“ลูกต้องเจอหญิงสาวที่งดงาม เป็นคนดี เป็นแม่บ้านศรีเรือน เหมือนท่านแม่ของลูกอย่างแน่นอน”
เจ้าชายอะดะบีตบหนักๆ บนพระอังสะกว้างของโอรส ก่อนจะดำเนินไปขึ้นรถเบนซ์คันงามที่องครักษ์ได้เปิดประตูรอรับ
“ลูกไม่หวังว่าจะเจอหญิงสาวที่เหมือนท่านแม่ทั้งร้อยเปอร์เซ็นต์ ขอแค่สักเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ ลูกก็พอใจแล้ว แต่เห็นท่าว่าจะยากเอาการ กว่าจะเจอหญิงสาวคนนั้น”
“พ่อว่าหากลูกเลิกทำตัวเป็นคาสโนว่าเมื่อไร ลูกก็จะได้พบหญิงงามที่จะมาเป็นคู่ชีวิตอย่างแน่นอน”
เจ้าชายอะดะบีทรงตรัสบอกแกมประชดเล็กน้อย จากนั้นได้ก้าวเข้าไปในรถเป็นองค์แรก ตามด้วยพระวรกายสูงใหญ่ของผู้ที่เป็นโอรส ซึ่งพอขึ้นรถได้ก็ถอนพระปัสสาสะเฮือกๆ อย่างโล่งพระอุระที่รอดพ้นจากสายตาของสาวๆ มาได้
“มารอบนี้อีสดรีสส์ดูแปลกๆ ไป ทำท่าเหมือนจะกระโดดหนีสาวๆ จากแต่ก่อนพ่อเคยเห็นวิ่งเข้าใส่พวกเธอตลอด”
เจ้าชายอะดะบีอดตรัสถามออกมาไม่ได้ เมื่อได้เห็นพระโอรสผู้หล่อเหลาแสดงพระอาการที่ดูเหมือนราวกับกลัวบรรดาสาวๆ แต่ละคนเสียหนักหนา
“โธ่...ท่านพ่อ ลูกไม่ได้เจ้าชู้ขนาดนั้นสักหน่อย”
เจ้าชายอีสดรีสส์ร้องโอดครวญต่อคำสัพยอกของพระบิดา ก่อนจะถอนพระปัสสาสะยาวอีกครั้งแล้วตรัสบอกพระบิดาที่กำลังมองมาพร้อมด้วยรอยพระสรวลอบอุ่น
“ลูกเบื่อสาวๆ พวกนี้นะพ่ะย่ะค่ะ แต่ละคนจ้องมองลูกตาเป็นมัน ราวกับลูกเป็นอาหารอันโอชะของพวกเธอ ถ้าหากลูกไม่ใช่เจ้าชายอีสดรีสส์ ไม่ใช่มกุฎราชกุมารที่จะขึ้นครองราชย์ต่อจากท่านพ่อ คงไม่มีสาวๆ คนไหนชายตาแลลูกสักคน”
เจ้าชายอะดะบีถึงกับขมวดพระขนงเข้าหากันยุ่ง เมื่อได้ยินคำบ่นเสียยืดยาวของพระโอรสที่เคยเป็นนักรักตัวยง เปลี่ยนคู่ควงไม่เคยซ้ำกัน บางวันควงถึงสองคน เช้าคนหนึ่ง ตกเย็นก็อีกคนหนึ่ง พระองค์ตบพระหัตถ์ลงไปบนพนักรถด้านหน้าที่มีองครักษ์อามิลนั่งอยู่ ก่อนจะตรัสถาม
“อามิล เจ้านายเจ้า กินยาลืมเขย่าขวดหรือเปล่า”
องครักษ์อามิลหันมายิ้มเจื่อนๆ ให้กับประมุขแห่งแผ่นดิน แล้วเอ่ยตอบไม่เต็มเสียงนัก
“เจ้าชายทรงบ่นเรื่องนี้ตั้งแต่อยู่บนเครื่องบินแล้วพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
“เพราะเหตุนี้ใช่ไหม สาวผมทองตาน้ำขาวที่มาด้วย จึงถูกกันไปอีกทาง ไม่ให้มาเดินคู่กับลูก”
ใช่ว่าสายพระเนตรอันหลักแหลมจะไม่เห็นหญิงสาวหุ่นเซ็กซีที่ใส่เสื้อผ้าบางๆ จงใจเปิดให้เห็นทุกสัดส่วนมากกว่าจะปิดให้มิด ซึ่งก้าวลงจากเครื่องบินโดยไม่ทันได้สูดอาการบริสุทธิ์ในประเทศดาลิยา ก็ถูกองครักษ์สองสามนายกันให้เดินออกไปอีกทาง ซึ่งหากเดาไม่ผิดหญิงสาวคนนั้นคงถูกจับใส่เครื่องบิน เพื่อให้เดินทางกลับไปยังประเทศที่เธอจากมา
เจ้าชายอีสดรีสส์ขึงดวงเนตรใส่อามิลเป็นการห้ามไม่ให้เอ่ยพูดไปมากกว่านี้ ก่อนจะตรัสตอบพระบิดาด้วยพระสุรเสียงที่ติดเย่อหยิ่งอยู่บ้าง
“ลอร่าได้รับค่าตอบแทนมากพอแล้ว ลูกคิดว่าเธอไม่จำเป็นต้องอยู่ที่ประเทศดาลิยา และเธอก็ไม่มีสิทธิ์มาเดินเคียงคู่กับลูกด้วย”
“พ่อได้แต่หวังให้อีสดรีสส์เจอพระชายาเร็วๆ และมีหลานให้พ่อ ก่อนที่พ่อจะแก่ตายเสียก่อน”
คราวนี้ผู้ที่เป็นพระบิดาได้โอดครวญบ้าง ไม่รู้ว่าชาตินี้จะมีพระนัดดาให้เชยชมเหมือนคนอื่นหรือเปล่า ก็ในเมื่อโอรสที่นั่งอยู่ข้างพระวรกายไม่มีทีท่าว่าจะเจออิสตรีที่ถูกพระทัยสักที ส่วนหญิงงามที่เพียบพร้อมไปเสียทุกอย่าง เหมาะสมที่จะเป็นพระชายาของเจ้าชายอีสดรีสส์ก็ได้หลบหนีไปจากแผ่นดินทะเลทรายแล้ว
เจ้าชายอีสดรีสส์ตีสีพระพักตร์ไม่สบายพระทัย เมื่อพระบิดาได้พูดถึงเรื่องอันไม่เป็นมงคลออกมา พระหัตถ์ใหญ่แข็งแกร่งที่จะรับภาระทั้งหมดมาจากพระบิดา ได้เอื้อมไปจับพระหัตถ์ของผู้ที่เป็นพระบิดามากุมไว้ พร้อมกับตรัสออกมาไม่เต็มพระสุรเสียงนัก
“ท่านพ่อ อย่าพูดถึงเรื่องความตายเลยพ่ะย่ะค่ะ ลูกสัญญาว่าหลังจากอภิเษกกับอัลรีน่าแล้ว เราสองคนจะรีบมีหลานให้ท่านพ่อเร็วที่สุด”
อามิลถึงกับตกใจรีบหันมามองพระพักตร์ของเจ้าชายอีสดรีสส์ เขาตีสีหน้าอย่างไม่เห็นด้วยกับถ้อยคำที่เจ้าชายหนุ่มได้ตรัสออกมา
ส่วนเจ้าชายอีสดรีสส์ หลังจากหลุดวาจาราวกับเป็นคำมั่นกลายๆ แล้ว ก็ได้หันพระพักตร์หนีสายพระเนตรคมกริบของพระบิดาที่กำลังจ้องมองเขม็ง พระองค์ลอบถอนพระปัสสาสะยาวกับการตัดสินพระทัยตรัสออกไปเช่นนั้น หากไม่เพราะดวงเนตรที่หม่นหมอง พระพักตร์ติดเศร้าสร้อยขณะตรัสถึง
พระนัดดาตัวเล็กๆ พระองค์คงไม่มีทางตรัสกับพระบิดาเช่นนั้น เพราะใจจริงแล้ว พระองค์ตั้งพระทัยว่าจะขอร้องพระบิดา ให้ยกเลิกความคิดที่จะให้พระองค์อภิเษกกับอัลรีน่า หรือหากพระบิดาไม่ยอม พระองค์ก็จะไปหาอัลรีน่า เพื่อพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องการยกเลิกพิธีอภิเษกที่จะถูกจัดขึ้นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
“พูดถึงอัลรีน่าแล้ว พ่อมีเรื่องจะบอกลูกด้วย”
พระสุรเสียงที่ตรัสบอกพระโอรสนั้นฟังดูไม่สบายพระทัยเท่าไร จนผู้ที่เป็นพระโอรสต้องหันมาทอดพระเนตรมองด้วยความสงสัยใคร่อยากรู้เป็นที่สุด
“ท่านพ่อบอกลูกตอนนี้เลยไม่ได้หรือพ่ะย่ะค่ะ”
เจ้าชายอีสดรีสส์ขยับพระวรกายอยู่ไม่เป็นสุข ตรัสถามพระบิดาด้วยพระทัยร้อนรุ่ม อยากได้รับคำตอบในฉับพลัน โดยหารู้ไม่ว่าอาการของพระองค์นั้นทำให้พระบิดาคิดไปอีกทาง คิดว่าพระโอรสจะต้องเสียพระทัยและเศร้าพระทัยมาก หากได้รู้ว่าอัลรีน่าได้หนีไปแล้ว
“คุยกันบนรถไม่สะดวกเท่าไร เดี๋ยวเอาไว้ถึงพระราชวังแล้วพ่อจะบอกลูกอีกที”
เจ้าชายอะดะบีตรัสบอกพระสุรเสียงเข้ม พยายามคิดหาถ้อยคำที่จะทำให้พระโอรสเจ็บปวดน้อยที่สุด เมื่อได้รับรู้เรื่องของคู่หมั้นสาว
เจ้าชายอีสดรีสส์สบตากับองครักษ์อามิล ราวกับต้องการถามผ่านสายพระเนตรว่าอีกฝ่ายรู้เรื่องของอัลรีน่าบ้างหรือเปล่า พออามิลส่ายหน้าเป็นการปฏิเสธ ก็ได้แต่ลอบถอนพระปัสสาสะ อยากให้สารถีขับรถถึงพระราชวังเร็วๆ เพราะตอนนี้พระทัยของพระองค์กำลังร้อนรุ่ม อยากรู้เรื่องของคู่หมั้นสาวที่แทบจะไม่เคยเห็นหน้าเลยตั้งแต่อีกฝ่ายเติบโตเป็นสาวว่าจะเป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้ายกันแน่
“ท่านพ่อจะบอกลูกได้หรือยัง ว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับอัลรีน่า”
เจ้าชายอีสดรีสส์เปิดฉากทันทีที่เข้ามาในห้องทรงงานของพระบิดาแล้ว โดยมีองครักษ์อามิลซึ่งได้รับอนุญาตให้เข้ามาในห้องทรงงานด้วย ได้ทำหน้าที่เป็นคนปิดประตูห้องกันเสียงเล็ดลอดออกไปภายนอก
เจ้าชายอะดะบีชี้นิ้วพระหัตถ์ไปยังเก้าอี้หลุยส์ แล้วสั่งพระโอรสจอมพระทัยร้อน
“นั่งลงก่อนอีสดรีสส์ เราต้องคุยเรื่องนี้กันยาวสักหน่อย”
ดวงเนตรคมของประมุขผู้เปี่ยมด้วยเมตตาได้หันไปทอดพระเนตรมององครักษ์เอก ซึ่งยืนอยู่ใกล้ๆ กับบานประตู เอามือประสานกันอยู่ด้านหน้า จากนั้นได้ออกคำสั่งให้มานั่งลงอีกคน
“เจ้าด้วยอามิล มานั่งใกล้ๆ เจ้านายของเจ้าสิ”
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
อามิลรับคำ แต่ไม่ได้ทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้หลุยส์ตัวที่อยู่ใกล้กับเจ้าชายอีสดรีสส์ตามที่ประมุขแห่งดาลิยาได้ชี้นิ้วพระหัตถ์บอก เขาเลือกที่จะนั่งบนพื้นพรมแทน เพราะรู้ว่าตัวเองไม่สมควรนั่งเสมอกับผู้ที่เป็นเจ้าเหนือหัว