บทที่ 2
ตัวร้ายผู้ไม่อ่อนโยน
‘โอ้ย’
มือหนตรงเข้าบีบที่กรามและแก้มของนางอย่างแรง มันเจ็บมากกว่าตอนที่นางถูกรถชนครั้งแรกเสียอีก นางพยายามแกะมือใหญ่นี้ออกแต่ก็ถูกสายตาเฉือดเชือนมองมายังมือที่นางจับเขาไว้อยู่จำให้นางต้องยอมปล่อยมือออกแต่โดยดี
แรงควายชะมัด!! เจ็บนะเว้ยยยย!! แม้จะอยากโวยวายแต่เพราะความตายมันค้ำคอเลยทำได้แค่นั่งน้ำตาไหลปริบ ๆ เรียกความสงสาร
‘เจ้ากำลังเล่นตลกอันใดกับข้า’
สวี่ลี่เซียนรีบส่ายหน้า ปากเบะลงและแก้มบู้บี้เสียจนคนมองยังอดสงสารไม่ได้ แต่อวี้เหิงไม่หลงกลมารยาสตรี
‘พบเจ้าคราแรกข้าก็รู้ได้ว่าเจ้าจิตใจต่ำช้า สตรีอย่างเจ้าได้แต่งให้ข้ายังนับว่าดีเกินควรด้วยซ้ำไป!’
‘!!’
อยากจะตอบกลับเหลือเกินว่า รังเกียจนางถึงเพียงนี้แล้วร่วมเตียงด้วยทำไมล่ะเว้ย!! กระนั้นก็จำต้องเก็บไว้เพียงในใจ
เมื่อแรงกดจากฝ่ามือเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว คนตัวเล็กพยายามสูดลมหายใจเข้าออกไล่น้ำตาที่เริ่มระเรื่อขึ้นขอบตา แม้จะเจ็บแบบฉิบหายแต่หากร้องไห้ออกมาตัวร้ายใจดำผู้นี้จะหาว่านางใช้มารยาเอาได้ !! ในขณะที่ดวงตากลมโตเลิ่กลั่กครุ่นคิดในหัวอย่างหนักว่านางไปทำสิ่งใดให้พ่อรูปหล่อผู้นี้โกรธแค้นกัน ความทรงจำหนึ่งได้ผุดขึ้นมาเป็นฉาก
ในงานรื่นเริงได้จัดขึ้นเพื่อต้อนรับคนจากเผ่ามาร ตัวของสวี่ลี่เซียนที่เข้ามาร่วมงานในฐานะคู่หมั้นหมายกลับแสดงกิริยาไม่เหมาะสมอย่างการกล่าวประกาศไปอย่างโจ่งแจ้งว่าไม่ชื่นชอบการแต่งงานนี้ รวมถึงไม่ต้องการเกี่ยวดองกับเผ่ามารเพียงใด เล่นเอาไห่หวงเทียนจวินทรงกริ้วเป็นอย่างมกไล่นางออกจากงานในทันที
‘..ข้าไม่ต้องการร่วมงานแต่งครั้งนี้ ข้าไม่ชอบเขา ต่อให้สวี่ลี่เซียนผู้นี้ต้องตายก็จะไม่แต่งเด็ดขาด!!’
อ้ากกก พูดออกมาได๊!!!
เมื่อนึกถึงความฉิบหายที่ตัวเองไม่ได้ก่อเอาไว้ออก สีหน้าเจ็บปวดในตอนแรกได้เปลี่ยนเป็นยิ้มแฉ่งแทบจะฉับพลันพร้อมกับตบเข่าฉาดใหญ่ หากไม่ติดว่าถูกอีกคนบีบจนกรามจะหักอยู่คงได้นั่งคุกเข่าเอาหัวโขกสักร้อยครั้งได้แล้ว!! ส่วนอวี้เหิงที่เห็นนางเปลี่ยนสีหน้ากะทันหันก็ชะงักไป
อะไรของนาง..
