บทที่ 2 : พันธะสัญญาแฟนมาเฟีย (1)

1661 คำ
“นี่เราตัดสินใจกันถูกแล้วใช่ไหมริษา” นาราเอ่ยถามเพื่อนสาวด้วยความกังวลเริ่มไม่แน่ใจกับการตัดสินใจลงไปก่อนหน้านี้ ลึกๆรู้สึกใจหายขึ้นมาระหว่างช่วยเพื่อนเก็บกระเป๋าเดินทางพร้อมออกจากห้องเช่าสี่เหลี่ยมเล็กๆที่อยู่ด้วยกันมานานหลายปี “ทำไมต้องทำหน้าเหมือนจะเป็นจะตายแบบนี้ด้วยยายนารา” “ก็แกจะจากฉันไปมีแฟน” “งานย่ะ ฉันไปทำงานไม่ได้หนีแกไปมีแฟน และเชื่อเถอะว่าเราตัดสินใจถูกแล้วที่รับงานเดือนเดียวแล้วได้เงินก้อนโต” เมริษามองหน้าเพื่อนสาวแล้วส่งยิ้มให้เพื่อให้นาราคลายกังวล ทำไมเธอจะไม่รู้ว่านาราคิดอะไรอยู่ เพราะเป็นเพื่อนกันมานานตั้งแต่สมัยอยู่บ้านเด็กกำพร้าด้วยกัน ความผูกพันใกล้ชิดนั้นสนิทสนมไม่ต่างจากพี่น้องร่วมสายเลือดเลยก็ว่าได้ “แต่แกไม่เคยรับงานแบบนี้มาก่อน ต้องไปอยู่กับผู้ชายแถมยังห่างไกลถึงต่างประเทศ แล้วแบบนี้ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับแกจะขอความช่วยเหลือจากใครได้” พูดถึงความปลอดภัยสำหรับผู้หญิงตัวเล็กๆกับผู้ชายแปลกหน้ามันก็น่าขนหัวลุกอยู่หรอกเพราะหากเกิดเป็นมิจฉาชีพหลอกลวงเธอไปขายขึ้นมาจะทำยังไง เรื่องนี้เมริษาเองก็คิดไม่ตก แต่เธอสัญญากับตัวเองแล้วว่าจะระวังตัวให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ “ไม่ต้องห่วงหรอกน่า นี่สเปรย์พริกไทย ส่วนนี่มีดสั้น และนี่ก็เครื่องซ็อตไฟฟ้าพ่วงวิชาการต่อสู่เทควันโดสายดำของฉันเข้าไปอีกต่อรับรองปลอดภัยหายห่วง” เมริษาโชว์อุปกรณ์ป้องกันตัวหลักหลายที่เธอเตรียมใส่กระเป๋าเพื่อเซฟความปลอดภัยให้กับตัวเอง เรียกได้ว่าพร้อมระดับมืออาชีพเพื่อป้องกันตัว แต่มันก็ยังไม่ช่วยให้นาราสบายใจขึ้นมาเลย “เฮ้อ! แต่ยังไงฉันก็เป็นห่วงแกอยู่ดี ฉันรู้สึกสังหรณ์ใจบางอย่างเหมือนจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับแก” นาราถอนหายใจไม่รู้จะอธิบายความรู้สึกที่ก่อเกิดขึ้นมาจนกลายเป็นความกังวลนี้ให้เพื่อนฟังยังไงดี “พูดอย่างกับฉันจะไปตายอย่างงั้นแหละ แกเป็นเพื่อนควรสนับสนุนและอวยพรให้ฉันไปทำงานแบบสบายใจและให้งานออกมาราบรื่นไม่ใช่มาทำให้รู้สึกกลัวแบบนี้” “ฉันขอโทษ แต่มันรู้สึกแบบนั้นจริงๆนี่” นาราทำหน้างอ อยากให้เพื่อได้ดีแต่อีกใจก็ไม่อยากให้เพื่อนเสี่ยง “จะว่าไปแล้วฉันก็สังหรณ์ใจเหมือนกันนะ เหมือนจะมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้น” เมริษาทำสีหน้าจริงจังจนเพื่อนสาวพลอยตื่นเต้นไปด้วย “นั่นไง ขนาดแกยังรู้สึกเลย ฉันว่าเรายกเลิกงานนี้ไปเถอะนะ รับงานเป็นตัวประกอบ งานรับเชิญรายการโชว์ค่อยๆเก็บเงินทีละนิดทีละหน่อยเหมือนเดิมดีกว่า” “ที่ฉันกำลังสังหรณ์ใจอยู่…ฉันสังหรณ์ว่าเรากำลังจะได้เปิดร้านรองเท้าต่างหาก เดือนหน้าเตรียมตัวเป็นนางซินได้เลยเพื่อน” เมริษาว่าพลางหัวเราะคิกคัก ในขณะที่นาราต้องกรอกตาบนด้วยความรู้สึกรำคาญ ‘นี่แกคิดจะเป็นห่วงตัวเองบ้างหรือเปล่าเนี่ย เมริษา!’ นาราได้แต่บ่นในใจเมื่อเพื่อนสาวไม่ให้ความร่วมมือในการยกเลิกงานแต่อย่างใด “ว่าแต่แกเถอะอยู่คนเดียวได้หรือเปล่า” คราวนี้เมริษาเป็นฝ่ายกังวลเรื่องความเป็นอยู่ของเพื่อนสาวขึ้นมาบ้าง ก่อนที่ดวงหน้างามจะฉายแววความเคร่งเครียดขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อคิดได้ว่านาราต้องทำอาหารทานเองเพราะปกตินาราไม่เคยทำอาหารทานเองเคยมีอยู่ครั้งหนึ่งที่เธออยากลองทำแล้วเกือบทำห้องเช่าไหม้ต้องชดใช้ค่าเสียหายไปหลายบาทเลยทีเดียว “ถ้าบอกว่าไม่ได้แกจะยกเลิกงานหรือหรือเปล่าล่ะ” “เปล่า! ฉันแค่อยากจะย้ำว่าห้ามแกทำอาหารเด็ดขาด อยากกินอะไรไปสั่งทานข้างนอกเอา เดี๋ยวฉันกลับมาแล้วไม่มีที่ซุกหัวนอน” “ดูเอาเถอะเพื่อนฉัน! เป็นห่วงกันมากเลย“ นาราเอ่ยประชดด้วยความหมั่นไส้ที่เพื่อนสาวย้ำหนักหนาถึงการเข้าครัวของตนเอง และที่เจ็บใจกว่านั้นคือเจ้าหล่อนเป็นห่วงตัวเองกลัวไม่มีที่ซุกหัวนอนมากกว่าจะเป็นห่วงเธอ “เอ่อน่า…มาให้กอดหน่อย” เมริษาดึงเพื่อนมากอดพลางตบไหล่เบาๆเมื่อเพื่อนสาวงอนใหญ่ สองสาวกอดกันด้วยความรักใคร่…ความเงียบปกคลุมห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆนี้พร้อมกับความรู้สึกโหยหาอาวรณ์ที่ก่อเกิดลึกขึ้นในหัวใจราวกับรับรู้ว่าอีกไม่นานความสัมพันธ์แบบเพื่อนในห้องเช่าเล็กๆนี้จะเปลี่ยนไปตลอดกาล “ใบหน้าผมมีอะไรติดอยู่งั้นเหรอ” เสียงทุ่มหนักจนเกือบจะกลายเป็นเข้มห้วนเอ่ยถาม ทำให้คนตรงหน้าที่เผลอจ้องใบหน้าหล่อเหลาสะดุ้งสุดตัวก่อนที่จะรู้สึกเสียววาบไปถึงสันหลังโดยไม่รู้ตัวจนหัวใจดวงน้อยแทบหยุดเต้นไปชั่วขณะ “เอ่อ…ปะ…เปล่าค่ะ ขอโทษที่เสียมารยาท” เมริษาเอ่ยขอโทษเสียงหล่นก่อนที่จะรีบตั้งสติให้กลับมาอย่างรวดเร็ว หลังจากที่สูญเสียความเป็นตัวเองไปชั่วขณะเมื่อพบหน้าลูกค้าหนุ่มที่เธอกำลังจะทำข้อตกลงเป็นแฟนครั้งแรก ‘คุณพระ…ตัวจริงหล่อเหลากว่าในรูปเสียอีก ถ้าหากจะบอกว่าหล่อวัวตายควายล้มนั้นยังน้อยไปต้องบอกว่าหล่อช้างตายแมมมอธล้มถึงจะถูก’ แม้จะพยายามตั้งสติเต็มที่แล้ว แต่ก็มิวายแอบฟุ้งซ่านอยู่ดีหรือถ้าจะพูดให้ถูกคือมันเลิกฟุ้งซ่านไม่ได้ต่างหาก เพราะบุรุษหนุ่มรูปงามปานเทพบุตรตรงหน้ามีเสน่ห์ดึงดูดรุนแรงชนิดที่ลอยวนเวียนอยู่ในหัวจนสลัดทิ้งออกไปเท่าไหร่ก็ไม่ยอมหลุดไปสักทีเป็นครั้งแรกที่เมริษารู้สึกแบบนี้กับเพศตรงข้ามและเป็นความรู้สึกที่เธออยากจะกลั้นใจตายเสียให้ได้เมื่อคิดว่าอีกฝ่ายไม่ใช่ชายแท้หากแต่เป็นเกย์ ‘สวรรค์ช่างใจร้ายเหลือเกิน สร้างเกย์หล่อเหลาทำใจละลาย แต่หลงเหลือชายแท้หน้าหักหน้าดำไว้ให้หดหู่ใจแทน โลกนี้ช่างไม่ยุติธรรมกับผู้หญิงเสียจริงๆ’ “นี่เป็นสัญญาข้อตกลงระหว่างเรา