“เกิดอะไรขึ้นนิโคล”
ฟรานเซสเอ่ยถามเลขาหนุ่มพลางขมวดคิ้วยุ่งหลังออกมาจากห้องทำงานแล้วพบกับร่างอรชรฟุบหน้าอยู่กับโซฟา ความตั้งใจแรกที่จะออกมาบอกให้เธอไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมตัวไปหายายเย็นนี้ต้องพับเก็บไว้ในทันที
“สงสัยคุณเมริษาจะเมาครับท่าน”
นิโคลตอบเสียงเรียบมองร่างอรชรด้วยความรู้สึกกังวลใจอยู่ลึกๆ เห็นเธอดื่มเอาๆก็นึกว่าเธอจะคอแข็งซะอีก ที่ไหนได้เผลอแป๊บเดียวเธอก็อยู่ในสภาพนี้ไปเสียแล้ว
“เมา!”
ฟรานเซสทวนคำก่อนจะปรายสายตาคมกริบมองโต๊ะกระจกตรงหน้าซึ่งตอนนี้มีไวน์ชั้นดีถูกเปิดและน้ำในขวดไวน์ลดลงไปเกินกว่าครึ่งขวดด้วยความทึ่ง
“เธอดื่มคนเดียวเลยเหรอ”
ฟรานเซสเอ่ยถามไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเองสักเท่าไหร่ เพราะไวน์ขวดใหญ่และดีกรีแรงขนาดนี้อย่าว่าแต่ผู้หญิงตัวเล็กๆอย่างเมริษาเลยแม้เป็นผู้ชายหากไม่เคยดื่มแอลกอฮอลมาก่อนก็เมาได้เหมือนกัน
“ครับท่าน”
“แล้วนายไปทำอีท่าไหนทำไมถึงปล่อยให้เธอดื่มหนักขนาดนี้”
ฟรานเซสถามเลขาหนุ่มด้วยน้ำเสียงขุ่นๆบ่งบอกชัดเจนว่าเขาไม่ปลื้มกับเรื่องนี้เอาเสียเลย
“ผมก็ไม่ทราบครับ เห็นคุณเมริษาบอกว่าอร่อยผมก็เลยรินให้ แต่รินไปรินมาก็ออกมาเป็นแบบนี้แล้วครับ”
นิโคลก้มหน้าหลบสายตาคมกริบของเจ้านายที่ส่งมาแบบคาดโทษพร้อมกับพึมพำเสียงเบาเหมือนต้องการจะพูดกับตัวเองมากกว่า
“เฮ้! ที่รัก คุณไหวหรือเปล่า”
ฟรานเซสร้องถามพร้อมทรุดตัวลงนั่งข้างเธอจับร่างอรชรให้พลิกมาเผชิญหน้า แต่เพียงเธอหันมาสบตาทำตาปรือมือเล็กยกก็ขึ้นมาตบกระทบลงบนใบหน้าหล่อเหล่าของเขาเสียงดังแปะๆไปหลายทีทำให้เจ้าของแก้มสะดุ้มเฮือกคิดไม่ถึงว่าจะถูกกระทำแบบนี้ต่อหน้าลูกน้องราวสิบคนในห้อง
“ทำบ้าอะไรของคุณ! มาตบผมทำไม!”
