สามเดือนผ่านไป
ณ ห้องสูทหรู ชั้นบนสุดของโรงแรมใจกลางเมืองกรุง
“เรื่องที่ฉันสั่งให้ไปทำเรียบร้อยดีหรือยัง”
ฟรานเซสเอ่ยถามนิโคลเลขาคนสนิทด้วยน้ำเสียงทรงอำนาจน่าเกรงขามขณะนั่งไขว่ห้างอยู่บนโซฟาหรูของโรงแรม ในมือจับแก้วไวน์กวาดวนไปมาช้าๆรอฟังคำตอบอย่างใจเย็น
“เรียบร้อยครับท่าน นี่คือข้อมูลของคุณเมริษาที่ท่านให้ไปสืบครับ”
นิโคลตอบเสียงหนักแน่น ก่อนจะวางแฟ้มเอกสารในมือลงบนโต๊ะกระจกตรงหน้าเจ้านาย ฟรานเซสสบสายตาลูกน้องนิ่งลึกชนิดที่ทำให้ลูกน้องคนสนิทต้องกลืนน้ำลายลงคออย่างฝืดเคืองโดยไม่รู้ตัว
“ชื่อเมริษางั้นเหรอ”
เสียงทุ่มดังผ่านริมฝีปากหยักได้รูป นัยน์ตาคมกริบสีดำสนิทจับจ้องมาที่แฟ้มเอกสารบนโต๊ะตรงหน้า ใบหน้าหล่อเหลาเหยียดยิ้มที่มุมปากออกมาแบบร้ายๆอย่างพอใจ
‘เมริษา เวลาใกล้เข้ามาแล้วสินะ ไม่รู้ว่าเธอหรือฉันกันแน่ที่ต้องตกนรก’
เกิดเป็นชายหน้าตาหล่อเหลา มีเงินทองและอำนาจล้นฟ้าแต่กลับไร้หัวใจ ความรักหน้าตาเป็นแบบไหนเขาละอยากจะเห็นหน้าตามันเสียจริงๆ หากหาซื้อมาได้ด้วยเงินทองเขาจะไม่ลังเลควักมันจ่ายทันที แต่เพราะเงินไม่สามารถซื้อมันมาได้เขาเลยไม่เคยเห็นหน้าตาของความรักสักที ฟรานเซสคิดในใจอย่างเย้อหยันตัวเอง ใบหน้าหล่อเหลาเครียดขรึมขึ้นมาเมื่อคิดถึงสิ่งที่ตนนั้นขาดไป
หลังจากมาเมืองไทยครั้งก่อนทำให้มาเฟียหนุ่มต้องกลับไปคิดทบทวนคำพูดของยายชมพูใหม่อย่างจริงจัง ตลอดสามเดือนที่เขากลับไปอิตาลีทุกคืนเขาต้องใช้เวลากับสาวๆไม่ซ้ำหน้าและใช้เวลานานกว่าที่ผ่านมาเพื่อพิจารณาความรู้สึกตัวเองว่ามีใครเข้าข่ายโดนใจถึงขนาดอยากจับมาทำแฟน แต่คนแล้วคนเล่าก็จบแค่เรื่องเซ็กส์ไม่มีใครทำให้หัวใจเขาหวั่นไหวได้เลยแม้แต่คนเดียว
นี่เลยเป็นเหตุที่ทำให้เขาต้องให้เลขาตามหาสาวสักคนที่เชี่ยวชาญในเรื่องความรักมาให้ก่อนที่เขาจะกลายเป็นคนไร้หัวใจอย่างที่ยายชมพูว่าไว้จริงๆ
ฟรานเซสจำได้ว่าเคยดูรายการอาหารตอนมาเมืองไทยครั้งก่อน มีดาราสาวคนที่เขาแอบจินตนาการถึงเรือนร่างใต้ร่มผ้าของเธอได้พูดถึงนิยามอาหารของตนว่า
‘ถ้าเปรียบความรักเป็นดั่งอาหาร นิยามความรักของฉันคือเมนูเกงเขียวหวานค่ะ เพราะมีทั้งรสหวาน มัน และเผ็ดนิดๆสร้างสีสันให้กับชีวิตคู่ไม่ให้น่าเบื่อจนเกินไป’
ไม่ว่าจะเป็นความพึงพอใจในรูปร่างหน้าตาของเธอ หรือ เพราะนิยามความรักที่เธอบังเอิญเปรียบเทียบกับเมนูโปรดของเขา ฟราสเซสก็ยกตำแหน่งว่าที่แฟนให้กับเธอไปเรียบร้อยแล้ว
ฟรานเซสกรอกไวน์เข้าปากรวดเดียวหมดก่อนจะวางแก้วลงบนโต๊ะกระจกตรงหน้า มือใหญ่ฉวยแฟ้มเอกสารที่เลขาวางไว้ขึ้นมาเปิดอ่านด้วยความตั้งใจ ดวงตาคมกริบดุลพญาเหยี่ยวกวาดไปทุกตัวอักษรจากนั้นก็เลื่อนสายตามาที่ภาพดาราสาวหยุดมองนิ่งนานราวกับนักล่าที่กำลังจ้องมองเหยื่ออันโอชะและรอวันที่จะได้ลิ้มลอง
“เมริษา อายุยี่สิบเจ็ดปี กำพร้าพ่อแม่ตั้งแต่อายุสิบขวบ ปัจจุบันเรียนจบปริญญาตรี”
ฟรานเซสหยุดอ่านข้อมูลชั่วคราวพลางขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างใช้ความคิด และดูเหมือนเขาจะคิดดังเกินไป
“กำพร้าตั้งแต่สิบขวบแต่เรียนจบปริญญาตรี ใครส่งเสียเลี้ยงดูเธอกัน”
พึมพำกับตัวเองเบาๆ แต่ก็ดังพอที่นิโคลซึ่งยืนอยู่ใกล้ๆได้ยินเลยตอบคำถามให้เสียเลย
“ข้อมูลที่เราสืบมาได้คือหลังจากพ่อแม่เธอเสียชีวิต คุณเมริษาได้ย้ายไปอยู่บ้านเด็กกำพร้าจากนั้นพอโตขึ้นก็เริ่มหารายได้โดยการเป็นนักแสดงตัวประกอบและรับจ้างงานเล็กๆน้อยๆส่งเสียตัวเองเรียนจนจบครับ”
“เป็นคนสู้ชีวิตว่างั้น”
“ก็ประมาณนั้นแหละครับ ปัจจุบันเธอเป็นที่รู้จักในบทบาทนักแสดงสาวอารมณ์ดี และรับจ้างให้คำปรึกษาในเรื่องความรักหลากหลายรูปแบบ หรือจะเรียกเธอว่าผู้เชี่ยวชาญในเรื่องความรักก็ได้ครับ”
นั่นเป็นคำอธิบายของนิโคลเพิ่มเติมหลังจากที่เห็นเจ้านายนิ่งมองรูปดาราสาวอยู่นานและไม่ยอมอ่านต่อ
“เชี่ยวชาญในเรื่องความรัก…ไม่เลวนี่”
ชายหนุ่มกระตุกยิ้มที่มุมปากอย่างพอใจ เขาไม่สงสัยเลยว่าทำไมเธอถึงเชี่ยวชาญในเรื่องความรัก ก็เพราะเธอสวยขนาดนี้ยังไงล่ะ!คงแปลกน่าดูหากไม่มีผู้ชายเข้ามาจีบ แต่อีกไม่นานเธอจะต้องมาเป็นของเขาแต่เพียงผู้เดียว
“ฉันจะเอาเธอคนนี้”
ฟรานเซสเอ่ยเสียงหนักก่อนจะโยนแฟ้มเอกสารในมือลงบนโต๊ะอย่างไม่ใส่ใจอีกต่อไปเพราะตอนนี้สิ่งที่เขาสนใจมากกว่าเอกสารตรงหน้า…นั่นคือตัวจริงของเธอ
“เอ่อ…ขอโทษนะครับท่าน”
“ว่าไงนิโคล”
“ท่านจะเอาคุณเมริษามาทำอะไรครับ”
แม้จะรู้ดีว่าที่ผ่านมาเจ้านายเอาผู้หญิงมามีเพียงเรื่องเดียวเท่านั้นคือเรื่องบนเตรียง แต่คราวนี้ที่ต้องถามไปเพราะเธอคนนี้แตกต่างจากผู้หญิงคนอื่นๆ นั่นคือ…เจ้านายสั่งให้สืบประวัติเธอก่อนที่จะตัดสินใจเลือกเธอมา
“เอามาเป็นแฟน”
“หา!”
