“แม่อิ่มแล้วหนูจันทร์เจ้า อาหารของหนูอร่อยจังเลยคนดี ต่อไปแม่ของอ้วนขึ้นแน่ๆ เลย”
“ไม่ต้องกลัวอ้วนหรอกค่ะ อาหารพวกนี้ไม่มีไขมัน อีกอย่างเป็นเมนูปลากับผัก ถ้าคุณแม่กลัวอ้วนหนูจะชวนออกกำลังกายนะคะ”
“ออกกำลังกายอะไรล่ะ แม่น่ะเดินไม่ได้”
“ออกกำลังกายแขนขาได้ค่ะ คุณแม่แค่นอนบนเตียง หนูจะช่วยเอง” เธอพอจะรู้ข้อมูลจากประไพว่าคุณจรรยาไม่ค่อยจะทำกายภาพบำบัด เลยมีปัญหาเรื่องการเดินเหินมาจนถึงทุกวันนี้
“แม่ไพดูสิ ลูกสะใภ้ของฉัน น่ารักไหมล่ะ”
“น่ารักค่ะ” ประไพยิ้มกว้าง เห็นสะใภ้ของเจ้านายคล่องแคล่วไปเสียทุกอย่าง ทั้งข้าวปลาอาหารและการดูแลปรนนิบัติ นึกอยากรู้ว่าทำอะไรเป็นอีกบ้าง และคิดว่าน่าจะทำอะไรเป็นหลายอย่าง เธอยังนึกแปลกใจว่าลูกผู้ดีมีเงินหรือคนรวยๆ ทำงานบ้านและทุกอย่างได้เรียบร้อยขนาดนี้เชียวหรือ รึเพราะผู้เป็นมารดาอยากให้บุตรสาวเป็นกุลสตรีเวลาออกเรือน จะได้ดูแลปรนนิบัติสามีและพ่อแม่สามีได้เป็นอย่างดี จึงให้ฝึกหัดทุกอย่างจนเก่งขนาดนี้
“คุณแม่ชอบหนังสือประเภทไหนเหรอคะ เห็นคุณไพบอกว่าคุณแม่ชอบให้อ่านหนังสือให้ฟัง เดี๋ยวหนูจะอ่านให้ฟังทุกวัน”
“ธรรมะเป็นหลักจ้ะ แต่ถ้ามีหนังสืออะไรสนุกๆ คลายเครียด แม่ก็ฟังได้ทั้งนั้นแหละจ้ะ”
“งั้นหนูจะหาหนังสือมาอ่านให้คุณแม่ฟังนะคะ จะได้ผ่อนคลายและสนุกไปด้วย”
“จ้ะ หนูมัวแต่ป้อนแม่ กินอะไรบ้างหรือยังล่ะนี่” จริงๆ ท่านทานเองได้ ใช้มือสัมผัสช้อนและเอาเข้าปาก แค่มีคนคอยตักอาหารให้แค่นั้น แต่คุณจรรยาอยากจะลองใจสะใภ้อยู่เหมือนกัน และผลก็ปรากฏว่า รัตนปาตีคอยป้อนให้ท่านอย่างไม่รังเกียจ แถมยังแนะนำเมนูต่างๆ ให้ลองชิมไม่หยุด จนท่านฟังเพลิน ทานอาหารเสียหมดจาน ทั้งๆ ที่ปกติทานได้น้อยเหลือเกิน ถึงแม้ว่าอาหารจะอร่อยแค่ไหน อาจเพราะท่านเบื่อหน่ายและเหงาๆ ไม่เพลิดเพลินและมีความสุขกับเสียงเจื้อยแจ้วของใครแบบนี้ ประไพก็เงียบๆ ไม่เหมือนรัตนปาตีที่ชวนคุยเสียสนุกสนาน เผลอแป๊บเดียวอาหารก็หมดชาม
“กินแล้วค่ะ” เพราะท่านไม่ถือสา เธอก็กำลังหิว กินไปป้อนท่านไป ประไพเห็นแล้วยิ้มไม่ได้ติติงอะไร แค่อยากจะมาช่วยแต่เธอบอกว่าอยากทำเอง
รัตนปาตีคิดหวังไปว่าอย่างน้อยนำทัพกลับมาคงไม่โกรธเธอมากหรอกนะ ที่เธอไม่ใช่อรุณจันทร์ หากเธอดูแลมารดาของเขาดีอย่างที่เขาต้องการ