เสียงดุเอ่ยถามพร้อมดึงมือเล็กของเธอรวบไว้เพื่อไม่ให้เธอทำร้ายเขาได้อีก แม้แรงตบจากฝามือเล็กๆนุ่มนิ่มจะไม่เจ็บเท่าไหร่แต่สายตาของลูกน้องทุกคนที่มองมาต่างหากที่ทำให้เขารู้สึกอาบอาย
‘มีอย่างที่ไหนถูกผู้หญิงตัวเล็กๆตบต่อหน้าลูกน้องนับสิบ รู้ถึงไหนอายถึงนั่น’
“อือ…ฉันนึกว่าเห็นเทพบุตรมาปรากฏตัวตรงหน้า ก็เลยอยากจับดูว่าเป็นตัวจริงหรือแค่ฝันไป …คุณหล่อจริงๆเลยนะคะ…หล่อม๊ากกกก…”
เมริษาบอกเสียงยานคางท่าทางเอนไปมาระหว่างพูด ใบหน้างามส่งยิ้มหยดย้อยให้ชายหนุ่มพร้อมๆกับส่งแววตาฉ่ำเยิ้มชนิดที่ทำให้มาเฟียหนุ่มรู้สึกหายใจติดขัดขึ้นมาเฉยๆ
โดยเฉพาะแก้มเนียนใสตอนนี้กำลังแดงปลั่งไปถึงใบหูและลำคอแลดูสวยเย้ายวนเป็นธรรมชาติ เป็นภาพที่ชายหนุ่มไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อน ฟรานเซสเผลอจ้องใบหน้างามนิ่งราวกับต้องมนตร์ไปชั่วขณะ
‘สาบานได้ว่าถ้าไม่ติดข้อตกลงที่ให้ไว้กับเธอและอยู่ต่อหน้าลูกน้องเป็นสิบ ฉันจะจับปล้ำเธอเสียตอนนี้เลย’
ชายหนุ่มครวณครานในใจ ไม่สามารถถอนสายตาออกจากเธอไปได้ จนกระทั่งได้ยินเสียงเลขาหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างโซฟาเอ่ยถาม
“เอายังไงต่อดีครับท่าน”
นิโคลเอ่ยถามพร้อมรอฟังคำสั่งจากผู้เป็นเจ้านาย แต่เสียงตอบกลับจากอีกฝ่ายทำให้ต้องก้มหน้าสงบปากสงบคำไว้ตามเดิม
“เอายังไงเหรอ ฉันจะไปรู้ไหมตั้งแต่เกิดมาฉันยังไม่เคยดูแลคนเมาเลย”
ฟรานเซสพูดลอดไรฟันกับลูกน้องทั้งที่ยังไม่ละสายตาไปจากเธอ แขนใหญ่รวบร่างอรชรไว้ไม่ให้ซวนเซไปมาโอบประคองร่างนุ่มนิ่มไว้อย่างทะนุถนอมแบบที่ไม่เคยทำและคิดจะทำกับใครมาก่อน
“อ้อมกอดคุณอบอุ่นจังเลยนะคะ…ตัวคุณก็ห๊อมหอม หอมมากจริงๆ”
เมริษาพูดพร้อมยื่นใบหน้างามเล็กเข้าหาซอกคอไล่ปลายจมูกเชิดรั้นซุกไซ้ไปมาสูดดมกลิ่นอายแห่งบุราเพศเข้าเต็มปอดเรียกขนดกในกายชายหนุ่มทุกสัดส่วนบนเรือนร่างให้ลุกชูชันขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว และแล้วร่างอรชรก็แน่นิ่งไป
“ที่รัก! เมริษา!”
ฟรานเซสเรียกหญิงสาวพร้อมเขย่าร่างอรชรเล็กน้อยด้วยความตกใจที่จู่ๆเธอก็สลบคอพับไปแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยไปอย่างนั้น
‘เอาแล้วไง…งานเข้าแล้วสิทีนี้’
