การเดินทางร่วมกับกองคาราวานของอู๋กวงนี้สบายไม่ใช่น้อย เดิมทีอู่กวงมีน้ำใจมอบรถม้าคันงามให้พวกเขาถึงสองคัน หวังแยกโจวหลิวหยางกับกูหลี่เอ๋อร์ออกจากกัน ทว่าเป็นกูหลี่เอ๋อร์ที่ดื้อรั้นไม่ยอมรับไมตรีนี้
"ข้าเป็นสาวใช้คุณชาย จำเป็นต้องอยู่ข้างกายเขาไม่อาจให้คนผู้นั้นคลาดสายตาได้"
เหตุผลของนางทำให้หลายคนมองว่านางมิใช่สาวใช้ธรรมดา ทั้งลักษณะของกูหลี่เอ๋อร์ผู้ใดก็ล้วนมองออกว่านางมิเคยหยิบจับงานสาวใช้อันใดเลยยังมีท่าทางสูงส่งเช่นนั้นอีก
คนที่คอยปรนนิบัตินางเห็นจะเป็นโจวหลิวหยางเสียมากกว่า ดั่งเช่นเวลาถึงยามรับประทานอาหารแล้วกูหลี่เอ๋อร์ไม่ยอมกินปลาด้วยเหตุผลที่โจวหลิวหยางมองว่าช่างไร้สาระยิ่งนัก
"เจ้าอย่าเรื่องมากได้หรือไม่ ไม่รู้หรือว่าปลาดีต่อสุขภาพเพียงใด จะดื้อรั้นไปไย"
"แต่ก้างมันเยอะ ข้าเคยกินปลาแล้วก้างติดคอจึงทำให้ไม่อยากกินอีก ทรมานยิ่งนัก ข้าไม่ชอบกินปลานี่เจ้าคะ"
"มิน่าเล่าสมองของเจ้าจึงได้เล็กเท่าเม็ดถั่ว มิรู้หรือว่าการกินปลาเยอะทำให้คนฉลาด"
"ข้าไม่จำเป็นต้องอาศัยปลาก็ฉลาดเจ้าค่ะ ไม่ชอบก็คือไม่ชอบ"
โจวหลิวหยางถอนหายใจยาว
"วรยุทธ์เจ้าสูงส่งมิใช่หรือ กลัวอันใดกับก้างเล็ก ๆ พวกนี้"
"คุณชาย ข้าไม่ชอบท่านอย่าบังคับข้า"
อู๋กวงเห็นเช่นนั้นจึงเอ่ยว่า
"เป็นความผิดของข้าเองที่ไม่เตรียมการให้ดี จึงทำให้มื้อนี้มีเพียงปลาเช่นนี้ เอาไว้ข้าจะชดเชยให้พวกท่านหลังจากเข้าเมืองเจียงไปแล้ว เลี้ยงดูให้อิ่มหนำสำราญเป็นอย่างไร"
อู๋กวงคิดตำหนิพ่อครัวของเขา แต่ก็พูดไม่ออก เพราะกองเสบียงของเขาถูกเผาได้รับความเสียหายจากโจรป่า บัดนี้จึงได้แต่อาศัยจับปลาในลำธารเพื่อเป็นเสบียงระหว่างเดินทาง โชคดีที่ปลาในลำธารมีเยอะยิ่งนักพอเป็นเสบียงให้พวกเขารอดพ้นความหิวจนกว่าจะถึงเมือง
กูหลี่เอ๋อร์อย่างไรก็ไม่ยอมกิน แต่เห็นท่าทางเอาเรื่องของโจวหลิวหยางแล้วนางจึงเอ่ยเบา ๆ
"ไม่เป็นไร ข้ากินข้าวเปล่ากับน้ำแกงได้ คุณชายไม่ต้องห่วงข้า"
แต่ถึงจะเอ่ยเช่นนั้น กูหลี่เอ๋อร์ก็ไม่แตะข้าวพวกนั้น อู๋กวงจึงเอ่ยว่า
"เช่นนั้นให้ข้าเอาก้างออกให้ดีหรือไม่"
โจวหลิวหยางใช้ตะเกียบของตนเองหยุดตะเกียบของอู๋กวงเอาไว้ บุรุษสองคนต่างมองหน้ากันถ่ายทอดพลังภายในผ่านตะเกียบคล้ายกำลังต่อสู้เพื่อเอาชนะ กระทั่งกูหลี่เอ๋อร์มองพวกเขานางย่นคิ้วแล้วเอ่ยว่า
"พวกท่านชอบกินปลามากเพียงนี้หรือ จึงได้แย่งกันมีปลาอีกมากพวกท่านยังแบ่งกันได้หลายตัว"
โจวหลิวหยางยิ้มบาง เขาต้องการเอาชนะอู่กวงจึงพลั้งปากออกไป
"ไม่รบกวนคุณชายอู๋ ข้าจะทำให้นางเอง"
"คุณชายหมายความว่าท่านจะดูแลข้าหรือ"
"หุบปากของเจ้าเสีย"
เขามองนางด้วยสายตาเอือมระอา เพราะหากนางกินไม่อิ่มท้องของนางย่อมหิว และยามนั้นสตรีผู้นี้ก็จะเอาแต่ก่อกวนทำให้ผู้อื่นไม่ได้รับความสงบ สุดท้ายเขาจึงต้องลงมือแยกก้างปลาออกให้นางด้วยตัวเอง
กูหลี่เอ๋อร์ทั้งตื่นเต้นทั้งยินดี มื้อนั้นนางจึงกินข้าวมากกว่าเดิมเป็นพิเศษ ทั้งเก็บความใส่ใจของเขาเอาไว้ในใจ คนผู้นี้ปากแข็งแต่ที่ผ่านมาล้วนใส่ใจและดูแลนางเป็นอย่างดี นับวันหัวใจของนางยิ่งดำดิ่งยากที่จะถอยห่าง
สามวันต่อมาพวกเขาก็มาถึงเมืองเจียงตามกำหนด และในยามนี้ที่ส่งหนังสือแสดงฐานะให้ทหารเฝ้าประตูเมืองตรวจสอบ กูหลี่เอ๋อร์ก็ได้รู้ถึงอีกหนึ่งตัวตนของโจวหลิวหยาง
ที่แท้คนผู้นี้คือหมอเทวดาโจวผู้เลื่องชื่อ ศิษย์เพียงคนเดียวของหมอเทวดาเอ้อร์ที่ลาโลกไปเมื่อหลายปีก่อน และคนผู้นี้เคยอาศัยอยู่ที่นี่ถึงสองปีเต็มจึงทำให้เขาคุ้นเคยกับชาวเมืองเป็นอย่างดี
เพียงบอกว่านางเป็นสาวใช้ของเขา ทหารที่เฝ้าหน้าประตูเมืองก็ปล่อยคนผ่านเข้าไปโดยแทบจะไม่ตรวจสอบ ทหารที่เฝ้าประตูเมืองผู้นั้นทำความเคารพเขาทั้งน้ำตาคลอ
"ท่านแม่ของข้ายังคิดถึงท่านเสมอ ยังกำชับว่าเมื่อไหร่ที่ท่านกลับมาให้แจ้งให้ท่านแม่ทราบ หากไม่ได้ท่านครานั้นป่านนี้ข้าคงต้องส่งท่านแม่ขึ้นสวรรค์ไปแล้ว"
กูหลี่เอ๋อร์รู้ว่าเขาเก่งกาจวิชาแพทย์ส่วนหนึ่งเป็นเพราะแม่บุญธรรมถ่ายทอดให้ แต่ไม่เคยรู้มาก่อนว่าที่แท้เขายังเป็นศิษย์สายตรงเพียงคนเดียวของหมอเทวดาผู้นั้น
หลังจากเข้าเมืองมาอู๋กวงมองนางด้วยสายตาลึกล้ำ
"แม่นางหลี่เอ๋อร์ ข้าพักอยู่โรงเตี๊ยมใหญ่เจียง หากท่านต้องการพบข้าสามารถไปแจ้งคนที่นั่นได้เลย ข้ายังไม่ได้ตอบแทนบุญคุณของแม่นาง"
กูหลี่เอ๋อร์ยิ้มโบกมือ
"บุญคุณอันใด ท่านเคยช่วยข้า ข้าได้ช่วยท่าน นับว่าเราหายกันแล้ว"
"เช่นนั้นท่านจะยอมรับข้าเป็นสหายได้หรือไม่"
กูหลี่เอ๋อร์เป็นคนไม่คิดมาก และเขายังเป็นพันธมิตรทางการค้านางย่อมตอบรับด้วยรอยยิ้ม
"ได้สิ ต่อไปเรานับเป็นสหายกัน"
"ดี เช่นนั้นวันพรุ่งนี้ข้าจะเชิญแม่นางมาที่โรงเตี๊ยมได้หรือไม่ ข้ามีบางสิ่งอยากจะมอบให้ท่าน"
นางเกือบจะพยักหน้าแล้ว ทว่าจู่ ๆ ก็รู้สึกว่าขนอ่อนลุกชันยังมีคนจ้องเขม็ง นางมองมายังคนผู้นั้นเอ่ยเสียงเบา
"คุณชายของข้าต้องอนุญาตเสียก่อน เช่นนั้นข้าจะพาเขามาด้วยก็แล้วกัน"
"ข้าจะรอท่าน"
จากนั้นคนทั้งหมดจึงจากลา อู๋กวงมองตามกูหลี่เอ๋อร์โดยไม่ยอมขยับเท้า บ่าวข้างกายของเขาผู้หนึ่งเอ่ยว่า
"นายท่านจะปล่อยให้นางไปเช่นนี้หรือขอรับ"
อู๋กวงยิ้มแววตาเหี้ยมโหดในยามที่มองแผ่นหลังของโจวหลิวหยาง
"ไม่มีวัน ข้าลำบากเพียงใดกว่าจะตามหานางพบ ถึงนางจะลืมข้าไปแล้วแต่ข้าก็จะไม่มีวันปล่อยนางให้จากข้าไปอีกเป็นอันขาด นางคือสตรีของข้า ของข้าคนเดียวเท่านั้น"
กูหลี่เอ๋อร์เดินตามโจวหลิวหยางช้า ๆ จู่ ๆ เขาก็วางหมวกใบหนึ่งบนศีรษะของนาง หมวกใบนั้นเป็นหมวกที่มีผ้าโปร่งคลุมหน้า กูหลี่เอ๋อร์มองเห็นผู้คนไม่ชัดเจนจึงไม่ยอมใส่
"ถ้าเจ้าคิดถอดถือว่าขัดคำสั่ง ข้าจะส่งเจ้ากลับเมืองเผย"
กูหลี่เอ๋อร์ย่นจมูก
"ทำไมข้าต้องใส่ด้วย"
"เจ้ามักหาเรื่องเดือดร้อนให้ข้า ใส่ไว้เสียให้ข้าได้พักผ่อนไม่ต้องออกแรงตีผู้คนอีก"
เหตุผลนี้นางไม่ชอบนักเพราะเขาทำเหมือนนางเป็นตัวสร้างปัญหา แต่นางกลัวว่าเขาจะส่งนางกลับเมืองเผยจริง ๆ กูหลี่เอ๋อร์จึงยอมสวมหมวกปกคลุมใบหน้าเอาไว้
เขาพานางไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง ยิ่งเดินยิ่งห่างจากความคึกคัก กูหลี่เอ๋อร์เป็นสตรีที่ชื่นชอบความมีชีวิตชีวาของผู้คน ที่ใดคึกคักที่นั่นย่อมมีนางเสมอ เพราะนั่นหมายถึงโอกาสที่จะขยายกิจการค้าของนางให้ก้าวหน้า ทว่าบัดนี้โจวหลิวหยางกลับพานางมายังป่าไผ่แห่งหนึ่ง
"เราจะเข้าป่ากันด้วยเหตุใด ไยไม่พักโรงเตี๊ยม"
นางดึงแขนของเขาเอาไว้ ยามนี้โจวหลิวหยางไม่สะบัดมือของนางออกแล้ว เขาเพียงกล่าวว่า
"หุบปากของเจ้าสักหน่อยได้หรือไม่ ตลอดทางมานี่ข้าได้ยินเสียงพูดของเจ้าไม่หยุดหย่อน"
กูหลี่เอ๋อร์เป็นแม่ค้า การเจรจาคือชีวิตของนางหากนางเงียบก็เท่ากับนางตายแล้ว นางจึงส่งเสียง เห๊อะ ออกมาคำหนึ่ง
"เพราะข้าเอ่ยปากพูดจึงดูแลกิจการของแม่บุญธรรมได้ดี หากทำตัวเป็นใบ้เหมือนท่านก็มีแต่เจ๊งกับเจ๊งเท่านั้น นี่มิใช่นับเป็นความดีความชอบหรอกหรือ"
โจวหลิวหยางหัวเราะหยัน
"ไม่รู้ว่าคุณชายอู๋ผู้นั้นชอบสิ่งใดในตัวเจ้ากัน ข้ามองแล้วยังนึกขัน อยากรู้ก็รีบตามมา หากตามมาไม่ทันข้าจะทิ้งเจ้าเอาไว้ที่นี่"
กล่าวจบเขาก็สะบัดผ้าใช้กำลังภายในลอยหายเข้าไปในป่าไผ่
"อ้ะ ท่านจะไปที่ใด"
นางตะโกนถามเขา แต่คนผู้นั้นไม่ตอบแล้ว สุดท้ายกูหลี่เอ๋อร์ก็โจนทะยานร่างขึ้นบนท้องฟ้าพร้อมกับเสี่ยวเหมยและองครักษ์ทั้งหมด ตามติดคนผู้นั้นไปห่าง ๆ
กระทั่งมาถึงยังสถานที่หนึ่ง เรือนไผ่อันเงียบสงบหลายหลังที่ดูเหมือนจะเป็นหมู้บ้านย่อม ๆ ที่ตั้งอยู่ใจกลางป่าไผ่แห่งนี้ กูหลี่เอ๋อร์ลอยลงมาสู่พื้นก่อนจะเอ่ยถาม
"ที่นี่คือ"
องครักษ์เฉิงจั่วเป็นผู้ตอบ
"ที่นีคือสำนักหมอเทวดา แต่เดิมคุณชายก็อาศัยอยู่ที่นี่ขอรับ"