บทที่ 6 มู่ลี่เอ๋อร์ผู้น่าสงสาร

2479 คำ
หลัวเซียงเซียงกำลังนั่งคัดเลือกผ้าเนื้อดีเพื่อตัดเย็บชุดใหม่ เมื่อวานนี้นางแค่เปรยว่ายังไม่อยากกลับจวน ผู้ชายหน้าหล่อคนนั้นก็อาสาพานางไปเดินตลาดยังทำตัวเป็นคุณชายสายเปย์ซื้อของให้นางมากมาย หลัวเซียงเซียงยังเกรงใจในคราแรก กระทั่งหลิงหลิงเอ่ยห้ามเสียงเบา "คุณหนู หากรับเอาไว้เกรงจะไม่เหมาะสมนะเจ้าคะ" หลัวเซียงเซียงขมวดคิ้ว "ทำไมล่ะ คนเขาซื้อให้ไม่รับของจะเสียมารยาทนะ" หลิงหลิงจึงอธิบาย "ความจริงก่อนหน้านี้ท่านพยายามออกห่างจากคุณชายหวังเพราะเกรงว่าชินอ๋องจะเข้าใจผิดเจ้าค่ะ ครานี้ท่านได้หมั้นหมายกับชินอ๋องแล้ว การรับของจากบุรุษอื่นอาจจะทำให้ท่านถูกร้องเรียนว่ามีความประพฤติไม่เหมาะสม สั่นคลอนตำแหน่งหวางเฟยของท่านได้เจ้าค่ะ" หลัวเซียงเซียงยังอ่านนิยายมาไม่ถึงตอนนี้ เธอจึงไม่รู้ว่านางร้ายคนเดิมตัดสินใจอย่างไร แต่ฟังจากปากของหลิงหลิงแล้วเห็นทีว่านางร้ายคนนั้นที่รักชินอ๋องจนกลายเป็นคนโรคจิตคงไม่รับของจากหวังม่าแน่ ๆ หลัวเซียงเซียงยกยิ้มบาง "ดี ข้าจะรับเอาไว้ทั้งหมด ยิ่งมีคนร้องเรียนความประพฤติไม่เหมาะสมยิ่งดี" หลิงหลิงยิ่งไม่เข้าใจ ทว่าในเมื่อคุณหนูยืนกรานนางก็ไม่อาจห้ามปราม หลัวเซียงเซียงก็ดูเหมือนจะทำตัวสนิทสนมกับหวังม่ามากยิ่งขึ้น แน่นอนว่านางต้องการใช้หวังม่าเป็นเครื่องมือ ให้ชินอ๋องได้รู้เอาไว้ว่านางไม่ได้คิดอะไรกับเขาจริง ๆ "ข้าจะเป็นนางร้ายผู้แสนดีที่เปิดทางให้นางเอกกับพระเอกได้สมหวังเอง" สองวันต่อมาจวนชินอ๋อง "เจ้าว่าอย่างไรนะ นางเป็นผู้ส่งหนังสือร้องเรียนด้วยตนเองหรือ" "ขอรับท่านอ๋อง" "ไยนางทำเช่นนั้น ทำเรื่องเลวทรามแล้วแอบส่งหนังสือร้องเรียนความประพฤติตนเองเพื่อให้ข้าถอนหมั้นนี่นะ" "ขอรับเป็นเช่นนั้น" ชินอ๋องเพิ่งออกจากวังหลวงหลังฝ่าบาทเรียกเข้าเฝ้าเพื่อหารือเรื่องมีคนร้องเรียนความประพฤติของหลัวเซียงเซียงที่แม้จะมีคู่หมั้นแล้วนางยังรับของกำนัลจากบุรุษอื่น และยังเป็นบุรุษที่แสดงออกอย่างชัดเจนว่ามีใจให้นาง เห็นว่าการกระทำนี้ทำให้ชินอ๋องเสื่อมเสีย ฝ่าบาทสมควรพิจารณาโทษให้นางอย่างหนัก แต่หลังจากได้รับรายงานเรื่องนี้ ฝ่าบาทกลับเผาหนังสือร้องเรียนทิ้ง ทั้งยังไม่คิดถือโทษ ที่พระองค์เรียกเขาเข้าพบก็เพื่อจะอธิบายแทนหลัวเซียงเซียงว่านางเป็นสตรีใสซื่อย่อมจิตใจบริสุทธิ์เพียงนั้น การรับของจากคนอื่นคงรับด้วยใจใสซื่อ ย่อมไม่คิดอันใดเป็นแน่ "ชินอ๋อง เจ้าอย่าได้เข้าใจคุณหนูรองสกุลหลัวผิดไป เรื่องนี้เราได้ถามบิดาของนางแล้ว ล้วนเป็นเรื่องเข้าใจผิด" ชินอ๋องกลอกตาไปมา สตรีใสซื่อของฝ่าบาทผู้นั้นรังแกคนอื่นจนคนเขาเกลียดชังไปทั้งเมือง คงมีเพียงฝ่าบาทที่ไม่ยอมรับความจริงเพราะอำนาจของบิดาของนางบังตา กระนั้นเขาก็ยังไม่โต้แย้งอันใด "พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมทราบแล้ว" "เฮ้ย หนังสือร้องเรียนนั่นไม่รู้ส่งมาได้อย่างไร เราได้ลงโทษขันทีผู้คัดกรองหนังสือแล้ว ยังปิดปากคนพวกนั้นเสียสนิทเรื่องจะได้ไม่เล็ดลอดออกไปภายนอกให้คุณหนูรองเสื่อมเสีย เจ้าไม่ต้องกังวลเราจัดการให้ทุกอย่างแล้ว" หลงเฟยเยี่ยไม่ได้เอ่ยคำใด ความจริงเขาเองก็คิดมารายงานความผิดของหลัวเซียงเซียง คิดไม่ถึงว่าจะมีคนข้ามหน้ามารายงานเสียก่อน แต่ยามนี้รู้แล้วว่าไม่มีประโยชน์อันใด แม้หลัวเซียงเซียงจะทำตัวเป็นอันธพาลแต่ความผิดของนางมีเพียงเล็กน้อยไม่ได้สังหารผู้ใดให้ตายจนมีความผิดอาญา เขาเองในฐานะคู่หมั้นเพื่อไม่ให้ชื่อเสียงของตนเองพลอยด่างพร้อยไปด้วย จึงได้ชดใช้เงินทองและคำปลอบโยนชาวบ้านไปอย่างเหมาะสม เมื่อชาวบ้านได้รับการชดใช้ค่าเสียหาย และยังมีคำกล่าวขอโทษจากเขา แน่นอนว่าย่อมรู้สึกดีและพึงพอใจ จากนั้นเขายังรับปากว่าจะดูแลนางให้ดี ไม่ให้หลัวเซียงเซียงก่อเรื่องได้อีก ยามนี้เขาประจักษ์แก่ใจแล้ว ว่าฝ่าบาทเข้าข้างสกุลหลัวจนออกนอกหน้า คำพูดของเขาไม่อาจทำให้พระองค์ตาสว่างได้จึงได้แต่ถอดใจเก็บถ้อยคำของตนเองเอาไว้ในใจไม่เอ่ยออกไป เป็นผู้ใดที่ร้องเรียนหลัวเซียงเซียง เขาเองอยากจะมอบรางวัลให้คนผู้นั้น ช่างเป็นผู้กล้าที่ไม่เกรงกลัวอิทธิพลสกุลหลัวเลยแม้แต่น้อย คนประเภทนี้สามารถเรียกว่าวีรบุรุษได้อย่างเต็มปาก ด้วยความอยากรู้ หลังจากนั้นเขาจึงให้คนไปสืบข่าวว่าเป็นผู้ใดที่อยู่เบื้องหลัง สุดท้ายจึงได้รู้ว่าหนังสือฉบับนั้นปะปนมากับรายงานทหารของแม่ทัพหลัว คนที่ทำเรื่องนี้ได้ก็ต้องเป็นคนในจวนหลัว สุดท้ายสืบทราบมาได้ว่าเป็นหลัวเซียงเซียงเองที่สั่งการเรื่องนี้และเป็นคนร่างหนังสือร้องเรียนด้วยตนเอง ภาพวีรบุรุษในความคิดของหลงเฟยเยี่ยถูกทำลายในพริบตา ความสงสัยมากมายพุ่งชนสมองอย่างเต็มที่ นางทำเรื่องชั่วช้าด้วยตนเองแล้วก็ร้องเรียนด้วยตนเองเช่นกัน หลัวเซียงเซียงกำลังหาวิธีการให้ตนเองมัวหมองเพื่อที่ไม่ต้องการแต่งงานกับเขาเช่นนั้นหรือ สตรีผู้นั้นนับวันยิ่งมีความคิดประหลาดและซับซ้อนจนเขารู้สึกว่าตามนางไม่ทันเสียแล้ว แน่นอนว่าหลงเฟยเยี่ยหาเหตุผลไม่เจอ กระทั่งย้อนกลับไปนึกถึงคำพูดของนางที่เคยสบประมาทเขาเอาไว้ เพียงคิดถึงคำนี้ก็ทำให้โทสะของหลงเฟยเยี่ยพุ่งสูงจนยากจะระงับ! คืนนี้หลงเฟยเยี่ยฝัน เขาฝันว่าตนเองกำลังเข้าพิธีแต่งงานกับสตรีนางหนึ่งด้วยความมึนงง เมื่อเจ้าสาวถูกส่งเข้าเรือนหอ ในมือของเขามีคันชั่ง เขาค่อย ๆ ใช้คันชั่งเปิดหน้าเจ้าสาวช้า ๆ หลังจากผ้าสีแดงคลุมหน้าถูกเปิดออก ใบหน้าของเจ้าสาวยังแจ่มชัดอยู่ต่อหน้าของเขา เริ่มแรกใบหน้านั้นคือใบหน้างดงามของมู่ลี่เอ๋อร์ แน่นอนว่าหลงเฟยเยี่ยดีใจเป็นอย่างยิ่ง เขายังมีมู่ลี่เอ๋อร์ในหัวใจ สองมือใหญ่จับไหล่บอบบางของนางเอาไว้พร้อมกับรอยยิ้มกว้าง "ข้ารู้ว่าต้องเป็นเจ้า" มู่ลี่เอ๋อร์ยิ้มอ่อนหวาน จากนั้นหลงเฟยเยี่ยจึงค่อย ๆ จุมพิตนางช้า ๆ ถอดอาภรณ์ของนางออกลูบไล้เนื้อตัวขาวเนียนไปทีละส่วน กระทั่งในที่สุดสองร่างเปลือยเปล่ากอดกระหวัดเกี่ยวพันปลายลิ้น คนสองคนบรรเลงเพลงรักอย่างกระหาย ในที่สุดเขาก็เสร็จสม ทว่าสตรีในอ้อมกอดกลับทำท่าทางฟึดฟัด กระทั่งเขาได้ยินน้ำเสียงกดข่มและผิดหวังดังขึ้นด้วย "ท่านอ๋อง ท่านช่างเป็นไก่อ่อนเสียจริง ข้าเพียงถอดอาภรณ์ท่านลูบ ๆ วน ๆ สองสามทีก็เสร็จแล้ว ทำเอาข้าอารมณ์ค้าง บุรุษไร้น้ำยาเช่นท่านช่างน่าสมเพชยิ่ง" เสียงนี้มิใช่เสียงของมู่ลี่เอ๋อร์ ทว่าคือเสียงที่คุ้นหูยิ่ง หลงเฟยเยี่ยถึงกับผงะ เขาดึงร่างเล็กในอ้อมกอดให้ออกห่างตัว ยามนี้ใบหน้าของมู่ลี่เอ๋อร์เปลี่ยนไปแล้วกลับกลายเป็นใบหน้างามอย่างมารร้ายของหลัวเซียงเซียง นางยิ้มเยาะหยันพ่นคำออกมาไม่หยุด "หลงเฟยเยี่ย เจ้ามันไก่อ่อน ร่างกายขาวซีดราวไร้กำลังวังชา ไม่เหมือนท่านพี่หวังม่าของข้า ร่างกายกำยำบึกบึนคงจะทนทานแข็งแกร่งน่าดู ไม่ใช่กระจอกเป็นไก่อ่อนเช่นเจ้า" คำว่าไก่อ่อนกำลังหลอกหลอนท้าทายความสามารถของชาตรีเช่นเขา หลงเฟยเยี่ยผลักนางออก ยังได้ยินเสียงหัวเราะเหยียดหยามดังขึ้นไม่หยุด เขายกมือปิดหูทันใด ปากร้องให้นางหยุดกล่าววาจาหยาบช้าเช่นนั้น "เจ้าหุบปาก เจ้าหุบปาก หลัวเซียงเซียงหุบปาก" ในที่สุดเขาก็สะดุ้งตื่นขึ้นกลางดึก เหงื่อไหลโทรมกาย ใบหน้าเยาะหยันทั้งเสียงหัวเราะบาดหูของหลัวเซียงเซียงยังติดอยู่ในความฝัน หลงเฟยเยี่ยรู้สึกโกรธจนควันออกหู ท่ามกลางหิมะที่ตกลงมาอากาศเยียบเย็นแทบจะสังหารคน หลงเฟยเยี่ยหยิบกระบี่ประจำกายของตนเองขึ้นมา