หลังจากที่ปาจรีย์กลับมาถึงแคลิฟอร์เนีย สิ่งแรกที่เธอทำคือติดต่อกลับไปหาอันโตนิโอ และเป็นครั้งแรกของเธอที่ชายหนุ่มถามเธออย่างเป็นห่วงร้อนรน และเป็นครั้งแรกอีกเหมือนกันที่เขาเป็นคนนัดเธอมาเจอก่อน โดยที่เธอไม่ต้องใช้ความพยายามเหมือนครั้งก่อนๆ
ปาจรีย์มารอชายหนุ่มในสวนสาธารณะก่อนเวลานัด เธอสวมชุดอำพรางตามที่ชายหนุ่มย้ำนักย้ำหนา วันนี้หญิงสาวจึงอยู่ในชุดตัวหลวมโคร่ง กางเกงแร็ปเปอร์กับหมวกแก๊ปที่สวมทับเอาไว้บนศีรษะ ดวงตาหวานของเธอถูกคาดไว้ด้วยแว่นกันแดดสีชา ทำให้สาวหวานอย่างเธอกลายเป็นหนุ่มน้อยในทันที
ร่างเล็กกวาดสายตาไปรอบๆ เพื่อมองหาร่างสูงของอันโตนิโออีกครั้ง เมื่อไม่เห็นเขาตรงจุดนัดหมายก็มองหาที่นั่งให้ตัวเองทันที จากนั้นก็หยิบกระเป๋าเป้ขึ้นมาเปิดหาหนังสือที่พกติดตัวมา ย่อตัวลงนั่งบนเก้าอี้ไม้ในสวนสาธารณะ พร้อมกับเปิดหนังสือขึ้นมาอ่านฆ่าเวลา
หากแต่ความรู้สึกของหญิงสาวไม่ได้จดจ่ออยู่ที่เนื้อหาในหน้าหนังสือเลยสักนิด เพราะคอยแต่เหลือบสายตาขึ้นมองหาคนนัดเป็นระยะ กระทั่งเลยเวลานัดไปครึ่งชั่วโมงก็ยังไร้วี่แววของเขา
“อย่าบอกว่าคุณนัดให้ฉันมารอเก้อนะอันโตนิโอ คุณจะมาล้อเล่นกับความรู้สึกของฉันตลอดเวลาไม่ได้นะ” หญิงสาวรำพึงกับตัวเอง
“รอแค่นี้ไม่ได้เลยเหรอ”
เสียงนุ่มทักขึ้นมาข้างหูของเธอ แน่นอนว่าเธอจำเสียงนี้ได้เป็นอย่างดี เธอไม่รู้สึกสักนิดว่าเขามานั่งอยู่ทางด้านหลังของเธอ
หญิงสาวรีบหันหลังกลับไปมองตามเสียง ชายหนุ่มเปิดหมวกของเขาออกพร้อมกับส่งยิ้มให้เธอ
ชุดที่เขาสวมมาทำให้ปาจรีย์หลุดขำ เขาคือตาแก่ที่นั่งอยู่ก่อนหน้า แทบจะเรียกได้ว่าเธอไม่ได้ให้ความสนใจกับเขาตั้งแต่ต้น เพราะไม่คิดว่าชายหนุ่มจะอำพรางร่างกายมากมายขนาดนี้
“อันโตนิโอ” หญิงสาวเรียกชื่อเขาอย่างตื่นเต้น ประกายความดีใจส่งผ่านทางแววตาของเธออย่างชัดเจน
บนเก้าอี้ไม้ที่หันหลังชนกันในสวนสาธารณะ สองหนุ่มสาวนั่งอยู่บนเก้าอี้คนละตัว ต่างหันหลังให้กัน ในมือของทั้งสองคนมีหนังสืออยู่ จะแตกต่างกันก็ตรงที่อันโตนิโอแต่งตัวเพิ่มอายุตัวเองขึ้นไปอีกยี่สิบปี แต่ปาจรีย์แต่งตัวลดวัยของตัวเองเป็นหนุ่มน้อยแร็ปเปอร์