ทำความเข้าใจกับเอกสารข้างในซะ ไม่เข้าใจตรงไหนถามได้เดี๋ยวผมจะอธิบายให้ฟังเอง” ฟรานเซสบอกด้วยน้ำเสียงเรียบ เช่นเดียวกับใบหน้าเรียบขรึมไม่บ่งบอกอารมณ์ความรู้สึกใดใด ‘จอมเนี๊ยบ จอมเก๊ก’ นี่เป็นฉายาที่เมริษาแอบตั้งให้ชายหนุ่มในใจตั้งแต่แว๊บแรกที่เจอ ไม่ว่าเธอจะคิดอะไรแต่สิ่งที่พูดออกมาต้องตรงกันข้ามกันอย่างแน่นอน “ค่ะ” รับคำพร้อมทำตามอย่างว่าง่ายแต่เมื่อเปิดอ่านเอกสารข้างในกลับไม่รู้เรื่องอะไรเลย ไม่ใช่เพราะเธออ่านภาษาอังกฤษไม่ออก แต่เป็นเพราะอาการประหม่าที่อยู่ต่อหน้า ฟรานเซส ซานอาร์โด้ ว่าที่แฟนในอนาคตต่างหาก แม้จะพยายามตั้งสติอยู่หลายครั้งแต่ก็ไม่สามารถทำได้อยู่ดีจนในที่สุดเมริษาต้องเงยหน้าขึ้นจากเอกสารยกธงขาวยอมแพ้อย่างราบคาบ “ถ้าอ่านเรียบร้อยแล้วก็เซ็นเถอะ เลขาของผมเตรียมเอกสารพร้อมหวังว่าคุณจะพอใจกับข้อตกลงและไม่มีปัญหาอะไร” ‘พอใจกับข้อตกลงและไม่มีปัญหาอะไร มันเหมือนเป็นคำพูดที่มัดมือชกมากกว่าให้สิทธิ์ในการตัดสินใจนะคะ’ เมริษาได้แต่เถียงชายหนุ่มในใจ เพราะแม้เขาจะพูดเหมือนให้เธอได้ตัดสินใจ แต่น้ำเสียงและท่าทางของเขามันบ่งบอกชัดเจนว่าคุณต้องเซ็นและห้ามมีปัญหาอะไรเด็ดขาด แบบนี้ไม่เรียกว่าบังคับแล้วจะให้เรียกว่าอะไรดีล่ะ ฟรานเซสนิ่งมองอากัปกิริยาของเมริษาอยู่เงียบๆอย่างใจเย็น ใบหน้างามนิ่วหน้าคิ้วขมวดเหมือนกำลังไม่พอใจ หลายครั้งก็ทำปากขมุบขมิบเหมือนแอบบ่นอะไรอยู่คนเดียวจนในที่สุดเขาก็หมดความอดทน “คุณมีปัญหาอะไรหรือเปล่าเมริษา” น้ำเสียงของชายหนุ่มเข้มดุดันฟังดูน่ากลัวคล้ายคนกำลังหงุดหงิดจนเมริษารู้สึกตัวสะดุ้งเล็กน้อย “เอ่อ…” เมริษาอ้าปากค้างเมื่อคำพูดที่จะพูดก่อนหน้านี้หายเข้าไปในลำคอจนหมดสิ้นเมื่อสบเข้ากับดวงตาคมกริบเข้าอย่างจัง “ผมให้โอกาสคุณถามและระบายความไม่พอใจออกมาได้ ก่อนที่จะจรดปากกาเซ็นเอกสาร” น้ำเสียงเน้นหนักทุกถ้อยคำนั้นทำให้เมริษาต้องสูดหายใจเข้าปอดลึกๆแล้วกลั้นไว้พักหนึ่ง เพราะไม่ว่าเธอจะพอใจหรือไม่พอใจเธอมีสิทธ์เพียงระบายออกมาแต่ไม่ได้หมายความว่าจะปฏิเสธการเซ็นสัญญาได้แต่อย่างใด “ฉันจะเซ็นค่ะ” เมริษาเลือกที่จะตวัดปากกาลงในเอกสารช่องที่เป็นส่วนของเธอและเก็บคำถามคำพูดที่อยากระบายไว้ในใจแทน เพราะไม่อยากทำตัวมีปัญหาตั้งแต่ยังไม่เริ่มงาน ฟรานเซสเหยียดยิ้มที่มุมปากอย่างพอใจเมื่อเห็นเอกสารสัญญามีลายเซ็นอีกฝ่ายเรียบร้อย “เราเป็นแฟนกันเรียบร้อยแล้วและตอนนี้เงินห้าล้านถูกโอนเข้าบัญชีคุณเป็นที่เรียบร้อย” ฟรานเซสบอกพร้อมหันมาทางเลาขาหนุ่มให้นำหลักฐานการโอนเงินสดๆร้อนๆไม่ถึงนาทีมาให้หญิงสาวดู ทุกอย่างรวดเร็วทันใจเสียจนเมริษาไม่รู้ว่าเป็นความจริงหรือความฝันกันแน่ ‘มันง่ายเกินไปไหมกับการทำงานหาเงินห้าล้าน’
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม