ปิ๊ด!
เสียงเครื่องหน้าห้องส่งสัญญาณเตือนหลังจากที่มือเล็กของหญิงสาวแปะการ์ดสีทองลงบนเครื่องสแกน เกิดแสงสีเขียวสว่างวาบขึ้นมาเล็กน้อย หญิงสาวค่อยๆ แง้มประตูและพาตัวเข้าไปข้างใน มืออีกข้างกอดกระเป๋าเป้ที่มียาหลากหลายชนิด รวมไปถึงยานวดแก้ฟกช้ำที่เธอมักนำมาให้เขาบ่อยๆ หลังจากสอบถามอาการของเขากับผู้ดูแลเมื่อบ่าย
หญิงสาวก้มลงถอดรองเท้าผ้าใบและวางมันเคียงคู่กับรองเท้ากีฬาของเจ้าของห้อง ย่ำเท้าเปล่าลงกับพื้นพรมแล้วเดินตรงไปที่ประตูบานใน บริเวณที่เธออยู่เป็นโถงรับแขกที่มีเฟอร์นิเจอร์หลายชนิดจัดวางเอาไว้อย่างลงตัว ในที่พักของนักกีฬาแต่ละห้องจะมีแบบนี้เหมือนกันหมด การ์ดสีทองที่อยู่ในมือของเธอก็สามารถใช้ร่วมกันได้หมดทุกห้อง หากแต่ประตูด้านในคือพื้นที่ส่วนตัวที่ต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าของห้องเท่านั้น
ก๊อกๆ
มือเล็กยกขึ้นเคาะประตู เธอยังคงเห็นแสงไฟในห้องเล็ดลอดออกมา เชื่อว่าคนนอนดึกอย่างอันโตนิโอคงยังไม่หลับ เพียงไม่นานประตูบานใหญ่ก็ถูกเปิดกว้างออก ทันทีที่เขาเห็นหญิงสาวยืนอยู่หน้าห้อง เจ้าของห้องก็รีบลากตัวเธอเข้ามาข้างในและปิดประตูทันที
“ขึ้นมาทำไม” เจ้าของห้องดุเสียงเข้ม ก้มหน้าลงใกล้ๆ หญิงสาว กัดฟันแน่น
ปาจรีย์ชูเป้ในมือของเธอ ส่งยิ้มแห้งๆ เธอรู้ตั้งแต่ต้นว่าต้องโดนดุ แต่ก็ยังดันทุรัง “ฉันเป็นห่วงคุณก็เลยซื้อยามาให้ เห็นผู้จัดการส่วนตัวของคุณบอกว่าคุณไม่ยอมไปหาหมอ”
“ฉันไม่ได้เป็นอะไรมาก” ชายหนุ่มกดเสียงต่ำบอกเล็ดลอดไรฟันตอบออกมา
“แต่หน้าคุณไม่ได้บอกฉันอย่างนั้น”
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ เธอก็ไม่ควรมาที่นี่ในเวลานี้”
“แต่ฉันก็มาแล้ว”
“เธอก็รู้ว่าหลังจบแมตช์การแข่งขันจะมีนักข่าวมาป้วนเปี้ยน เมื่อตอนกลางวันก็เพิ่งโดนผู้จัดการสนามตักเตือนไป ถ้าเรื่องนี้รู้ไปถึงหูบอสอีก เธออยากตกงานหรือไง”
“ฉันดูดีแล้ว รับรองว่าปลอดภัย ฉันเองก็ไม่ยอมเอาชีวิตการทำงานที่นี่มาเสี่ยง คุณก็รู้ว่าฉันอยากทำงานที่นี่มากแค่ไหนและเพราะอะไร”
ชายหนุ่มมองหน้าหญิงสาวเหมือนกำลังหมดความอดทนเต็มที เขาพูดเรื่องนี้กับเธอนับครั้งไม่ถ้วน แต่ก็ไม่มีครั้งไหนที่หญิงสาวยอมทำตาม แม้จะฟังอย่างตั้งอกตั้งใจทุกครั้งก็ตาม
“เธอก็รู้ว่าฉันรักเธอไม่ได้”
ใบหน้าของหญิงสาวสลดลง เขาย้ำกับเธอทุกครั้งว่ารักเธอไม่ได้ แต่หัวใจของเธอก็ไม่ยอมหยุดสักที หญิงสาวเงยหน้าขึ้นสบตาชายหนุ่มแล้วมองด้วยแววตาอาวรณ์