ทุกคนเห็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจน เมื่ออาการของคุณจรรยาดีขึ้น สดชื่นขึ้นตามลำดับ ไม่เหมือนคนแก่พิการและร่างกายอ่อนแอเหมือนก่อน แถมยังทานอาหารได้เยอะ เพราะรัตนปาตีจัดเมนูอาหารในแต่ละมื้อไม่ซ้ำกัน พักหลังๆ คุณจรรยาเป็นคนบอกเองว่าอยากทานอะไร รัตนปาตีก็จัดให้ไม่ได้ขาดตกบกพร่อง
“ตั้งแต่มีคุณจันทร์เจ้าเข้ามาอยู่ในบ้าน บ้านเราสดชื่นขึ้นว่าไหม” ช้อยซึ่งเป็นแม่ครัวใหญ่เอ่ยขึ้นกับสาวใช้คนอื่นๆ
“จริงด้วยจ้ะป้าช้อย ไม่คิดเลยว่านายหัวจะมีภรรยาจะน่ารักขนาดนี้ รู้แบบนี้พวกเรายุให้มีไปนานแล้ว”
“ใช่ว่าจะยุขึ้นเสียเมื่อไหร่” อีกคนว่า
“คุณจันทร์เจ้าเธอน่ารักเนอะป้า ทำอาหารแปลกๆ ให้นายแม่ทาน นายแม่เลยเจริญอาหาร เมื่อก่อนออกจะผอม เดี๋ยวนี้ผิวพรรณมีน้ำมีนวล ไม่ผอมเหมือนก่อน”
“ข้าเลยตกกระป๋องน่ะสิ” ป้าช้อยทำหน้าม่อย
“ใครบอกกันล่ะป้า ป้าก็ทำอาหารอร่อย แต่ป้าจะถนัดอาหารปักษ์ใต้ไง แต่คุณจันทร์เจ้าทำอาหารได้หลายอย่าง ฉันเห็นบางวันทำอาหารจีน อาหารญี่ปุ่น อาหารฝรั่งให้นายแม่ด้วย นายแม่ก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ เสียดายมองไม่เห็น ถ้ามองเห็นคงจะดีกว่านี้”
“จริงๆ นายแม่น่าจะลองผ่าตัดตาตามที่หมอบอกนะ”
“นายแม่กลัวเกิดอันตราย รู้อยู่ว่านายแม่กลัวโรงพยาบาล กลัวหมอ กลัวเข็มฉีดยา กลัวเลือดอะไรพวกนั้น”
“อย่าว่าแต่นายแม่เลย ฉันก็กลัวเข็ม ถึงหมอจะหล่อแค่ไหนก็ทำใจไม่ได้ ยิ่งหมอจิ้มเข็มที่ก้นด้วยแล้ว ยิ่งสยองจริงๆ” คนพูดทำท่าขนลุก
“นายแม่รักและเอ็นดูคุณจันทร์เจ้ามาก น่าจะให้คุณจันทร์เจ้าช่วยพูดนะป้าช้อย” อีกคนแสดงความคิดเห็น
“อันนั้นเรื่องของเจ้านาย เราจะไปพูดมากไม่ได้หรอก” รัตนปาตีที่เดินผ่านมาพอดีชะงักและขบคิด ประไพก็เคยพูดเรื่องนี้ หรือเธอจะลองพูดกับคุณจรรยาดู บางทีอาจจะเปลี่ยนใจลองเข้ารับการผ่าตัดก็เป็นได้
“คุณแม่อยากออกไปสูดอากาศข้างนอกไหมคะ” รัตนปาตีเอ่ยถามแม่สามีขณะคุกเข่านั่งลงใกล้ๆ รถเข็นของท่าน
“ก็ดีจ้ะ อยู่กับแม่ทั้งวันไม่เบื่อหรือ” ท่านเอ่ยถาม
“ไม่เบื่อหรอกค่ะ คุณแม่ก็เหมือนคุณแม่ของหนู หนูอยากดูแลให้ดีที่สุด”
“เอาสิ ออกไปสูดอากาศข้างนอกบ้างก็ดีนะ” คุณจรรยาตามใจลูกสะใภ้
“ข้างนอกสวยมากเลยนะคะคุณแม่”
“แม่ไม่ได้เห็นอะไรมานานมากแล้ว เห็นแต่ความมืดบอด”
“เพื่อนของหนูประสบอุบัติจนตาบอดทั้งสองข้าง เขาเข้ารับการผ่าตัด ตอนนี้กลับมาหายเป็นปกติดีแล้วนะคะคุณแม่”
“จริงเหรอ” คุณจรรยาถามอย่างสนใจ ท่านหวาดกลัวการผ่าตัดและไม่อยากเข้ารับการรักษามาตั้งแต่เด็ก
