“ไม่แน่นอนพ่ะย่ะค่ะ เพราะกระหม่อมก็ไม่ชอบใช้ความรุนแรงเช่นเดียวกันพ่ะย่ะค่ะ”
เจ้าชายอีสดรีสส์รับโอษฐ์ ทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าการพาอัลรีน่ากลับประเทศจะเป็นไปโดยละม่อมหรือเปล่า เพราะหากมีบุคคลที่สาม ซึ่งอาจจะเป็นบุรุษเพศเข้ามาเกี่ยวข้อง พระองค์ก็ยังไม่แน่พระทัยว่าจะระงับอารมณ์โกรธกริ้วไว้ได้หรือไม่ แต่ที่แน่ๆ พระองค์ไม่มีทางทำร้ายอัลรีน่าอย่างแน่นอน สิ่งที่พระองค์จะมอบให้อัลรีน่านั้น เป็นการสั่งสอนแค่เพียงเล็กๆ น้อยๆ ที่เธอบังอาจทำให้พระองค์เสียพระพักตร์อย่างแรง
“ท่านพ่อพอจะทราบไหมพ่ะย่ะค่ะ ว่าอัลรีน่าหนีไปอยู่ที่ประเทศใด”
“อัลรีน่าขึ้นเครื่องบินสายการบินไทย ซึ่งพ่อเดาได้ไม่ยากว่าเธอต้องไปประเทศไทย บ้านเกิดของแม่เธออย่างแน่นอน”
ไม่ใช่เรื่องยากที่ประมุขผู้เป็นเจ้าของประเทศ จะขอข้อมูลการเดินทางของอัลรีน่ามาจากเจ้าหน้าที่ในสนามบิน ซึ่งไม่มีเจ้าหน้าที่คนไหนที่กล้าขัดคำสั่งและกล้าขัดความต้องการของพระองค์แม้แต่คนเดียว
“ประเทศไทยงั้นหรือ?...”
เจ้าชายอีสดรีสส์ทรงพึมพำอยู่ในลำพระศอ พร้อมกับแย้มพระสรวลเย็น จากนั้นก็หันไปตรัสกับองครักษ์เอก
“อามิล เจ้าได้ยินแล้วนี่ว่า อัลรีน่าหนีไปไปถิ่นของเจ้า”
“พ่ะย่ะค่ะ เมืองไทยเป็นบ้านเกิดของคุณแม่กระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ แม้จะอยู่ที่ดาลิยาตั้งแต่เล็กจนโต แต่กระหม่อมก็ไม่เคยลืมบ้านเกิดเมืองนอนหลังที่สองของกระหม่อม”
อามิลรับคำยิ้มๆ พอได้พูดถึงแผ่นดินที่ตนเองจากมานาน ก็ชักจะคิดถึงอาหารไทยขนมไทย รวมทั้งผลไม้รสชาติหวานฉ่ำชื่นใจ ที่ขาดไม่ได้คือรอยยิ้มพิมพ์ใจและความจริงใจที่ชาวไทยมอบให้กับแขกบ้านแขกเมืองเสมอ
“ฝ่าบาทจะไปเมืองไทยเมื่อไรพ่ะย่ะค่ะ”
อามิลอยากรู้กำหนดเวลาของการเดินทางไปยังบ้านเกิดของมารดาตนเอง จนต้องเอ่ยถามเจ้าชายหนุ่มออกมา
เจ้าชายอีสดรีสส์ทรงแย้มพระสรวลตรงมุมโอษฐ์ เริ่มสนุกกับการเดินทางไปยังสยามเมืองยิ้ม เพื่อรับคู่หมั้นสาวกลับประเทศดาลิยา จนแทบทนรอเวลานั้นไม่ไหว
“อีกหนึ่งเดือนอามิล อีกหนึ่งเดือนเราจะเดินทางไปประเทศไทย”
รถเก๋งคันงามที่กำลังตีวงโค้งแคบๆ จนเกือบเสยเสาโรมันที่แกะสลักอย่างสวยงาม พอเคลื่อนตัวมาจอดหน้าทางเข้าโรงแรมก็ดูเงอะๆ งะๆ ทำเอาพนักงานรับรถสองคนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ และอีกหนึ่งคนที่วิ่งไปเป่านกหวีด ทำสัญญาณมือให้รถเก๋งได้จอดหยุดนิ่ง ต่างก็ลุ้นระทึกว่าสารถีสาวแสนสวยจะสามารถจอดรถโดยไม่จูบก้นรถบีเอ็มดับบลิวรุ่นใหม่ล่าสุด แถมยังเป็นป้ายแดงที่จอดอยู่ด้านหน้าได้หรือเปล่า เพราะคนที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยไม่ค่อยจะเชื่อฟังเสียงนกหวีดที่เป่าให้สัญญาณสักเท่าไร