ชายหนุ่มสบถพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะตัดสินใจช้อนร่างอรชรอุ้มขึ้นไว้ในอ้อมแขนอย่างระมัดระวังและทะนุถนอมราวกับเธอคือสิ่งล้ำค่าไม่สามารถหาได้จากที่ไหนอีก ร่างสูงสง่าก้าวอาดๆเข้าห้องนอนโดยมีเลขาคนสนิทเดินมาเปิดประตูให้แล้วปิดประตูลงตามหลังให้อย่างรู้งาน ฟรานเซสวางร่างอรชรลงบนเตียงนอนหนานุ่มก่อนจะเงยหน้ายืนเต็มความสูงเอามือเท้าใส่เอว
“อย่าบอกนะว่านี่เป็นสิ่งที่คุณตั้งใจทำให้ผมตกหลุมรักคุณ”
ชายหนุ่มพึมพำกับด้วยเองขณะจ้องมองร่างอรชรบนเตียงไม่วางตา
‘นี่มันนางแมวยั่วสวาทชัดๆ’
……………………
“พอที! ฉันเริ่มจะหมดความอดทนแล้วนะ ไอ้ฟรานเซสมันต้องการเล่นเกมอะไรกันแน่เรียกให้มันมาคุยกับฉันตอนนี้และเดี๋ยวนี้”
เสียงลอดไรฟันทรงอำนาจที่กำลังดังอยู่ปลายสายทำให้นิโคลเลขาส่วนตัวของฟรานเซสเกือบจะกดวางสายใส่ในทันที หากแต่ต้องใจเย็นไว้เพราะบุคลในสายคือ นิโคลัส ซานอาร์โด้ ญาติลูกพี่ลูกน้องของฟรานเซส นั่นเอง
นิโคลัส ซานอาร์โด้ เป็นลูกพี่ลูกน้องของฟรานเซสและเป็นหัวหน้ามาเฟียคนเดียวในตระกุลที่ทำธุรกิจมืดสนิทชนิดที่ต้องยกบทบาทตัวร้ายในละครหลังข่าวให้ไปครอบครองไว้แต่เพียงผู้เดียว แม้ว่าธุรกิจของนิโคลัสจะถูกคัดค้านจากทุกคนในตระกูลแต่เขาก็ไม่คิดที่จะวางมือ เขาเป็นเหมือนแกะดำที่คอยสร้างมนทินให้กับตระกูลไม่มีที่สิ้นสุด นี่เลยกลายเป็นเหตุผลที่เขาและฟรานเซสไม่ลงรอยกัน แม้ฟรานเซสอยากกำจัดนิโคลัสออกจากโลกนี้แค่ไหนแต่เขาก็ทำไม่ได้เนื่องจากเห็นแก่อาและไม่อยากให้มือตัวเองเปื้อนเลือดของคนในตระกูล
เมื่อนิโคลัสไม่ให้หยุดทำธุรกิจมืดสนิทได้ฟรานเซสก็เลยต้องหาทางตัดแขนตัดขาของนิโคลัสออกทีละส่วนเพื่อให้เขาหมดหนทางทำธุรกิจมืดและถอดใจไปเอง แต่มันก็ไม่ง่ายเลยเมื่อนิโคลัสไม่ยอมให้ฟรานเซสมาขัดขวางทางของเขาง่ายๆ
‘ฉันจะไม่ยอมอยู่เฉยๆเป็นฝ่ายตามเกมนายแน่ไอ้ฟรานเซส เพราะคนอย่างฉันไม่มีทางก้มหัวให้ใคร’
นั่นเป็นสิ่งที่นิโคลิสบอกกับตัวเอง และพยายามมาโดยตลอดโดยที่ฟรานเซสคอยมองอยู่ห่างๆและคอยตัดโอกาสอีกฝ่ายอยู่เงียบๆเช่นกัน
เพราะฟรานเซสมองว่าหากเขาและนิโคลัสเผชิญหน้ากันขึ้นมาจะเกิดการสูนเสียไม่ฝ่ายใดก็ฝ่ายหนึ่ง เขาอยากให้โอกาสนิโคลัสได้กลับตัวและหันหลังให้กับธุรกิจมืดแบบถาวร
“การทำธุรกิจมืดเป็นการสร้างมลทินให้กับตระกูลซานอาร์โด้ หากไม่ยอมหันหลังจะต้องถูกกำจัดไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ถ้ายังไม่อยากตายก็วางมือซะ ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าฉันไม่เตือน”
