“นี่เราตัดสินใจกันถูกแล้วใช่ไหมริษา”
นาราเอ่ยถามเพื่อนสาวด้วยความกังวลเริ่มไม่แน่ใจกับการตัดสินใจลงไปก่อนหน้านี้ ลึกๆรู้สึกใจหายขึ้นมาระหว่างช่วยเพื่อนเก็บกระเป๋าเดินทางพร้อมออกจากห้องเช่าสี่เหลี่ยมเล็กๆที่อยู่ด้วยกันมานานหลายปี
“ทำไมต้องทำหน้าเหมือนจะเป็นจะตายแบบนี้ด้วยยายนารา”
“ก็แกจะจากฉันไปมีแฟน”
“งานย่ะ ฉันไปทำงานไม่ได้หนีแกไปมีแฟน และเชื่อเถอะว่าเราตัดสินใจถูกแล้วที่รับงานเดือนเดียวแล้วได้เงินก้อนโต”
เมริษามองหน้าเพื่อนสาวแล้วส่งยิ้มให้เพื่อให้นาราคลายกังวล ทำไมเธอจะไม่รู้ว่านาราคิดอะไรอยู่ เพราะเป็นเพื่อนกันมานานตั้งแต่สมัยอยู่บ้านเด็กกำพร้าด้วยกัน ความผูกพันใกล้ชิดนั้นสนิทสนมไม่ต่างจากพี่น้องร่วมสายเลือดเลยก็ว่าได้
“แต่แกไม่เคยรับงานแบบนี้มาก่อน ต้องไปอยู่กับผู้ชายแถมยังห่างไกลถึงต่างประเทศ แล้วแบบนี้ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับแกจะขอความช่วยเหลือจากใครได้”
พูดถึงความปลอดภัยสำหรับผู้หญิงตัวเล็กๆกับผู้ชายแปลกหน้ามันก็น่าขนหัวลุกอยู่หรอกเพราะหากเกิดเป็นมิจฉาชีพหลอกลวงเธอไปขายขึ้นมาจะทำยังไง เรื่องนี้เมริษาเองก็คิดไม่ตก แต่เธอสัญญากับตัวเองแล้วว่าจะระวังตัวให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า นี่สเปรย์พริกไทย ส่วนนี่มีดสั้น และนี่ก็เครื่องซ็อตไฟฟ้าพ่วงวิชาการต่อสู่เทควันโดสายดำของฉันเข้าไปอีกต่อรับรองปลอดภัยหายห่วง”
เมริษาโชว์อุปกรณ์ป้องกันตัวหลักหลายที่เธอเตรียมใส่กระเป๋าเพื่อเซฟความปลอดภัยให้กับตัวเอง เรียกได้ว่าพร้อมระดับมืออาชีพเพื่อป้องกันตัว แต่มันก็ยังไม่ช่วยให้นาราสบายใจขึ้นมาเลย
“เฮ้อ! แต่ยังไงฉันก็เป็นห่วงแกอยู่ดี ฉันรู้สึกสังหรณ์ใจบางอย่างเหมือนจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับแก”
นาราถอนหายใจไม่รู้จะอธิบายความรู้สึกที่ก่อเกิดขึ้นมาจนกลายเป็นความกังวลนี้ให้เพื่อนฟังยังไงดี
“พูดอย่างกับฉันจะไปตายอย่างงั้นแหละ แกเป็นเพื่อนควรสนับสนุนและอวยพรให้ฉันไปทำงานแบบสบายใจและให้งานออกมาราบรื่นไม่ใช่มาทำให้รู้สึกกลัวแบบนี้”
“ฉันขอโทษ แต่มันรู้สึกแบบนั้นจริงๆนี่”
นาราทำหน้างอ อยากให้เพื่อได้ดีแต่อีกใจก็ไม่อยากให้เพื่อนเสี่ยง
“จะว่าไปแล้วฉันก็สังหรณ์ใจเหมือนกันนะ เหมือนจะมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้น”
เมริษาทำสีหน้าจริงจังจนเพื่อนสาวพลอยตื่นเต้นไปด้วย
“นั่นไง ขนาดแกยังรู้สึกเลย ฉันว่าเรายกเลิกงานนี้ไปเถอะนะ รับงานเป็นตัวประกอบ งานรับเชิญรายการโชว์ค่อยๆเก็บเงินทีละนิดทีละหน่อยเหมือนเดิมดีกว่า”
“ที่ฉันกำลังสังหรณ์ใจอยู่…ฉันสังหรณ์ว่าเรากำลังจะได้เปิดร้านรองเท้าต่างหาก เดือนหน้าเตรียมตัวเป็นนางซินได้เลยเพื่อน”
เมริษาว่าพลางหัวเราะคิกคัก ในขณะที่นาราต้องกรอกตาบนด้วยความรู้สึกรำคาญ
‘นี่แกคิดจะเป็นห่วงตัวเองบ้างหรือเปล่าเนี่ย เมริษา!’
นาราได้แต่บ่นในใจเมื่อเพื่อนสาวไม่ให้ความร่วมมือในการยกเลิกงานแต่อย่างใด
“ว่าแต่แกเถอะอยู่คนเดียวได้หรือเปล่า”
คราวนี้เมริษาเป็นฝ่ายกังวลเรื่องความเป็นอยู่ของเพื่อนสาวขึ้นมาบ้าง ก่อนที่ดวงหน้างามจะฉายแววความเคร่งเครียดขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อคิดได้ว่านาราต้องทำอาหารทานเองเพราะปกตินาราไม่เคยทำอาหารทานเองเคยมีอยู่ครั้งหนึ่งที่เธออยากลองทำแล้วเกือบทำห้องเช่าไหม้ต้องชดใช้ค่าเสียหายไปหลายบาทเลยทีเดียว
“ถ้าบอกว่าไม่ได้แกจะยกเลิกงานหรือหรือเปล่าล่ะ”
“เปล่า! ฉันแค่อยากจะย้ำว่าห้ามแกทำอาหารเด็ดขาด อยากกินอะไรไปสั่งทานข้างนอกเอา เดี๋ยวฉันกลับมาแล้วไม่มีที่ซุกหัวนอน”
“ดูเอาเถอะเพื่อนฉัน! เป็นห่วงกันมากเลย“
นาราเอ่ยประชดด้วยความหมั่นไส้ที่เพื่อนสาวย้ำหนักหนาถึงการเข้าครัวของตนเอง และที่เจ็บใจกว่านั้นคือเจ้าหล่อนเป็นห่วงตัวเองกลัวไม่มีที่ซุกหัวนอนมากกว่าจะเป็นห่วงเธอ
“เอ่อน่า…มาให้กอดหน่อย”
เมริษาดึงเพื่อนมากอดพลางตบไหล่เบาๆเมื่อเพื่อนสาวงอนใหญ่ สองสาวกอดกันด้วยความรักใคร่…ความเงียบปกคลุมห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆนี้พร้อมกับความรู้สึกโหยหาอาวรณ์ที่ก่อเกิดลึกขึ้นในหัวใจราวกับรับรู้ว่าอีกไม่นานความสัมพันธ์แบบเพื่อนในห้องเช่าเล็กๆนี้จะเปลี่ยนไปตลอดกาล
“ใบหน้าผมมีอะไรติดอยู่งั้นเหรอ”
เสียงทุ่มหนักจนเกือบจะกลายเป็นเข้มห้วนเอ่ยถาม ทำให้คนตรงหน้าที่เผลอจ้องใบหน้าหล่อเหลาสะดุ้งสุดตัวก่อนที่จะรู้สึกเสียววาบไปถึงสันหลังโดยไม่รู้ตัวจนหัวใจดวงน้อยแทบหยุดเต้นไปชั่วขณะ
“เอ่อ…ปะ…เปล่าค่ะ ขอโทษที่เสียมารยาท”
เมริษาเอ่ยขอโทษเสียงหล่นก่อนที่จะรีบตั้งสติให้กลับมาอย่างรวดเร็ว หลังจากที่สูญเสียความเป็นตัวเองไปชั่วขณะเมื่อพบหน้าลูกค้าหนุ่มที่เธอกำลังจะทำข้อตกลงเป็นแฟนครั้งแรก
‘คุณพระ…ตัวจริงหล่อเหลากว่าในรูปเสียอีก ถ้าหากจะบอกว่าหล่อวัวตายควายล้มนั้นยังน้อยไปต้องบอกว่าหล่อช้างตายแมมมอธล้มถึงจะถูก’
แม้จะพยายามตั้งสติเต็มที่แล้ว แต่ก็มิวายแอบฟุ้งซ่านอยู่ดีหรือถ้าจะพูดให้ถูกคือมันเลิกฟุ้งซ่านไม่ได้ต่างหาก เพราะบุรุษหนุ่มรูปงามปานเทพบุตรตรงหน้ามีเสน่ห์ดึงดูดรุนแรงชนิดที่ลอยวนเวียนอยู่ในหัวจนสลัดทิ้งออกไปเท่าไหร่ก็ไม่ยอมหลุดไปสักทีเป็นครั้งแรกที่เมริษารู้สึกแบบนี้กับเพศตรงข้ามและเป็นความรู้สึกที่เธออยากจะกลั้นใจตายเสียให้ได้เมื่อคิดว่าอีกฝ่ายไม่ใช่ชายแท้หากแต่เป็นเกย์
‘สวรรค์ช่างใจร้ายเหลือเกิน สร้างเกย์หล่อเหลาทำใจละลาย แต่หลงเหลือชายแท้หน้าหักหน้าดำไว้ให้หดหู่ใจแทน โลกนี้ช่างไม่ยุติธรรมกับผู้หญิงเสียจริงๆ’