มือเผลอลดแรงบีบลงเล็กน้อยเพียงพอให้คนตัวเล็กเริ่มเปิดปากพูดเป็นต่อยหอย
‘จะ..จริงด้วยเพคะ แค่ท่านประมุขยอมรับการแต่งงานก็ดีเพียงใดแล้ว ไม่สิ แค่ได้พบหน้าท่านผู้งดงามที่สุดในใต้หล้าก็นับว่าเป็นบุญของข้าน้อยแล้วเจ้าค่ะ!! ข้าคงสติเลอะเลือนไปแล้วแน่ถึงได้พูดจาสิ้นคิดเช่นนั้น”
‘เหอะ คิดว่าข้าไม่รู้ความคิดเจ้า กล้าโกหกต่อหน้าข้าผู้นี้ ไม่กลัวตายแล้วใช่หรือไม่’
อวี้เหิงเลิกคิ้วแต่สายตายังไม่ลดความดุดันลงแม้แต่น้อย มือที่บีบคางอยู่กลับมาเพิ่มแรงบีบอีกรอบ เจ็บนะ ไอบ้า!! นางนั่งทนเจ็บน้ำตาเล็ดไม่กล้าอ้าปากด่าคนตรงหน้า ปากเม้มจนเป็นเส้นตรง กลั้นน้ำตาฟืดฟาดจนจมูกบานออกน่าเกลียดในสายตาอวี้เหิงนัก
‘ข้าไม่กล้าโกหก’ นางตัวสั่นหงึกหงัก โบกมือปฏิเสธพัลวัน
ท่าทีน่าสงสารกับดวงตากลมโตคลอระเรื่อต่างจากก่อนหน้านี้ที่ตั้งตนเป็นศัตรูกับเขา ด้วยนิสัยหยิ่งยโสไม่เกรงกลัวของนางถึงขนาดทำลายดวงจิตตัวเองไม่มีทางยอมอ่อนข้อให้กับผู้ใด ตอนนี้กลับดูไร้พิษสงเหมือนลูกหมาเชื่องตัวหนึ่งเท่านั้น หรือแท้จริงนางมีแผนอื่นซ่อนอยู่.. คิดได้ดังนั้นร่างสูงสะบัดมือรอบหนึ่ง สวี่ลี่เซียนรู้สึกราวกับมีบางอย่างถูกดึงกระชากออกจากร่างกาย
‘เฮือก! นะ นะ นั่นท่านทำอะไรเพคะ!’ เพียงพ่อตัวร้ายสะบัด นางรู้สึกใจโหวงเหวงเหมือนโดนแก้ผ้ากลางสี่แยกอย่างไรอย่างนั้น!
‘เพื่อให้มั่นใจว่าเจ้าไม่มีแผนชั่วช้าอื่นซ่อนไว้อีก ผนึกพลังของเจ้าเอาไว้ก่อนเป็นสิ่งที่ควรทำจริงหรือไม่’
‘อะ..อ้อ. ท่านตัดสินใจได้เฉียบขาดมากเจ้าค่ะ’
ที่แท้อวี้เหิงก็ผนึกพลังของนางเอาไว้นี่เอง ช่างเขาปะไร พลังเซียนเหินฟ้าหมุนกระบี่อะไรนั่นนางใช้ไม่เป็นหรอก จะมีหรือไม่มีก็ไม่ต่างกัน จะทำอะไรก็ทำเลยเจ้าค่ะ ทำเลย!!
อวี้เหิงคิดว่าสวี่ลี่เซียนต้องกระวนกระวายใจกว่านี้แต่มันกลับต่างจากที่เขาคิดอย่างสิ้นเชิง นอกจากนางจะไม่แสดงความกระวนกระวายออกมาให้เห็นล้วเขายังแอบเห็นนางพ่นลมหายใจราวกับโล่งอกด้วยซ้ำไป!!
‘..ท่านสบายใจขึ้นสักหน่อยหรือไม่เจ้าคะ หากสบายใจแล้วได้โปรดนำมือออกจากหน้าข้าได้หรือไม่ มากกว่านี้หน้าข้าอาจหักเอาได้แน่ ๆ เจ้าค่ะ’ ว่าจบก็ทำตาใสกะพริบปริบ ๆ เอาสิใบหน้านางงดงามจนแยงตาเขาแน่ ต้องมีใจอ่อนกันบ้าง! ทว่า..ดูเหมือนนางจะคิดผิดไปสักหน่อย
‘เจ้ากล้าต่อรอง!'
‘กรี๊ด ยะ..ยอมแล้วเจ้าค่ะ!’
เพราะนอกจากอวี้เหิงจะไม่คลายโทสะลงแล้วโทสะกลับเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว! บีบคางนางจนเสียงดังกึกลั่นในกกหู กรี๊ดดด กรามร้าวแล้วค้า!!
‘ยอมงั้นรึ หึ แต่ข้านึกเหตุผลที่เจ้าเชื่อฟังข้าไม่ออกเลยสักนิด สวี่ลี่เซียน!’