พุ่งตัวออกไปนอกเรือนแล้วกวัดแกว่งกระบี่ฝึกยุทธ์อยู่ทั้งคืน ท่ามกลางสายตางงงวยของเหล่าทหารเฝ้ายาม "เกิดอะไรขึ้นกับท่านอ๋อง จึงได้ลุกขึ้นมาฝึกกระบี่ในยามนี้กัน" วันต่อมาหลัวเซียงเซียงผิวปากเป็นทำนองเพลงอันสนุกสนานนางส่งหนังสือร้องเรียนไปให้ฝ่าบาทแล้ว ไม่นานคงถูกคนผู้นั้นถอนหมั้น รู้สึกว่าตัวเองฉลาดล้ำเลิศ ในเมื่อไม่มีใครร้องเรียนก็แค่จัดฉากร้องเรียนตัวเองขึ้นมา ฝ่าบาทได้รับฎีกาแล้วคงไม่พอใจ ชินอ๋องก็ไม่ชอบนางอยู่แล้วคงถือโอกาสนี้ขอถอนหมั้นเป็นแน่ เหอะ ง่ายราวกับปอกกล้วย คงมีแต่คนฉลาดเช่นนางจึงคิดได้ เพราะอารมณ์ดีจึงมีสีหน้าเบิกบานยิ้มแย้ม เดินออกจากเรือนด้วยท่าทางประดุจนกน้อยที่โผบินอย่างร่าเริง และเสียงผิวปากของนางก็ทำให้บ่าวในจวนถึงกับอ้าปากค้าง เรื่องเช่นนี้มีสตรีใดที่ทำเรื่องไม่สำรวมเช่นการผิวปากกันเล่า หากไม่ใช่คุณหนูรองผู้นี้ หลิงหลิงได้ยินเสียงนี้แล้วจึงรีบวิ่งมาจากมุมหนึ่งร้องโวยวายเสียงดังจนหลัวเซียงเซียงตกใจ "คุณหนูจะไปที่ใดเจ้าคะ" หลัวเซียงเซียงยิ้มงดงาม "ข้าจะไปเรือนของพี่ลี่" พี่ลี่ที่หลัวเซียงเซียงพูดถึง ก็คือเรือนของญาติผู้พี่ที่มาอาศัยชายคาบ้านของนางอยู่นั่นก็คือมู่ลี่เอ๋อร์นางเอกของเรื่องนั่นเอง หลิงหลิงรีบเดินตามมา "คิดจะไปกลั่นแกล้งญาติผู้พี่อีกหรือเจ้าคะ เห็นว่านางล้มป่วยตั้งแต่วันนั้นแล้วที่พบท่านกับท่านอ๋องอยู่ด้วยกันตามลำพัง บัดนี้ยังไม่หายดีเลย" หลิงหลิงบอกนายของตนน้ำเสียงราบเรียบ หลัวเซียงเซียงได้ยินแล้วบังเกิดความรู้สึกผิดขึ้นมาทันใด "โอ๊ะโอ๋สงสัยจะเป็นไข้ใจเสียแล้ว เอ๊ะ แล้วเจ้าลูกเต่าพระเอกนั่นก็ไม่มาเยี่ยมนางเอกหรือ" หลิงหลิงยกมือเกาหัว พระเอกนางเอกอะไรหลิงหลิงย่อมไม่เข้าใจ หลัวเซียงเซียงจึงรีบอธิบาย "ข้าหมายถึงท่านอ๋องไม่มาเยี่ยมพี่ลี่หรือ" "อ้อ ย่อมมาเจ้าค่ะ แต่คำสั่งของนายท่านย่อมไม่ให้เข้าพบเจ้าค่ะ ท่านอ๋องจึงได้แต่ฝากของเยี่ยมเอาไว้แล้วกลับไปด้วยสีหน้าผิดหวัง" "ท่านพ่อหรือ" "เจ้าค่ะ ท่านอ๋องหมั้นกับคุณหนูแล้ว ย่อมไม่สมควรพบ มู่เจี่ยเอ๋อร์[1]อีก ท่านอ๋องเองก็เข้าใจจึงได้ยอมกลับไปแต่โดยดี" "โอ้อุปสรรคระหว่างพระนางสินะ ไม่ได้การข้าต้องเข้ามาช่วยเป็นกามเทพให้พวกเขาแล้ว ต่อไปหากว่าท่านอ๋องมาอีกก็บอกคนของเราว่าให้มาแจ้งข้า" แน่นอนว่านางจะทำตัวเป็นกามเทพน้อยนำทางให้พระนางได้พบกันเอง ในขณะที่หลิงหลิงเข้าใจว่า หลัวเซียงเซียงจะถือโอกาสพบหน้าท่านอ๋องแทนมู่ลี่เอ๋อร์ นับว่าคุณหนูฉลาดล้ำยิ่งนัก "หลิงหลิงว่าแต่ว่า ญาติผู้พี่ของข้าไม่สบายมีใครมาดูแลหรือเปล่า" หลิงหลิงจึงตอบว่า "ทุกเรื่องบ่าวจัดการเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ คุณหนูไม่ต้องห่วง" หลัวเซียงเซียงชักไม่แน่ใจ การจัดการของหลิงหลิงที่ผ่านมาล้วนคือการกลั่นแกล้งคนทั้งนั้น นางจึงหันมามองสาวใช้แล้วถามออกไป "เจ้าทำอะไร ข้าแน่ใจว่าไม่ได้สั่งให้เจ้าทำอะไรสักอย่าง" หลิงหลิงยิ้มประจบ "มู่เจี่ยเอ๋อร์ป่วย ก็ห้ามท่านหมอมารักษาเหมือนเช่นเคย ตอนนี้อากาศหนาวจนบาดผิวเนื้อ บ่าวก็ให้คนลดจำนวนถ่านของนางลงมาครึ่งหนึ่ง ป่านนี้คงไม่มีถ่านเหลืออยู่แล้ว สองแม่ลูกนั่นเป็นแค่คนที่มาอาศัยยังไม่มีทรัพย์สินติดตัวมาสักอย่าง เช่นนี้ยังไม่เจียมตนคิดแย่งชินอ๋องไปจากคุณหนู เหอะ บ่าวจำขึ้นใจว่าคุณหนูสั่งว่าอย่างไร มีโอกาสก็ให้แกล้งนางที่ไม่เจียมตนมักใหญ่ใฝ่สูง ฝันไปเถิดว่าจะทำสำเร็จ ครานี้ยังแกล้งป่วยเรียกร้องความสงสารบ่าวเลยจัดการอย่างเหมาะสมเจ้าค่ะ" นั่นไง เป็นจริงดังคาดไม่ผิด หลัวเซียงเซียงอยากเอาหัวชนกำแพงตายให้รู้แล้วรู้รอด ไม่ต้องถามว่าทำไมพระเอกเคียดแค้นชิงชังนางร้าย ก็เพราะว่านางร้ายเป็นโรคจิตรังแกนางเอกขนาดนี้น่ะสิ แค่นางฟังที่หลิงหลิงพูดมายังอยากจะตบหน้าฉีกปากนางร้ายตัวดีแทนนางเอกผู้น่าสงสารเสียเอง "นี่เจ้าทรมานพี่ลี่แบบนั้นนางจะทนได้ยังไง โอ๊ย ถ้าแฟนเขารู้เข้าแล้วคิดฆ่าข้าจะทำยังไง แย่แล้ว แย่แล้ว หลัวเซียงเซียงเจ้านี่มันใจยักษ์ใจมารเป็นนางร้ายที่น่ารังเกียจจริง ๆ" หลัวเซียงเซียงบังเกิดอาการขนลุกชัน หากว่านางเอกอาการสาหัสปางตาย พระเอกคงได้หยิบดาบมาบั่นคอนางเป็นแน่ เมื่อคิดถึงเรื่องสยดสยองแล้ว หลัวเซียงเซียงก็รีบสาวเท้าวิ่งไปหามู่ลี่เอ๋อร์โดยไม่คิดชีวิต "คุณหนู ไม่วิ่งนะเจ้าคะ คุณหนู เดี๋ยวล้มเจ้าค่ะ คุณหนูจะไปที่ใดเจ้าคะ" หลัวเซียงเซียงวิ่งจนมาถึงลานกว้างกลางบ้าน นางหยุดหายใจอย่างเหนื่อยหอบ และในตอนนี้เพิ่งคิดขึ้นได้ว่า ตัวเองไม่รู้ว่าเรือนของมู่ลี่เอ๋อร์อยู่ที่ไหน "ให้ตายเถอะ หลิงหลิง ทำไมเจ้าไม่บอกข้าว่าพี่ลี่พักอยู่ที่ไหน" หลิงหลิงมีสีหน้าสงสัย "คุณหนูไปรังแกคนที่นั่นเพื่อผ่อนคลายบ่อยจะตาย ทำไมถึงจำไม่ได้แล้วเจ้าคะ" เชิงอรรถ 1. ^ เจี่ยเอ๋อร์ หมายถึงพี่สาว โดยชาวจีนมักจะเรียกต่อท้ายชื่อญาติผู้พี่เพื่อเรียกในเชิงเอ็นดู และกลายเป็นคำเรียกโดยทั่วไป
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม