ตอนที่9 แฟนเก่า และแรงปรารถนา
หมู่บ้านเล็กๆ นอกเมือง บรรยากาศยามค่ำคืนเงียบสงบไร้แสงสีศิวิไลและผู้คนพุกผ่าน ฟิโอดอร์ลดกระจกมองเข้าไปภายในบ้านหลังหนึ่ง ซึ่งปลูกอยู่ห่างจากบ้านในละแวกเดียวกัน ดวงตาที่ปกติฉายแววแข็งกร้าวอ่อนโยนลงเมื่อพบกับภาพหญิงสาวผมสีทองเจ้าของบ้าน หล่อนกำลังนั่งทอดหุ่ยอยู่ในห้องนั่งเล่น แม้นว่าระยะจากที่เขาอยู่จะห่างไกลจากหญิงสาว จนมิอาจเพ่งพิจเครื่องหน้าของหญิงสาวผู้นี้ได้อย่างชัดเจน ทว่าความทรงจำเกี่ยวกับหล่อนในวานวันสมองของเขากลับย้อนภาพเหล่านั้นขึ้นมาให้ปรากฏอย่างแจ่มใส เสมือนมันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อเพียงไม่กี่วัน
เรื่องราวที่เกิดขึ้นนับจากเสี้ยวนาทีที่แล้วเรามักจะเอ่ยถึงพวกมันว่าอดีต ถึงฟิโอดอร์จะผ่านช่วงเวลานั้นกับหล่อนมาแล้ว แต่เขาก็ไม่สามารถลืมความทรงจำอันสวยงามที่เคยมีกับหล่อนได้เลย เขาบอกกับตัวเองว่าเขาเป็นตัวอันตรายต่อความสัมพันธ์ในทุกรูปแบบ คนที่เขารักล้วนมีจุดจบอันน่าเวทนาด้วยกันทั้งสิ้นไม่เว้นแม้แต่ผู้ให้กำเนิดทั้งสองของเขา
เอมม่า… หล่อนเปรียบเป็นดอกไม้
ดอกไม้ดอกนี้จะสวยงามไปอีกนานหากได้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่คู่ควรกับหล่อน แต่ถ้าเขาเด็ดดอกไม้ดอกนี้มาไว้ในความครอบครองแสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ ฟิโอดอร์เชื่อว่าไม่นานหล่อนจะเหี่ยวเฉาและโรยรา ร้ายยิ่งกว่านั้นคือหล่อนอาจจะตกอยู่ในอันตราย กลายเป็นเป้าหมายให้พวกศัตรูของเขาหันมาเล่นงาน
ชายหนุ่มละสายตาจากหญิงสาว มองฝ่าออกไปในความมืดรอบบริเวณ ความมืดที่เห็นช่างไม่ต่างอะไรกับอนาคตภายภาคหน้าของเขา
“ฟิโอดอร์! โอ้พระเจ้า! เป็นคุณจริงๆ”
ในภวังค์ที่เผลอไผลเสียงหวานอันคุ้นเคยก็ดังขึ้น พอหันไปยังต้นเสียงก็พบกว่าเอมม่าปรากฏตัวอยู่หน้าประตูบ้านของหล่อน สีหน้าหญิงสาวแสดงความประหลาดใจ ดีใจ สับสนปนเปกันจนไม่อาจแยกแยะได้แจ้งชัด
“เอมม่า ผมต้องไปแล้ว”
ชายหนุ่มพึมพำเบาๆ กับตัวเองพลางหันหน้าหนีจากหล่อน เอื้อมมือไปจับคันเกียร์ในตำแหน่งที่รถพร้อมทะยานไปเบื้องหน้า หากมีบางอย่างที่แฝงมากับคำวิงวอนของหญิงสาวทำให้เขาต้องล้มเลิกความคิดที่จะรีบจากไป
“ไม่นะ ฟิโอดอร์ ได้โปรดอย่าจากฉันไปแบบนี้ โปรดเห็นแก่พระเจ้าหรือใครก็ได้ที่คุณศรัทธา คุณไม่มีวันรู้หรอกว่าฉันเฝ้าฝันเฝ้ารอที่จะได้พบคุณทุกลมหายใจเข้าออกของฉัน และมันก็ทรมานมากเพียงใด”
น้ำเสียงของหล่อนสั่นเครือ ดวงตาเริ่มพร่ามัวไปด้วยม่านน้ำ