สองคนหัวเราะขึ้นมาพร้อมกันเมื่อเห็นการแต่งตัวของอีกฝ่าย
“ฉันไม่รู้ว่าคุณคือตาแก่ที่นั่งอยู่ก่อน” หญิงสาวบอกด้วยแววตาขบขัน เธอยังขำการแต่งตัวของเขาไม่หาย ทุกครั้งที่เจอหน้าอันโตนิโอ มีแต่ภาพชายหนุ่มหุ่นนักกีฬามาดแมน เธอไม่นึกว่าจะได้เจอเขาในสภาพอายุอีกยี่สิบปีข้างหน้า
ชายหนุ่มยกมือยีศีรษะของหญิงสาวเป็นเชิงเย้า “ฉันก็ไม่คิดว่าเธอจะเป็นหนุ่มน้อยเหมือนกัน”
สองหนุ่มสาวเอี้ยวตัวคุยกัน หญิงสาวบิดไปทางซ้าย ชายหนุ่มบิดไปทางขวา และหันหน้ามาเจอกันตรงกลาง
“ตกลงเราจะนั่งกันอย่างนี้ใช่ไหม” ชายหนุ่มเป็นฝ่ายถามขึ้นมาก่อน เมื่อได้ยินอย่างนั้นปาจรีย์ก็รีบย้ายก้นไปนั่งข้างๆ เขาทันที ปกติอันโตนิโอจะเป็นคนทำตัวห่างเหินจากเธอ ครั้งนี้เธอจะไม่ยอมปฏิเสธเด็ดขาด เธอจะคิดว่าคำพูดประโยคเมื่อครู่เป็นการเชิญชวน
“ปกติทำกับผู้ชายอย่างนี้ทุกคนหรือเปล่า” ชายหนุ่มเย้าอีกครั้งเมื่อเห็นหญิงสาวย้ายตัวเองมานั่งข้างๆ เขา
“สิทธิพิเศษสำหรับอันโตนิโอคนเดียว” หญิงสาวตอบอย่างมั่นใจ
“เธอไปไหนมา ฉันห่วงเธอแทบแย่” ชายหนุ่มเปิดปากถามถึงเรื่องที่เขาอยากรู้เป็นที่สุด เพราะตั้งแต่มีประกาศไล่หญิงสาวออกจากงานเขาก็ไม่สามารถติดต่อเธอได้เลย
ที่จริงจะเรียกว่าไม่สามารถติดต่อได้ก็ไม่ใช่ทั้งหมด เพราะช่องทางเดียวที่เขารู้จักและสามารถติดต่อเธอได้ก็คือที่ทำงาน แต่เมื่ออีกฝ่ายถูกไล่ออกเขาก็มึนตึ้บ ก่อนจะคิดอะไรบางอย่างออกจึงให้ผู้จัดการไปขอเบอร์โทรศัพท์อพาร์ตเมนต์ของเธอมาให้ พอโทร.ไปก็ไม่มีคนรับสาย
ครั้งนี้ทำให้เขารู้ว่า เขาควรจะใส่ใจเธอให้มากกว่านี้ หากเธอเป็นอะไรขึ้นมา เขาคงรู้สึกผิดไม่น้อยที่เป็นต้นเหตุส่วนหนึ่งที่ทำให้หญิงสาวตกงาน
และนี่เป็นเหตุผลที่ทำให้ตลอดสิบกว่าวันที่ผ่านมาเขาอยู่อย่างหงุดหงิด และเมื่ออีกฝ่ายติดต่อเข้ามา เขาจึงร้อนรนและอยากเจอเธอให้เร็วที่สุด
ปาจรีย์ตาโตเมื่อได้ยินคำถามที่หลุดออกมาจากปากของชายหนุ่ม
“คุณเป็นห่วงฉันด้วยเหรอ”
“ไม่ต้องมาทำหน้าอย่างนั้น บอกฉันมาว่าเธอไปอยู่ที่ไหน เสียใจมากไหมที่ตกงาน แต่ไม่ต้องห่วงนะ ฉันให้ผู้จัดการของฉันหางานให้เธอแล้ว”
หญิงสาวมองหน้าอันโตนิโอด้วยสายตาตื้นตันเป็นประกาย พอชายหนุ่มเห็นอย่างนั้นก็รีบตอบ
“ไม่ต้องมามองหน้าฉันอย่างนั้น ฉันเองก็มีส่วนที่ทำให้เธอตกงาน บางทีหากเธอทำงานที่อื่นเราอาจจะคุยกันได้ง่ายกว่าทำงานที่เดียวกันก็ได้”
“หมายความว่า...” หญิงสาวมองหน้าชายหนุ่มด้วยแววตาเป็นประกายหวานซึ้ง มโนภาพในจินตนาการของตัวเองไปอีกอย่าง
ชายหนุ่มส่ายหน้ากับอาการของหญิงสาว ทั้งเอ็นดูปนขำ แต่เขาก็ต้องรีบอธิบายให้เธอเข้าใจก่อนที่คนตรงหน้าจะคิดเข้าข้างตัวเองไปไกลกว่านี้
“ไม่ต้องคิดไปไกลขนาดนั้น ฉันหมายความว่าฉันต้องรับผิดชอบในสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ก็ยังยืนยันคำเดิมว่าฉันไม่สามารถรักเธอได้ เข้าใจไหมยัยปลาทอง”
“คุณก็ขัดความสุขของฉันอยู่เรื่อย” หญิงสาวบอกอย่างเง้างอน
“ฉันไม่ใช่ผู้ชายที่ดีพอ และยังไม่พร้อมที่จะรักใครและหยุดอยู่ที่ใคร ฉันบอกเธอไปหลายครั้งแล้ว อย่าเสียเวลากับผู้ชายอย่างฉันเลย”
“ถ้าคุณไม่เคยรักใคร คุณไม่รู้หรอกว่าความรักมันมีอานุภาพแค่ไหน ฉันมีความสุขที่จะเป็นอย่างนี้”
“แล้วถ้าเกิดวันหนึ่งฉันมีแฟนเป็นคนอื่นล่ะ”
“ถึงวันนั้นฉันก็จะยอมรับและเดินออกมา เพราะฉันบอกตัวเองเสมอว่าฉันรักคุณข้างเดียว” หญิงสาวสารภาพกับเขาไปตามตรง
“แล้วเธอจะไม่เสียใจหรือไง หากคนที่ฉันรักไม่ใช่เธอ”
หญิงสาวส่ายหน้าน้อยๆ ก้มหน้ามองปลายเท้าของตัวเองที่เตะสลับขึ้นลงบนอากาศ “ถ้าบอกว่าไม่เสียใจคงโกหก แต่ฉันมีสติมากพอที่จะตัดใจหากวันนั้นมาถึงจริงๆ เพราะถ้าคนที่ฉันรักมีความสุข ฉันก็ควรจะมีความสุขเหมือนกัน”
มือหนาของชายหนุ่มยกขึ้นวางไว้บนศีรษะของหญิงสาว ขยี้เบาๆ อย่างเอ็นดู “เธอนี่ดื้อด้านไม่เปลี่ยน”
ปาจรีย์หันหน้ามายิ้มให้อันโตนิโอ “ก็ไม่รู้สิ...ที่จริงฉันก็ไม่อยากดื้อด้านหรอกนะ แต่ฉันก็ขัดหัวใจไม่ได้สักที”
“แล้วเสียใจมากไหมที่โดนไล่ออกจากงาน” ชายหนุ่มเปลี่ยนกลับมาถามเรื่องเดิมที่หญิงสาวยังไม่ตอบ
ปาจรีย์ส่ายหน้า “ฉันได้งานของฉันคืนแล้ว”