“นี่เป็นสัญญาข้อตกลงระหว่างเรา ทำความเข้าใจกับเอกสารข้างในซะ ไม่เข้าใจตรงไหนถามได้เดี๋ยวผมจะอธิบายให้ฟังเอง”
ฟรานเซสบอกด้วยน้ำเสียงเรียบ เช่นเดียวกับใบหน้าเรียบขรึมไม่บ่งบอกอารมณ์ความรู้สึกใดใด
‘จอมเนี๊ยบ จอมเก๊ก’
นี่เป็นฉายาที่เมริษาแอบตั้งให้ชายหนุ่มในใจตั้งแต่แว๊บแรกที่เจอ ไม่ว่าเธอจะคิดอะไรแต่สิ่งที่พูดออกมาต้องตรงกันข้ามกันอย่างแน่นอน
“ค่ะ”
รับคำพร้อมทำตามอย่างว่าง่ายแต่เมื่อเปิดอ่านเอกสารข้างในกลับไม่รู้เรื่องอะไรเลย ไม่ใช่เพราะเธออ่านภาษาอังกฤษไม่ออก แต่เป็นเพราะอาการประหม่าที่อยู่ต่อหน้า ฟรานเซส ซานอาร์โด้ ว่าที่แฟนในอนาคตต่างหาก แม้จะพยายามตั้งสติอยู่หลายครั้งแต่ก็ไม่สามารถทำได้อยู่ดีจนในที่สุดเมริษาต้องเงยหน้าขึ้นจากเอกสารยกธงขาวยอมแพ้อย่างราบคาบ
“ถ้าอ่านเรียบร้อยแล้วก็เซ็นเถอะ เลขาของผมเตรียมเอกสารพร้อมหวังว่าคุณจะพอใจกับข้อตกลงและไม่มีปัญหาอะไร”
‘พอใจกับข้อตกลงและไม่มีปัญหาอะไร มันเหมือนเป็นคำพูดที่มัดมือชกมากกว่าให้สิทธิ์ในการตัดสินใจนะคะ’
เมริษาได้แต่เถียงชายหนุ่มในใจ เพราะแม้เขาจะพูดเหมือนให้เธอได้ตัดสินใจ แต่น้ำเสียงและท่าทางของเขามันบ่งบอกชัดเจนว่าคุณต้องเซ็นและห้ามมีปัญหาอะไรเด็ดขาด แบบนี้ไม่เรียกว่าบังคับแล้วจะให้เรียกว่าอะไรดีล่ะ
ฟรานเซสนิ่งมองอากัปกิริยาของเมริษาอยู่เงียบๆอย่างใจเย็น ใบหน้างามนิ่วหน้าคิ้วขมวดเหมือนกำลังไม่พอใจ หลายครั้งก็ทำปากขมุบขมิบเหมือนแอบบ่นอะไรอยู่คนเดียวจนในที่สุดเขาก็หมดความอดทน
“คุณมีปัญหาอะไรหรือเปล่าเมริษา”
น้ำเสียงของชายหนุ่มเข้มดุดันฟังดูน่ากลัวคล้ายคนกำลังหงุดหงิดจนเมริษารู้สึกตัวสะดุ้งเล็กน้อย
“เอ่อ…”
เมริษาอ้าปากค้างเมื่อคำพูดที่จะพูดก่อนหน้านี้หายเข้าไปในลำคอจนหมดสิ้นเมื่อสบเข้ากับดวงตาคมกริบเข้าอย่างจัง
“ผมให้โอกาสคุณถามและระบายความไม่พอใจออกมาได้ ก่อนที่จะจรดปากกาเซ็นเอกสาร”
น้ำเสียงเน้นหนักทุกถ้อยคำนั้นทำให้เมริษาต้องสูดหายใจเข้าปอดลึกๆแล้วกลั้นไว้พักหนึ่ง เพราะไม่ว่าเธอจะพอใจหรือไม่พอใจเธอมีสิทธ์เพียงระบายออกมาแต่ไม่ได้หมายความว่าจะปฏิเสธการเซ็นสัญญาได้แต่อย่างใด
“ฉันจะเซ็นค่ะ”
เมริษาเลือกที่จะตวัดปากกาลงในเอกสารช่องที่เป็นส่วนของเธอและเก็บคำถามคำพูดที่อยากระบายไว้ในใจแทน เพราะไม่อยากทำตัวมีปัญหาตั้งแต่ยังไม่เริ่มงาน ฟรานเซสเหยียดยิ้มที่มุมปากอย่างพอใจเมื่อเห็นเอกสารสัญญามีลายเซ็นอีกฝ่ายเรียบร้อย
“เราเป็นแฟนกันเรียบร้อยแล้วและตอนนี้เงินห้าล้านถูกโอนเข้าบัญชีคุณเป็นที่เรียบร้อย”
ฟรานเซสบอกพร้อมหันมาทางเลาขาหนุ่มให้นำหลักฐานการโอนเงินสดๆร้อนๆไม่ถึงนาทีมาให้หญิงสาวดู ทุกอย่างรวดเร็วทันใจเสียจนเมริษาไม่รู้ว่าเป็นความจริงหรือความฝันกันแน่
‘มันง่ายเกินไปไหมกับการทำงานหาเงินห้าล้าน’