ฟิโอดอร์หลับตา ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าปอดยาวๆ ลึกๆ หวังเก็บมวลอากาศเอาไว้ให้มากที่สุด และเพื่อประวิงเวลา สำหรับประดิษฐ์คำพูดประโยคทักทายที่มันเข้าท่าสำหรับคนสำคัญที่ไม่พบกันมานาน เขาเปิดประตูรถเดินตรงไปหาหล่อน
ก้าวเท้าผ่านทางเดินแคบๆ ที่โรยด้วยกรวดหินก้อนเล็กๆ ขนาบข้างด้วยดอกไม้หลายชนิดที่เจ้าของบ้านปลูกเอาไว้ประดับประดาสวนหย่อมเล็กๆ ระหว่างนั้นเองชายหนุ่มรู้สึกว่ามีกระแสความรู้สึกมากมายทั้งจากของเขาและหล่อนแผ่กระจายออกมาไหลเวียนอยู่รอบกาย
มันให้ความรู้สึกหลากหลาย สุข ทุกข์ เศร้า เหงา และรอคอย
ชายหนุ่มหยุดยืนตรงหน้าของเอมม่า เขาจ้องมองริมฝีปากบางได้รูปที่กำลังเม้มแน่นและมีอาการสั่น ดวงหน้าหวานอาบไปด้วยประกายของหยาดน้ำตาที่สะท้อนกับแสงไฟ
“ช่วยพูดอะไรหน่อยสิคะ อะไรก็ได้ที่บอกว่าฉันไม่ได้กำลังฝันอยู่ คุณยืนอยู่ตรงหน้าของฉันแล้วจริงๆ”
เอมม่ามองใบหน้าของชายหนุ่มที่หล่อนอยากพบมาตลอดทั้งในยามหลับและยามตื่น
“น้ำมูกคุณไหล”
ฟิโอดอร์เอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ พร้อมกับชี้นิ้วไปที่ปลายจมูกโด่งๆ ของตัวเอง
“ฮือ… ห๊ะ”
เอมม่าหัวเราะทั้งน้ำตา หญิงสาวโผเข้ากอดรัดร่างกำยำที่หล่อนโหยหาความอบอุ่นจากร่างกายนี้มาเนิ่นนาน
“ผมดีใจที่ได้พบคุณ เอมม่า”
ฟิโอดอร์ลูบไล้เส้นผมนุ่มลื่นของหล่อน สูดซับกลิ่นกายหญิงสาวอีกทั้งพยายามจดจำบรรดาความรู้สึกอันพิเศษนี้เหล่านี้เอาไว้ให้ลึกสุดหัวใจ
“ฉันก็คิดถึงคุณฟิโอดอร์ คิดถึงมากเหลือเกิน”
เอมม่ารัดร่างของเขาแน่นขึ้น พร้อมกับซบใบหน้าลงไปแนบอกแกร่งเพื่อฟังเสียงหัวใจของเขา
“คุณพอจะมีเวลาอยู่กับฉันสักหนึ่งชั่วโมงไหมคะ ถ้าจะกรุณา”
หญิงสาวช้อนสายตามองใบหน้าคมเข้ม เขาพยักหน้า
“เราเข้าไปในบ้านกันเถอะเอมม่า ผมไม่ควรอยู่ตรงนี้นานนักมันไม่ดีทั้งกับตัวผมและคุณ”
“ค่ะ”
หญิงสาวโอบรัดร่างของเขา ราวกับกลัวว่าชายหนุ่มจะสลายกลายเป็นอากาศและหายไป ทั้งสองพากันไปนั่งในห้องรับแขก พูดคุยซักถามถึงห้วงเวลาที่ห่างหาย
โซฟาสีแดงในห้องรับแขก ร่างสองร่างนั่งเบียดชิดกันแทบจะหลอมรวมเป็นเนื้อเดียวกัน กระแสความอบอุ่นจากร่างกายที่แผ่กระจายออกมาปะทะกันอุ่นซ่าน จนกระทั่งเสื้อผ้าอาภรณ์ที่ห่อหุ้มเนื้อหนังไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป ร่างหนุ่มสาวซึ่งแตกต่างกันทางสรีระต่างเปลือยเปล่า แนบชิด สัมผัสอันอ่อนโยนนุ่มละมุน ต่างลูบไล้กันละกันไปตามสัดส่วนร่างกายอันอ่อนนุ่มอย่างโหยหาหลงใหล