น้ำเสียงทุ้มดุดันเริ่มแผดดังลั่นขึ้น นางเข้าใจอวี้เหิงว่าก่อนหน้านี้ท่าทีของนางต่อเขามีแต่ความรังเกียจและไม่ยินยอม จะระแวงระมัดระวังนางไม่ใช่เรื่องผิด แต่มันจำเป็นต้องรุนแรงกันถึงขนาดนี้ไหม!! กรี๊ด เจ็บง้า!! สวี่ลี่เซียนเริ่มเข้าตาจน ดูเหมือนว่าวิธีการออดอ้อนจะไม่เป็นผล นางเคยได้ยินว่าเมื่อบุรุษได้ครั้งแรกของสตรีไปจะต้องหลงหัวปักหัวปำไม่ใช่หรือ อย่างน้อยน่าจะใจอ่อนให้กับคู่นอนตัวเองบ้าง นั่นมันเรื่องโกหกทั้งเพ!!
แรงบีบที่หน้าเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ และเมื่อตกอยู่ในสถานการณ์คับขัน ปากเจ้ากรรมก็ดันพูดออกมาก่อนที่จะทันได้คิดเพื่อความอยู่รอด หากย้อนเวลากลับไปได้สวี่ลี่เซียนสาบานกับตัวเองเลยว่าจะไม่พูดคำนี้เด็ดขาด มันน่าอายมาก!!
‘ที่จริง.. ที่จริงแล้ว!! เป็นเพราะว่าท่านประมุขทรงแซ่บมากเจ้าค่ะ ลีลาของท่านข้าชอบมาก ข้าติดใจม๊าก!!’
‘!!’
ตึง!!
แม้จะไม่มีเสียงเกิดขึ้นจริงแต่สวี่ลี่เซียนได้ยินเสียงราวกับมีฟ้าผ่าลงกลางบทสนทนา นางเห็นอวี้เหิงแข็งค้างเป็นหินไปแล้ว อวี้เหิงตกใจเป็นอย่างมากถึงกับปล่อยให้นางเป็นอิสระโดยไม่รู้ตัว
ภายในใจของหญิงสาวกำลังร้องตะโกนดังก้องว่า....ฉิบหายแล้ว
เมื่อได้สติรู้ว่าหลุดพูดอะไรออกไปก็มีแต่คำว่าฉิบหายเต็มหัวสวี่ลี่เซียนเต็มไปหมด ริมฝีปากได้รูปเม้มจนเป็นเส้นตรงตาเหลือกโตด้วยความตกใจ ดวงตากลมโตเหลือบมองคนตรงหน้าที่จ้องมองมายังนางด้วยสายตาอึ้งและทึ่ง ไม่พอในดวงตายังเต็มไปด้วยความรังเกียจนางเสียเต็มประดา แทบจะเห็นคำว่ารังเกียจคำโต ๆ แปะอยู่บนหน้า!
กรี๊ดไม่ต้องมองค้า นี่ก็อึ้งเหมือนกัน ฮืออ!!
‘...’
ไม่มีใครพูดสิ่งใดกว่าชั่วอึดใจ ถึงบางคำของนางจะแปลกประหลาดไปสักเล็กน้อย แต่อวี้เหิงเข้าใจความหมายในคำพูดของนางเป็นอย่างดี ประมุขแห่งแดนมารเช่นเขา ตั้งแต่ก่อเกิดขึ้นมาบนใต้หล้าแห่งนี้ยังไม่เคยพบเจอผู้ใดกล้าพูดจาโจ่งแจ้งไร้ความเป็นกุลสตรีเช่นนางมาก่อน กับฮุ่ยซิ่วเองที่ตรงไปตรงมามากกว่าก็ยังไม่โผงผางเท่านาง อวี้เหิงสงสัยนักว่าในหัวของสตรีผู้นี้กำลังคิดสิ่งใดอยู่กันแน่..
สุดท้ายอวี้เหิงจึงเค้นเสียงออกมาในลำคอ ‘เหอะ’
ได้ยินคำว่าเหอะออกมา สวี่ลี่เซียนเองก็น้ำตาไหลยิ่งกว่าเก่า ไม่ใช่เพราะอับอายกับสิ่งที่ตัวเองได้พูดไป แต่เป็นเพราะหน้าตาอวี้เหิงกำลังหงิกงอขึ้นเรื่อย ๆ ตอนนี้ต่างหากที่กำลังบอกว่าวันนี้นางต้องไปเฝ้ายมบาลอีกรอบเป็นแน่ แงงงง ปากเฮงซวย!!