นั่นเป็นคำพูดของ ซานโด้บิดาของนิโคลัสหรืออาของฟรานเซสที่คอยเตือนบุตรชายเพียงคนเดียวของตนอยู่เสมอ แต่เพราะความดื้อดึงไม่ยอมคนทำให้นิโคลัสไม่เคยฟังคำเตือนนั้นเลย เพราะความมั่นใจในตัวเองที่มีอยู่เต็มเปี่ยมว่าตนนั้นเป็นมาเฟียที่โหดเหี้ยมและน่าเกรงขามกว่าทุกคนในตระกูล
“เกรงว่าท่านจะไม่สะดวกคุยโทรศัพท์ในตอนนี้ครับคุณนิโคลัส”
นิโคลบอกเสียงเรียบ ในขณะที่สีหน้าและท่าทางยังคงความสงบไว้ไม่ต่างจากน้ำเสียงเท่าไหร่นัก หากแต่ในใจกลับก่อเกิดความกังวลขึ้นเล็กน้อย เพราะครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่นิโคลัสพยายามติดต่อหาฟรานเซส แต่ที่ผ่านมาฟรานเซสพยายามไม่พูดคุยพบปะ ไม่ใช่เพราะเกรงกลัวนิโคลัสหากแต่กลัวพลั้งมือฆ่าอีกฝ่ายไปนั่นเอง
“ไม่ต้องมาทำเป็นแก้ตัวแทน ฉันรู้หรอกนะว่าไอ้ฟรานเซสมันอยู่ข้างๆแก เรียกมันมาคุยกับฉันเดี๋ยวนี้ถ้ามันแน่จริงก็ให้มันมาคุยกับฉันตัวต่อตัวอย่าเอาแต่มุดหัวอยู่ใต้กระโปรง”
นิโคลัสตะคอกกลับเสียงดุดันตามอารมณ์โมโห คำด่าต่อว่าเจ็บแสบนั้นทำให้เลขาหนุ่มได้แต่เก็บความแค้นเคืองไว้ในใจแทนเจ้าในหากแต่ไม่พูดมันออกมา เพราะเจ้านายของตนมักจะใช้เหตุผลแก้ปัญหามากกว่าการใช้อารมณ์ตัดสินคน
“ไม่ว่าคุณนิโคลัสจะพูดยังไง ผมก็ไม่สามารถต่อสายให้ท่านฟรานเซสในตอนนี้ได้ แต่กรุณาให้เกียรติเจ้านายของผมด้วย ไม่ใช่เพื่อใครหากแต่เพื่อตัวคุณเอง กระผมเตือนด้วยความหวังดี”
น้ำเสียงของนิโคลเย็นเรียบราวกับจะข่มขวัญอีกฝ่าย แต่มีหรือมาเฟียหนุ่มเลือดร้อนอย่างนิโคลัสจะสนใจเพราะนิโคลเป็นเพียงเลขาคนสนิทไม่มีสิทธิ์มาข่มขู่มาเฟียผู้ทรงอิทธิพลอย่างเขาเลยด้วยซ้ำ
“นึกว่าพูดแบบนี้แล้วฉันจะกลัวจนหัวหดหรือไง ไอ้นิโคลแกมันเป็นแค่ไอ้หมารับใช้อย่าได้สะเออะมาข่มขู่ฉัน เพราะชีวิตแกมันไม่ได้มีค่าขนาดนั้น”
นิโคลัสว่าพลางหัวเราะออกมาราวกับคนบ้าคลั่งเห็นเรื่องที่สนทนากันกลายเป็นเรื่องตลกขบขันขึ้นมาเสียเฉยๆ
“ถ้าคุณนิโคลัสไม่มีธุระอะไรแล้วผมขออนุญาตวางสายก่อน”
เพื่อรักษาสุขภาพจิตของตัวเอง การขอตัดบทสนทนากับนิโคลัสเป็นสิ่งที่เลขาส่วนตัวอย่างนิโคลต้องทำโดยทันที
“เดี๋ยวก่อน ฉันยังพูดไม่จบ”
“คุณนิโคลัสมีอะไรจะพูดอีกเหรอครับ”
“ไปบอกเจ้านายของแกซะ ว่าถ้ามันไม่หยุดเป็นหมาลอบกัดขวางทางธุรกิจของฉันแล้วละก็…ฉันจะตามไปคุยกับมันด้วยตนเอง”
น้ำเสียงของนิโคลัสฟังดูหนักแน่นจริงจังกว่าครั้งไหนๆบ่งบอกว่าเขาไม่ได้พูดเล่นแต่อย่างใด ก่อนที่จะตัดสายเองโดยที่ไม่ต้องให้นิโคลเป็นฝ่ายขออนุญาตเหมือนในทีแรก