นิโคลหลุดอุทานเสียงดัง ใบหน้าคมสันเต็มไปด้วยความตกตะลึง
“ท่านจะมีแฟน”
นิโคลถามย้ำเพื่อทดสอบว่าตัวเองไม่ได้หูฝาดหรือฟังผิดเพี้ยนไป
“อืม! นายมีปัญหาอะไร”
ฟรานเซสยืนยันเสียงหนักก่อนที่ตอนท้ายจะขมวดคิ้วถามด้วยน้ำเสียงขุ่นๆเมื่อเลขาคนสนิททำสีหน้าราวกับถูกผีหลอกกลางวันแสกๆ
“เปล่าครับ ผมไม่มีปัญหาอะไรครับ เพียงแค่สงสัยว่าทำไมท่านถึงอยากมีแฟน”
นิโคปฏิเสธแต่ก็มิวายถามเพื่อคลายความสงสัยให้กับตัวเอง แต่ไหนแต่ไรเจ้านายเขาไม่เคยพูดถึงเรื่องความรักเพราะชีวิตมีแต่งานและก็งาน ส่วนเรื่องผู้หญิงนั้นเปรียบเสมือนของใช้แล้วทิ้งเท่านั้น
“ฉันอยากรู้จักความรัก”
คำตอบสั้นๆของเจ้านายหนุ่มทำเอานิโคลถึงกับต้องกลั้นเสียงหัวเราะไม่ให้หลุดรอดออกมา แต่ก็มิวายหลุดสีหน้าให้เจ้านายจับได้จนถูกมองด้วยแววตาขุ่นขวางอย่างไม่พอใจ
“ขำอะไรมิทราบ”
ฟรานเซสถามลูกน้องอย่างฉุนๆที่บังอาจเห็นการอยากมีความรักของเขาเป็นเรื่องตลกขบขัน เป็นซะแบบนี้ยังไงล่ะเขาถึงไม่อยากจะพูดมากเพราะไม่ชอบกลายเป็นตัวตลกให้ลูกน้องมาหัวเราะใส่
“มิได้ครับ ว่าแต่คุณเมริษาจะยอมตกลงเป็นแฟนท่านเหรอครับเพราะยังไม่เคยเจอหน้ากันเลย”
นิโคลปฏิเสธพลางเปลี่ยนเรื่องคุย แต่ก็เต็มไปด้วยเรื่องจริงที่ชายหนุ่มต้องคิดตาม เพราะการจะมีแฟนสักคนก็น่าจะต้องเกิดจากความสมัคใจทั้งสองฝ่าย ไม่ใช่เป็นเพียงความต้องการของอีกฝ่ายที่ชี้นิ้วจะเอาและทุกอย่างก็ลงตัวเหมือนอย่างที่ผ่านมาเหมือนกับที่เจ้านายหนุ่มเคยเลือกคู่นอน
“เสนอค่าจ้างไปสิ”
ฟรานเซสไหวไหล่และบอกอย่างไม่ยี่หระ คนฟังถึงกับอ้างปากค้าง
“เอ่อ…”
นิโคลพูดไม่ออกทำหน้ากระอักกระอ่วนเมื่อได้ยินคำตอบของเจ้านาย ถึงเขาเองจะไม่เคยมีแฟนแต่ดูเหมือนอาการของเจ้านายหนุ่มจะหนักกว่าหลายเท่า
‘แค่เริ่มต้นใช้เงินจ้างเธอก็ไม่เรียกว่าความรักแล้ว แล้วแบบนี้ท่านจะพบกับความรักหรือเปล่าครับเนี่ย’
เป็นคำถามที่นิโคลถามตัวเองในใจ และก็ไม่คิดจะเอ่ยถามผู้เป็นนายด้วย
“ติดต่อไปยังเมริษาโดยตรง จะเรียกเท่าไหร่ก็ว่ามาขอเพียงเธอยอมตกลงมาเป็นแฟนและสอนความรักให้กับฉัน รีบจัดการซะนิโคล ฉันหวังว่าจะได้ยินข่าวดี”
นี่ไม่ใช่การขอร้องแต่มันเป็นคำสั่งที่เลขาคนสนิทมิอาจปฏิเสธได้ นิโคลรู้ดีว่าเจ้านายตนไม่ชอบความผิดพลาดหรือผิดหวัง ไม่ว่าคำสั่งนั้นจะหนักหนาหรือลำบากแค่ไหนเขาก็ต้องตอบว่า
“ครับท่าน”
“จัดเตรียมบอดี้กาดร์คุ้มครองความปลอดภัยให้เมริษาด้วย เพราะอีกไม่นานเธอจะมาเป็นแฟนของฉัน”
‘คำพูดเต็มปากที่ว่าแฟนของฉัน…เธอตกลงหรือยังครับท่าน’
แม้นิโคลอยากถามออกไปมากแค่ไหนแต่ก็ต้องกลืนให้หายเข้าไปในลำคอไม่ให้หลุดรอดออกมา