไม่ยอมจ่าย
“เอาละแม่เฒ่าเหวิน จะกลับไปเอาเงินดี ๆ ตามคำเรียกร้อง หรือว่าจะไปนอนคุกพร้อมกับจ่ายค่าเสียหาย หากเธอไม่ยอมฉันคงต้องเข้าสำนักงานตำรวจด้วยอีกคน และเชื่อว่าเงินที่เธอยักยอกลูกสะใภ้ไปนั้นมันคงมากกว่าห้าร้อยหยวนดั่งที่ลูกสาวบ้านตู้บอกแน่ ๆ” หัวหน้าหมู่บ้าน คิดว่าเงินที่เรียกมาค่อนข้างสูง ชาวบ้านทั่วไปไม่มีทางมีเงินชดใช้ก้อนนี้แน่ แต่อย่าลืมว่าตลอดสองปีที่ผ่านมาแม่เฒ่าเหวินยักยอกเงินของลูกสะใภ้ไปเท่าไร
“แต่ถ้าแม่เฒ่าเหวินจะแก้ตัวว่าเงินนั้นหยวนเป็นส่งมาให้ที่บ้าน ฉันแค่ให้คนไปตรวจสอบก็พอแล้วว่าเงินนั้นส่งมานั้นชื่อใครและใครเป็นคนไปรับ ฉันว่าจบเรื่องตรงนี้ดีกว่านะ”
เมื่อได้ยินหัวหน้าหมู่บ้านพูดจบประโยค ความไม่ยินยอมจึงเปลี่ยนเป็นความกลัว ก่อนจะสะบัดก้นเดินกลับบ้านเพื่อไปเอาเงินมาจ่ายให้ เธอคิดว่ารอเจ้ารองลูกของเธอมาก่อน เธอจะเรียกคืนให้มากกว่านี้หลายเท่า
พอเห็นว่าแม่เฒ่าเหวินนำเงินมาจ่ายให้ตามจำนวน ชาวบ้านทั้งหลายจะกระจายหายไปอย่างรวดเร็ว ตอนนี้จึงเหลือเพียงสี่คนแม่ลูกที่ยืนยิ้มกันด้วยความสะใจที่อยู่ดี ๆ ก็ได้เงินมาถึงแปดร้อยหยวนโดยไม่ต้องทำอะไร
วันเวลาผ่านมาจนถึงวันที่ต้องไปทำสัญญา คราแรกตู้เซียงเหมยและพี่ชายต้องการซื้อร้านเป็นชื่อพ่อหรือแม่ แต่พ่อตู้และแม่ตู้ไม่ต้องการ ให้ใช้ชื่อของลูกสาว และตู้เซียงเหมยเองไม่ยินยอมเช่นกัน เธอยังไม่หย่าเลยไม่อยากมีอะไรที่เกี่ยวข้องกับตัวเอง สรุปแล้วร้านนี้เธอจึงให้เป็นชื่อของพี่ชายทั้งสองคนเพราะจะได้เท่าเทียมกัน
หลังจากที่มาหากว้านซือถงเพื่อให้พาไปทำสัญญากับเจ้าของร้าน จากเช่าเปลี่ยนเป็นซื้อแทน เมื่อมาเห็นร้านเธอจึงเข้าใจว่าทำไมจึงขายเพียงห้าร้อยหยวนเพราะร้านไม่ได้ใหญ่มาก และสภาพเก่าพอสมควร ต่อให้ทาสีตกแต่งใหม่ เธอคิดว่าคุ้มแสนคุ้ม เพราะด้านหลังร้านสามารถต่อเติมได้อีก หญิงสาวจึงรบกวนให้กว้านซือถงติดต่อช่างให้
“ภรรยาของนายช่างบอกว่าวันนี้สามีเธออยู่ต่างอำเภอ วันพรุ่งนี้ช่วงบ่ายได้ไหม แล้วให้เราเอาแบบมาด้วยว่าจะต่อเติมยังไง เราตกลง หรือเปล่า” กว้านซือถงเดินกลับมาที่ร้านของพี่น้องบ้านตู้และบอกรายละเอียดที่เธอได้รับมาให้ฟัง
“ได้สิพี่ซือถง พรุ่งนี้เราสามคนจะมาอีกครั้งช่วงบ่าย พี่ใหญ่พี่รอง รอฉันก่อนได้ไหม ฉันจะไปซื้อของสักหน่อย เดี๋ยวกลับมา” ตู้เซียงเหมย คิดว่าในเมื่อมาในอำเภอแล้วขอหายไปข้างนอกสักหน่อย จะได้เอาของออกมาจากมิติ
“จริงสิ วันนี้เสื้อผ้าของผู้ชายมาส่ง แต่สีมันผิดเพี้ยนจากที่พี่สั่งไปเล็กน้อย เราสนใจไหม พี่ยกให้ เพราะขายให้พวกคนมีเงินคงยากที่จะ ซื้อไป”
“พี่ใหญ่พี่รองไปดูเลย ดูเผื่อพ่อด้วยนะ แต่พี่ซือถงห้ามไม่คิดเงินเด็ดขาด อย่างน้อย ๆ คิดราคาทุนก็ยังดี พี่ใหญ่และพี่รองจะได้ใส่มาขายของได้”
เมื่อได้ข้อสรุป ทั้งหมดจึงปิดร้านและแยกกันไป ตู้เซียงเหมยจึงเดินไปตามถนนเพื่อจะดึงเวลาก่อน แล้วค่อยกลับมาหาพี่ชายทั้งสองคนที่ร้านของพี่ซือถง
ด้านเหวินหยวนต้าวันนี้เขามาถึงอำเภอแล้วก่อนจะส่งนายทหารคนขับรถมาให้ที่สถานีรถไฟ ส่วนชายหนุ่มกลับหาที่จอดรถในอำเภอเพราะไม่อยากขับรถเข้าในหมู่บ้าน จากนั้นจึงได้เหมาเกวียนแทน แต่ระหว่างที่นั่งเกวียน สายตากลับเห็นหญิงสาวคนหนึ่งที่คล้ายกับภรรยาเดินสะพายตะกร้าอยู่ด้านหลัง แต่ด้วยความไม่แน่ใจและคิดว่าคงไม่ใช่ จึงได้ปล่อยผ่าน ภาพความทรงจำของตู้เซียงเหมยที่เขามี เธอไม่ได้ดูสดใสและน่ามองแบบนี้ ตอนนี้ใจของเขานั้นถึงบ้านแล้วเพราะต้องการที่จะเจอหน้าลูกสาวตัวน้อยที่เพิ่งเกิดได้เพียงเจ็ดเดือน