พอรถเก๋งสีขาวจอดห่างจากรถป้ายแดงได้แค่ไม่กี่นิ้ว เรียกว่าเส้นยาแดงผ่าแปด พนักงานรับรถทั้งสาม รวมทั้งสารถีสาวที่เพิ่งก้าวลงจากรถ ต่างก็พร้อมใจกันถอนหายใจเฮือกใหญ่
“เฮ้อ! ถึงสักที เดอะ คิง ออฟ คอรันดัม อาณาจักรของเฟรดร์ดิโค้ เลมาร์โค้ กว่าจะมาถึงได้นึกว่าจะไม่รอดแล้วสิเรา” หญิงสาวบ่นพึมพำพร้อมกับยิ้มหวานให้พนักงานรับรถ
“ช่วยเอารถของลิต้าไปจอดให้หน่อยได้ไหมคะ”
เสียงหวานๆ ที่ทักทายอย่างเป็นกันเอง กอปรกับใบหน้างามที่แย้มยิ้มตลอดเวลา ทำเอาพนักงานรับรถหัวใจแทบละลาย ต่างก็อ้าปากค้างจนลืมยกมือไหว้แขกที่มาเยือนโรงแรม ส่วนเจ้าของรถป้ายแดงที่เพิ่งก้าวลงจากรถ ก็แทบลืมตุ๊กตาหน้ารถที่ควงมาด้วยเช่นเดียวกัน
“ครับๆ ผมจะเอารถไปเก็บให้เดี๋ยวนี้ครับ”
พนักงานรับรถคนที่เป่านกหวีดนิ่งอึ้งอยู่นานหลายนาทีกว่าจะได้สติ แล้วรีบก้าวยาวๆ มารับกุญแจจากลูกค้าสาวแสนสวย
ปาลิตา หรือลิต้า ลูกสาวเพียงคนเดียวของครอบครัวกุลโรจน์ได้ชายตามองเจ้าของรถบีเอ็มดับบลิวป้ายแดงที่ดูท่าจะเจ้าชู้ไม่หยอก ขนาดว่ามีสาวหุ่นนางแบบยืนแนบกายก็ยังอุตส่าห์จ้องมองเธอเขม็ง และหากไม่ติดว่ามีมือเล็กๆ ที่เคลือบเล็บสีแดงสดกอดต้นแขนไว้แน่น ป่านนี้เจ้าของรถป้ายแดงคงได้ถลามาขายขนมจีบกับเธอเป็นแน่
และเพราะนึกสนุกอยากบริหารเสน่ห์เล่น หญิงสาวจึงแกล้งทำกระเป๋าถือหล่นไปกองอยู่แทบเท้า ซึ่งคนเจ้าชู้ที่จ้องมองเธอตาเป็นมัน ก็รีบมาเก็บให้อย่างรวดเร็วเช่นเดียวกัน
ผู้ที่อาสาเก็บกระเป๋าให้ได้พาร่างที่หอมฟุ้งไปด้วยกลิ่นโคโลญจ์เข้ามาใกล้เธอ แล้วยื่นกระเป๋ามาข้างหน้าพร้อมกับยิ้มให้อย่างเจ้าชู้ขณะเอ่ยบอก
“กระเป๋าครับคุณผู้หญิง”
ปาลิตาโปรยยิ้มหวาน ขณะรับกระเป๋ามาจากเจ้าของรถป้ายแดงที่แต่งตัวเสียเนี้ยบก็แอบลอบมองคู่ควงของชายคนดังกล่าว แล้วหัวเราะออกมาเบาๆ เมื่อเห็นหญิงสาวที่ทาเล็บสีแดงสดได้ตีหน้าบึ้งขึงตาใส่อย่างไม่พอใจ
“ขอบคุณมากค่ะ”
ได้บริหารเสน่ห์เล็กๆ น้อยๆ เป็นการเรียกน้ำย่อยแล้ว ปาลิตาก็ก้าวฉับๆ เข้าไปในล็อบบีของโรงแรมตรงดิ่งไปยังประชาสัมพันธ์ โดยไม่รอให้เจ้าของรถป้ายแดงได้สานสัมพันธ์ต่อ
“พี่ริค...เอ่อ...คุณเฟรดร์ดิโค้อยู่ไหมคะ”
ปาลิตาเปลี่ยนสรรพนามในการเรียกเจ้าพ่อแห่งเดอะ คิง ออฟ คอรันดัม แทบไม่ทัน พอประชา
สัมพันธ์สาวจ้องมองเธอด้วยแววตาที่ดูราวกับไม่ชอบหน้าสักเท่าไร ที่จู่ๆ ก็มาถามหาบุรุษหล่อเหลาซึ่งเป็นนายของพวกหล่อน ก็ได้แต่ถอนหายใจยาวพลางงึมงำอยูในใจอย่างเซ็งๆ
‘สงสัยคิดว่าเราเป็นคู่ควงของพี่ริคแน่เลย’
“ว่าไงคะ คุณเฟรดร์ดิโค้อยู่หรือเปล่าคะ”
เมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมตอบ ปาลิตาจึงถามอีกครั้ง คราวนี้ได้เพิ่มอารมณ์และน้ำหนักเสียงลงไปอีกนิดหนึ่ง รอคอยคำตอบจากประชาสัมพันธ์สาวอย่างใจเย็น
“ไม่ทราบว่าจะให้แจ้งคุณเฟรดร์ดิโค้ว่าใครต้องการเข้าพบคะ” แม้น้ำเสียงที่ถามออกมานั้นจะค่อนข้างแผ่วเบา แต่ก็ติดแข็งห้วนอยู่มาก
ปาลิตาตีหน้าเมื่อยขณะมองประชาสัมพันธ์สาวผู้นี้ ซึ่งเธอคาดเดาว่าคงเป็นพนักงานคนใหม่ที่อาจจะเข้ามาทำงานในโรงแรม หลังจากเธอได้ไปเรียนต่อที่อเมริกาแล้ว จึงไม่รู้ว่าเธอเป็นใคร
“บอกว่าปา...”
“คุณปาลิตา”
ปาลิตาบอกชื่อตัวเองยังไม่ครบทุกพยางค์ก็มีเสียงห้าวทุ้มทักอยู่ด้านหลัง พอหันไปตามต้นเสียงก็คลี่ยิ้มออกมาทันที เมื่อได้เห็นเลขาสารพัดประโยชน์ของเฟรดร์ดิโค้
“คุณชนุสรนั่นเอง” ปาลิตาทักทายเสียงสดใส ก่อนจะยกมือไหว้เลขาฯ หนุ่มที่กำลังยิ้มกว้างให้เธอเช่นเดียวกัน
“สวัสดีค่ะ ไม่ได้เจอกันเสียนานเลยนะคะคุณชนุสร”
ชนุสรรีบรับไหว้หญิงสาวแสนสวย พร้อมกับร้องโอดครวญออกมาเบาๆ “คุณปาลิตา! อย่าไหว้ผมเลยครับ ลูกจ้างอย่างผมต่างหากที่สมควรไหว้คุณปาลิตา”
ปาลิตาหัวเราะเบาๆ เอ่ยแก้ไขคำพูดของอีกฝ่ายเสียใหม่ “ไม่ได้หรอกค่ะ ลิต้าอายุน้อยกว่าคุณชนุสรตั้งหลายปี อีกอย่างลิต้าก็ไม่ได้เป็นเจ้านายของคุณชนุสรโดยตรง เพราะฉะนั้นคนที่อายุน้อยกว่าก็ต้องยกมือไหว้ผู้อาวุโสกว่า”
“เอ๋...คุณปาลิตากำลังจะบอกว่าผมแก่แล้วใช่ไหมครับ”
ชนุสรแซวยิ้มๆ นึกดีใจและคิดว่าเป็นบุญของตนเองที่ได้เข้ามาทำงานในโรงแรมระดับเกินห้าดาวหนึ่งเดียวในเมืองไทยอย่าง เดอะ คิง ออฟ คอรันดัม เพราะนอกจะได้รับเงินเดือนที่แพงมากโขแล้ว เขายังมีเจ้านายที่ใจดี เข้าใจหัวอกหัวใจของคนที่อยู่ใต้อาณัติ อีกทั้งญาติพี่น้องและคนรักของเฟรดร์ดิโค้ ก็ไม่เคยมีใครเบ่งอำนาจเวลาเข้ามาพักที่โรงแรมแห่งนี้ ดูอย่างปาลิตาซึ่งมีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องและมีหุ้นส่วนใน เดอะ คิง ออฟ คอรันดัม ด้วย แต่ทุกครั้งที่พบเจอกันหญิงสาวมักจะเป็นฝ่ายยกมือไหว้เขาก่อนเสมอ