‘คำพูดเจ้าจริงหรือไม่ข้าไม่สนใจ แต่หากมาก่อความวุ่นวายให้กับข้าและฮุ่ยซิ่วล่ะก็ ข้าจะฆ่าเจ้าด้วยมือข้าเอง’ ตะคอกน้ำลายกระเด็นใส่หน้านางจบก็สะบัดตูดหนีออกไป สวี่ลี่เซียนเบ้ปากมองบนตามหลังก่อนนึกถึงชื่อที่คุ้นหู
ฮุ่ยซิ่ว.. อ้อแม่นางเอกสายแอ๊บแบ๊วนั่น นางยังไม่ทันได้รู้จักก็ขู่ฆ่ากันเสียแล้ว เหอะ โหดร้ายขนาดนี้นางสาบานว่าหากหาทางรอดได้เมื่อไหร่จะหนีไปให้ไกลเลย ให้ตายเถอะ!
..กลับมาสู่ปัจจุบัน
สุดท้ายนางจำต้องยอมรับว่าที่นางทะลุมิติเข้ามาในนิยายหลังจากตกรางรถไฟตายนั้นคือความจริง!
"บ้าบอ!"
ครั้นนึกถึงสาเหตุที่ทำให้นางร้ายในร่างเก่าตายก็พลันหน้าแดงซ่าน สวี่ลี่เซียนเพิ่งทะลุมิติเข้ามาแต่ยังจดจำอาการชาและโคตรจะแสบตรงจุดนั้นได้อย่างชัดเจน! คนบ้าอะไรตะบี้ตะบันโซเดมาคอมไม่พัก ขาดแคลนมากนักหรือ.. หากพูดถึงพ่อตัวร้ายผู้ที่กำลังจะมาเป็นสามีนั่นแล้ว รูปโฉมงดงามถูกใจนางไม่น้อย แผงอกล่ำบึก มวลกล้ามเนื้อเป็นรอนสวยน่าสัมผัส ไหล่ก็กว้างแถมสูงกว่านางมากโขตามสเปคที่เคยตั้งไว้ กร้าวใจนางเป็นที่สุด
แต่! เพาะคำว่าตัวร้ายผู้ปลิดชีพนางนั้นค้ำคอ ต่อให้หล่อชะนีร้องกรี๊ดนางก็ไม่สน!!
"เฮ้อ.." สวี่ลี่เซียนเปลี่ยนมาถอนหายใจ หลังจากถูกอาเหลียงจับมัดติดไว้ด้วยวรยุธซึ่งนางรู้สึกตื่นตาตื่นใจมากทุกครั้งที่ได้เห็น แต่ก็ทำได้เพียงเท่านั้นเพราะนางไม่สามารถใช้วรยุธได้ ด้วยเพราะร่างเก่าเองทำลายจิตวิญญาณที่เป็นที่สะสมพลังกับถูกตัวร้ายนั่นผนึกเอาไว้ โดนสะกัดดาวรุ่งถึงสองชั้นตอนนี้นางก็เป็นเพียงสตรีธรรมดาที่แสนกระจอกงอกง่อยผู้หนึ่ง
"ข้าไม่หนีแล้ว.." ใบหน้างดงามหันหน้าหนีโดยมีสายตาอาเหลียงที่ไม่ยอมกระดิกไปไหน สุดท้ายสวี่ลี่เซียนก็เป็นฝ่ายยอมแพ้..
ถึงโวยวายไปก็เท่านั้นเพราะตอนนี้นางถูกจับโยนใส่เกี้ยวเตรียมอภิเษกเข้าสู่แดนมารเป็นที่เรียบร้อย.. เสียงฆ้องรวมถึงประทัดดังแสบแก้วหูและอากาศที่หนาวเย็นขึ้นเรื่อย ๆ นี่แหละหลักฐานชั้นดีว่านางไม่ได้ฝันอยู่!
“เหอะ”
เสียงเล็กพ่นลมขึ้นจมูก ใบหน้าซีดเซียวไร้เลือดฝาดยิ่งส่งผลให้ผิวที่ขาวอยู่แล้วขาวขึ้นจนไม่ต่างจากเกล็ดหิมะด้านนอก ในเมื่อทุกคนต่างทอดทิ้งนางร้ายผู้นี้ หากนางหนีไปตั้งแต่ต้นไม่ได้ ตอนนี้กำลังเข้าสู่ปฐมบท แล้วนางที่จู่ ๆ ก็ดันทะลุมิติเข้ามาในนิยายจะกล้าอาละวาดตามบทบาทเดิมของตัวเองได้อย่างไร ทำไปก็มีแต่ตายหยั๋งเขียด!
ที่สวี่ลี่เซียนรู้ตอนนี้นางต้องทำตัวเจี๋ยมเจี้ยมไว้ก่อน ถึงผู้ที่พึ่งพาได้เพียงหนึ่งเดียวคือพ่อพระเอกของเรื่อง แต่อีกไม่กี่บทพ่อพระเอกรูปงามนั่นก็จะไปตามคลั่งรักแม่นางเอกต้อย ๆ แล้ว! ไม่มีทางสนใจใยดีนางแน่ ขนาดที่ว่านางถูกตัวร้ายสังหาร เขาเพียงเสียใจต่อศิษย์คนนี้แค่เล็กน้อย ด้วยพ่อตัวร้ายอ้างว่าสวี่ลี่เซียนจิตมารเข้าแทรก เว่ยอู่ฉางก็ยอมปักใจเชื่อ
แต่นางไม่มีทางตายแน่.. หากนางไม่ทำตามบทเสียอย่าง ไฉนนางจะตายได้เล่า แค่เฝ้ารอให้ทุกอย่างเป็นไปตามบท หาทางเอาตัวรอดจนถึงบทนั้นก็เพียงพอแล้วไม่ใช่หรือ จากนั้นค่อยหนีไปก็ยังไม่สาย!
"ฮึ่ม!""..."
อาเหลียงเฝ้ามองนายหญิงของตนด้วยความเป็นห่วง ตั้งแต่แม่นางสวี่ยอมสงบลงก็เห็นครุ่นคิดสิ่งใดมาตลอดทาง ใคร ๆ ต่างก็รู้ว่าแม่นางสวี่ปักใจรักมั่นเพียงแม่ทัพใหญ่เว่ยอู่ฉาง ไม่เพียงแต่ไม่สมหวังโดนบังคับแต่งงานแต่แม่ทัพใหญ่เว่ยผู้เป็นบุรุษในดวงใจยังลงมาส่งนางด้วยตัวเอง คงไม่มีสิ่งใดช้ำใจไปมากกว่าเห็นคนที่รักไร้ความรู้สึกจับนางใส่มือชายอื่นอีกคน!
"นายหญิงไม่เป็นอะไรนะเจ้าคะ" อาเหลียงมองใบหน้างดงามกว่าใครด้วยความเห็นใจ
"หืม..ขอบใจเจ้านะ"
สวี่ลี่เซียนน้ำตาปริ่ม คิดในใจว่าอย่างน้อยก็มีใครสักคนเข้าใจความทุกข์ของนาง เพียงแต่เป็นความทุกข์ที่เข้าใจไปคนละอย่างเท่านั้นเอง..
พิธีแต่งงานในวันนี้จัดขึ้นตามขนบธรรมเนียมของเผ่ามนุษย์ซะส่วนใหญ่ ด้วยชีวิตยืนยาวผู้มีร่างเซียนอย่างเรา ๆ พิธีรีตองต่าง ๆ จึงไม่มีความจำเป็นมากนัก เมื่อมีพิธีมงคลสักครั้งในรอบหลายพันปี จึงยึดถือขนบธรรมเนียมของเผ่าเบื้องล่าง ยามนี้เกี้ยวม้าไล่ระดับลงกระทั่งแตะถึงพื้นสีขาวปลุกคลุมด้วยหิมะเบื้องล่าง ทางเดินกว้างทอดยาวสู่ลานพิธีหน้าตำหนักใหญ่โอ่อ่า กำแพงสีขาวสูงจรดฟ้าล้อมรอบตัวเมืองเอาไว้
เสียงฆ้องและดนตรีบรรเลงให้ได้ยินบางเบาราวกับอยู่ห่างไกลแสนไกล ตามมาด้วยเสียงกระทบของเหล็กหนักดังกระหึ่ม กองทัพเผ่ามารเคลื่อนกำลังพลมาเพื่อต้อนรับสตรีของท่านประมุขจากแดนสวรรค์โดยเฉพาะ ต่างใจจดจ่ออยากยลโฉมสตรีผู้ได้ชื่อว่างดงามและเก่งกาจไม่เป็นรองใครผู้นี้ ด้านสวี่ลี่เซียนสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด ผ้าคลุมขนสัตว์สีขาวสะอาดบนบ่ากระเพื่อมตามจังหวะการหายใจ เมื่อลมหายใจผ่อนปรนออกจนหมดปอด นางก็ได้คิดกับตัวเองในใจเบา ๆ ว่า
ใครก็ตามที่ส่งนางมาที่นี่ แม่งกรวยจริง ๆ ค่ะ!! แง!!