“ฉันก็ไม่ต้องการให้คุณรักฉันตอบ ฉันแค่อยากดูแล อยากอยู่ใกล้ อยากเห็นรอยยิ้มของคุณ แค่นั้นก็พอแล้วสำหรับฉัน ได้โปรดอย่าไล่ฉันไปอีกเลยนะ”
อันโตนิโอพ่นลมหายใจออกจากปลายจมูก ยกมือข้างขวาประสานท้ายทอยเดินวนไปวนมาอยู่สองสามรอบอย่างคิดหนัก แม้จะรู้ว่าเธออยู่ที่นี่ไม่ได้และไม่ควรมาอย่างยิ่ง แต่เธอก็กลับลงไปไม่ได้เช่นกันหากว่านักข่าวยังอยู่ด้านล่าง ผู้จัดการของเขาก็กำชับไว้ตั้งแต่หัวค่ำว่าอย่าออกไปไหน
“เธอมาที่นี่ไอซินรู้เรื่องไหม” ชายหนุ่มถามถึงผู้จัดการส่วนตัวของเขา คนที่คอยจัดการทุกเรื่องแทนทั้งหมด แม้กระทั่งส่งสาวๆ ขึ้นมาให้เขาถึงห้องโดยไม่เสียภาพลักษณ์
หญิงสาวส่ายหน้าแทนคำตอบ
“เธอไปถามเรื่องของฉันกับเขา ทำไมเขาถึงไม่รู้เรื่อง” ชายหนุ่มถามเหมือนกำลังดุเด็กตัวเล็กๆ ที่จริงเขาเห็นเธอมาตั้งแต่วัยไม่เต็มยี่สิบปี ในสายตาของเขาก็มองเธอเป็นน้องสาวคนหนึ่ง แม้ความดีและความช่างอ้อนช่างเอาใจของเธอจะค่อยๆ ทลายกำแพงน้ำแข็งในใจเขาลงทีละนิด แต่ตอนนี้เขาก็ยังไม่ได้รักเธอฉันชู้สาว
หญิงสาวก้มหน้าลงนิดหนึ่งหลบสายตาคู่คมที่จ้องมองเธอราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ หัวใจของเธอเต้นรัวทุกครั้งที่โดนดุ “ฉันหลอกถามเขา” ปาจรีย์ตอบเสียงอ่อย
ชายหนุ่มพ่นลมหายใจออกมาอีกครั้งอย่างโมโห โมโหไอซินที่ไม่ยอมทำตามคำสั่งของเขา เขาเน้นย้ำกับผู้จัดการส่วนตัวอยู่บ่อยครั้งว่าปาจรีย์เป็นเหมือนน้องสาวคนหนึ่ง เขาไม่อยากให้เธอถูกมองว่าเป็นหนึ่งในผู้หญิงของเพลย์บอยอย่างเขา
อีกเรื่องคือเขาโดนสโมสรตักเตือนคือพาผู้หญิงขึ้นห้องจนเป็นข่าวและพวกเขาต้องแถลงแก้ข่าวให้ จนพักหลังเขาพยายามที่จะไม่ให้มีข่าวเพราะเกรงใจต้นสังกัด
“แล้วรู้ไหมว่าถ้าเป็นข่าวอีกจะเกิดอะไรขึ้น”
“ก็บอกแล้วไงว่าดูดีแล้ว”
ชายหนุ่มดึงกระเป๋าเป้ออกจากมือปาจรีย์ อีกข้างกำข้อมือเล็กของเธอเอาไว้ “เอากระเป๋ามานี่” ชายหนุ่มดึงกระเป๋าพร้อมกับโยนมันไปที่โซฟา และดึงข้อมือของเธอเดินมาที่ประตู “ส่วนเธอก็กลับไปได้แล้ว ฉันจะลงไปส่ง”
“ทีอย่างนี้ไม่กลัวนักข่าวหรือไง” หญิงสาวถามกลับเสียงง้องแง้งหน้างอง้ำ ระยะเวลาสี่ปีที่เธอทำงานที่นี่ทำให้มีเธอความสนิทสนมคุ้นเคยกับชายหนุ่มมากพอสมควร
“อย่ามาทำเป็นแก่แดดนะ ฉันแก่กว่าเธอเป็นรอบ”
“ก็ไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย ก็แค่บอกว่าลงไปเจอนักข่าวจะเป็นเรื่องมากกว่าฉันลงไปคนเดียว”
“งั้นเธอก็ลงไปคนเดียวตอนนี้เลย” อันโตนิโอจูงหญิงสาวเดินผ่านส่วนรับแขกจนมาถึงหน้าห้อง ชายหนุ่มดันตัวเธอไปนอกประตู เป็นจังหวะเดียวกับที่เจ้าหน้าที่สโมสรเดินออกมาจากลิฟต์ อันโตนิโอจึงดึงตัวหญิงสาวเข้ามาในห้องอีกครั้ง
“บ้าฉิบ!” ชายหนุ่มสบถออกมาอย่างหัวเสีย
“คุณกลับเข้าไปในห้องเถอะ ฉันจะนั่งรออยู่ตรงนี้ ใกล้ๆ สว่างฉันจะลงไปเองไม่ต้องห่วง” หญิงสาวบอกพร้อมกับทรุดตัวลงนั่งบนพื้นพรมในห้องที่เป็นส่วนรับแขก
ชายหนุ่มเท้ามือข้างหนึ่งไว้กับกำแพง มืออีกข้างล้วงเข้าไปในกางเกงนอนตัวหลวม ก้มลงมองคนนั่งอย่างไม่พอใจ บอกอย่างตำหนิ
“อย่ามาทำตัวเป็นเด็กนะ”
หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองคนที่ยืนอยู่ ขบฟันเม้มริมฝีปากล่างตอบกลับเสียงอู้อี้ “ฉันรู้ว่าฉันผิด แต่ฉันก็เป็นห่วงคุณ ฉันทำแบบนี้ครั้งแรกซะที่ไหน แล้วมีไหมที่จะโดนจับได้”
“แล้วถ้าครั้งนี้มีคนจับได้ เธอไม่ใช่เหรอที่จะเดือดร้อน ฉันไม่อยากเป็นต้นเหตุให้ใครต้องตกงาน”
“หากเกิดอะไรขึ้นฉันจะไม่โทษคุณเด็ดขาด...พอใจหรือยัง”
ชายหนุ่มย่อตัวลงนั่งบนส้นเท้าตรงหน้าหญิงสาว ขายาวๆ คร่อมตัวเธอเอาไว้ โน้มใบหน้าเข้าไปใกล้ ยกนิ้วหัวแม่มือกับนิ้วชี้บีบจมูกหญิงสาวอย่างมันเขี้ยว
“นี่ยัยปลาทอง...จำไม่ได้หรือไงว่าวันนี้เพิ่งโดนคาดโทษมา อย่ามาทำเป็นอวดเก่ง”
“แค่คุณเป็นห่วงฉันก็ดีใจแล้ว” หญิงสาวเงยหน้าขึ้นบอกอย่างมีความสุข
“ฉันกำลังดุ นี่เธอจะดื้อด้านไปถึงไหน”
“ก็จะให้ทำอย่างไรล่ะ ฉันขึ้นมาแล้ว” หญิงสาวบอกเสียงอ่อยเหมือนสำนึกผิด
ชายหนุ่มจับแขนหญิงสาวให้ขยับลุกขึ้นตาม แล้วจูงแขนอีกฝ่ายพาเดินกลับเข้าไปในห้องของตัวเอง เขาเห็นความดื้อด้านของหญิงสาวมาตลอดสี่ปี จากความระอาเลยกลายเป็นความเคยชิน และความดื้อดึงของเธอก็ทำให้เขายิ้มออกมาได้เองคนเดียว เพราะในที่สุดเขาก็โกรธเธอไม่ลง ทั้งที่ปฏิเสธตัวเองว่าไม่ใช่ความรัก
“งั้นก็มานี่แล้วกัน แต่อีกสามชั่วโมงเธอต้องลงไปนะ”
ปาจรีย์ยิ้มแป้นมองมือใหญ่ที่จูงมือของเธออย่างมีความสุข เธอต้องการจากเขาเพียงเท่านี้เอง ความสุขจากการถูกเอาใจใส่ แม้จะโดนดุทุกครั้ง แต่เธอก็มองออกว่าเขาเป็นผู้ชายที่อ่อนโยนที่สุดในโลก
คนจูงมือหันกลับมามองหญิงสาวอีกครั้ง พอเห็นรอยยิ้มเต็มวงหน้าของเธอก็อดดุอีกครั้งไม่ได้
“ฉันกำลังโกรธ” เขาบอกเสียงเข้มอีกครั้ง