“จริงค่ะ เพื่อนของหนูบอกว่า จะผ่าไม่ผ่าถ้าไม่สำเร็จก็ตาบอดอยู่แล้ว แต่ถ้าผ่าสำเร็จก็จะกลับมามองเห็นอีกครั้ง ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย เพราะถ้าไม่ผ่ายังไงก็ตาบอด”
“คงเจ็บน่าดู”
“ไม่นะคะ หมอที่ชำนาญทำแค่แป๊บเดียว ไม่เจ็บเพราะเค้าให้ยาชา อีกอย่างนึงหายเร็วด้วยค่ะ”
“หมอที่ว่ามีจริงเหรอจ๊ะ”
“มีสิคะ ถ้าคุณแม่สนใจ เดี๋ยวหนูจะติดต่อกับเพื่อนให้เค้าแจ้งรายละเอียดมานะคะ หนูน่ะอยากให้คุณแม่ได้เห็นโลกภายนอกที่สดใสอีกครั้ง”
“แม่กลัวเจ็บ แม่มีความหลังที่ไม่ดีเกี่ยวกับโรงพยาบาล” ตอนคลอดนำทัพเธอก็กลัวลูกจะเป็นอะไร ดีที่สามีเข้าไปอยู่เป็นเพื่อน คอยให้กำลังใจตลอด ที่สำคัญนิรุตรู้ว่าเธอกลัวเรื่องพวกนี้ ก็ไม่เคยอยากให้เธอมีลูกอีก
“โรงพยาบาลหรือหมอก็ไม่ได้แย่ไปทุกคนหรอกนะคะ เราเอาหมอที่ชำนาญด้านนี้และรักษาเก่ง เราถามคนที่เคยรักษาว่าผลเป็นยังไง ถ้าเขาพูดเป็นเสียงเดียวกันเราก็น่าจะลองนะคะ มันไม่ได้เสียหายอะไร”
“แม่จะลองคิดดูอีกทีนะ” ท่านแบ่งรับแบ่งสู้ ใช่ว่าไม่อยากมองเห็น แต่กลัวการรักษาจริงๆ ขนาดเข็มฉีดยาท่านยังกลัว
“คุณแม่ไม่ต้องกลัวนะคะ หนูจะอยู่กับคุณแม่ตลอด”
“ขอบใจหนูมากนะจ๊ะ ตั้งแต่มีหนูมาอยู่ด้วย แม่ก็หายเหงาจริงๆ ประไพก็ไม่อยู่แล้ว” ท่านกุมมือของสะใภ้คนโปรดเอาไว้ ก่อนยิ้มเต็มใบหน้า
ประไพมอบหน้าที่การดูแลจรรยาให้รัตนปาตีก็เดินทางกลับบ้าน คุณจรรยามอบเงินให้จำนวนหนึ่งเป็นขวัญถุงในการดูแลครอบครัว ประไพบอกว่าจะหมั่นแวะเวียนมาเยี่ยมบ่อยๆ
“เป็นหน้าที่ของหนูอยู่แล้วค่ะที่จะต้องดูแลคุณแม่” มันเป็นหน้าที่จริงๆ รัตนปาตีคิดในใจ แต่ส่วนหนึ่งเธอก็ถูกชะตากับท่าน อยากดูแลท่านในฐานะญาติผู้ใหญ่คนหนึ่ง
“รอบนี้ถ้านำทัพกลับบ้าน แม่จะให้เขาพาหนูไปฮันนีมูนนะลูก เห็นว่าแต่งงานกันกะทันหัน หนูคงยังไม่มีเวลาปรับตัวกับพี่เขา พี่เขาน่ะทำงานเป็นบ้าเป็นหลัง ต่อไปแม่ฝากพี่เขากับหนูด้วยนะ ให้หนูช่วยดูแลเขาหน่อย ทำงานเยอะไปก็บอกให้พักเสียบ้าง เงินทองสำคัญก็จริง แต่สุขภาพสำคัญกว่า”
“หนูไม่อยากให้คุณนำทัพต้องลำบากน่ะค่ะ”
“อะไรกัน เรียกคุณได้ยังไง หนูต้องเรียกนำทัพว่าพี่สิจ๊ะ เรียกคุณเสียห่างเหินแบบนี้ ไม่เอาจ้ะ”
“ค่ะคุณแม่”
“นำทัพชอบกินปลาเหมือนแม่ แต่เขาชอบอาหารทะเลพวกกุ้งหอยปูหมึกด้วยนะ กลับมารอบนี้ถ้าหนูแสดงฝีมือทำอาหารให้เขาทาน รับรองว่าไปไหนไม่รอด เขาคงยังไม่ได้กินอาหารฝีมือหนูใช่ไหมจ๊ะ หรือว่าเคยกินแล้ว”