ตอนที่ 7
หัวใจที่สับสน
“เฮ้อ ผมละอิจฉาคนเสน่ห์แรงจริงๆ”
เสียงดังมาก่อนตัว เป็นผู้กองชัชฤทธิ์ที่กำลังเดินตรงเข้ามาหาผู้กองทัตเทพที่กำลังนั่งผูกเชือกรองเท้าอยู่ตรงหน้าฮัท ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นไปส่งยิ้มให้ผู้มาเยือนแล้วก้มหน้าก้มตาผูกเชือกรองเท้าต่อ
“อ่ะ ของคุณ”
ถุงขนมถูกยื่นมาตรงหน้า ทัตเทพยิ้มเฝื่อนออกมาเพราะเขาไม่อยากรับของใครฟรีๆ
“ฝากมาทำไมเยอะแยะ เอาไว้ขายยังดีเสียกว่า”
ชายหนุ่มยื่นมือไปรับมาวางไว้ข้างกายพลางเอ่ยแกมบ่น เขาถอนหายใจออกมาเล็กน้อย เมื่อสัญชาตญาณบอกว่ากำลังถูกรุกหนักจากแม่ค้าขนมที่อยู่ในตัวเมือง
“น้องเขาฝากมาบอกว่ารอให้คุณไปขอมาเป็นคุณนายผู้กอง”
ผู้กองชัชฤทธิ์เอ่ยแซวด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ ก่อนหย่อนก้นนั่งลงข้างๆ อีกฝ่าย
“ผมขอมอบหน้าที่อันทรงเกียรตินี้ให้ผู้กองละกัน"
“แต่ผมอยากได้คุณครูคนสวยไปเป็นคุณนายมากกว่า”
“คงไม่ได้หรอกครับ คนนี้ผมหวง”
ผู้กองทัตเทพพูดออกมาหน้าตาเฉย ก่อนลุกขึ้นยืนเต็มความสูงทำการวอร์มอัพร่างกาย
“อ้าว ซะงั้น”
อีกฝ่ายถึงกับยืนงงในความคิดว่าสิ่งที่พูดออกมานั่นคือเอาจริงหรือแค่ล้อเล่นกันแน่
“จ่ายุทธครับ เอาไปแบ่งกันทาน เดี๋ยวมันจะเสียก่อน”
ทัตเทพหันไปตะโกนเรียกจ่าอาวุโสที่เพิ่งขับรถเข้ามาจอดภายในบริเวณฐาน พร้อมชูถุงขนมให้อีกฝ่ายวิ่งมารับเอาไป
“พักนี้จ่าคงได้กินกันจนหน้าเป็นขนมปังแน่”
ผู้กองชัชฤทธิ์เอ่ยแซวจ่ายุทธที่วิ่งมาหอบหิ้วถุงขนมไปเต็มไม้เต็มมือ
“ถือว่าเป็นลาภปากของพวกผมก็แล้วกัน ผู้กองเขาใจดี”
คนพูดเอ่ยจากใจจริง ใบหน้ากร้านโลกเปื้อนยิ้มเล็กๆ
“ไปครับ เตะบอลกัน”
ผู้กองทัตเทพพยักหน้าชักชวนอีกฝ่ายเมื่อตนเองเตรียมพร้อมร่างกายเสร็จแล้ว
“เดี๋ยว! ผู้กอง หน้าคุณไปโดนอะไรมา”
ผู้กองชัชฤทธิ์ปราดมาดักหน้าพลางเอ่ยถามเมื่อเขาเพิ่งสังเกตเห็นรอยแดงเป็นปื้นบนใบหน้าคมคร้าม
“โดนสาวตบ”
“เฮ้ย! จริงดิ" คนฟังทำเสียงคล้ายไม่เชื่อ ใบหน้าแสดงถึงความขบขันกับคำตอบของอีกฝ่าย
“ผมจะโกหกคุณทำไม”
“โอ้โห อย่าบอกนะว่าแผลตรงนี้ก็เกิดจากสาวคนนั้น คุณไปปล้ำสาวที่ไหนมาเนี่ย ผู้กอง”
เอ่ยถามพลางเอื้อมมือมาลูบแผลที่แลเห็นเป็นทางยาวบริเวณต้นคอของอีกฝ่าย ก่อนทำเสียงจิ๊จ๊ะอยู่ในลำคอ
“บังเอิญสาวคนนั้นอารมณ์รุนแรงไปหน่อย”
ทัตเทพหัวเราะกลบเกลื่อน พร้อมกับใจที่ประหวัดไปถึงเจ้าของรอยเล็บที่ฝากไว้ให้เขาต้องอับอาย
“คุณนี่มันจริงๆ ผมละเชื่อคุณเลย”
ผู้กองชัชฤทธิ์หัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนกอดคอเพื่อนสีเดียวกันมุ่งหน้าสู่สนามฟุตบอลภายในโรงเรียนเพื่อเล่นฟุตบอลร่วมกับกลุ่มวัยรุ่นในท้องถิ่น โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อกระชับความสัมพันธ์และหวังผลทางจิตวิทยา
ร่างสูงใหญ่ในชุดนักกีฬาฟุตบอลของทีมหงส์แดงที่กำลังสนุกสนานอยู่กับเกมการแข่งขันภายในสนาม ส่งผลให้คนที่กำลังจะเดินกลับบ้านพักต้องหยุดมองอย่างลืมตัว หญิงสาวเผลอยกมือขึ้นแตะริมฝีปากตนเองเมื่อนึกไปถึงสัมผัสเมื่อเช้านี้
รัญชน์ต้องตื่นจากภวังค์ เมื่อลูกฟุตบอลกลิ้งหลุนๆ ออกนอกสนามมาทางตน เธอเห็นผู้กองทัตเทพวิ่งตามมาจึงทำท่าจะก้าวขาออกจากบริเวณนั้น ถ้าไม่ติดว่ามีเสียงแทรกขึ้นมา
“จะใจดำไม่ยอมเก็บให้ผมหรือครับ คุณครู”
รัญชน์หยุดกึกก่อนหันไปมองใบหน้าคมคร้ามที่บัดนี้เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ รวมทั้งตามร่างกายที่ทำให้เสื้อกีฬาเนื้อดีแนบลู่ไปตามลำตัวจนเน้นแผงออกกำยำล่ำสัน รัญชน์ต้องยอมรับว่าเขาเป็นผู้ชายที่หุ่นดีมากคนหนึ่งสมกับชายชาติทหาร
“จะมองผมด้วยสายตาหื่นๆ อีกนานมั้ยครับ คุณครูคนสวย”
เสียงกระเซ้าดังมาจากปากของผู้กองหนุ่มที่กำลังยกมือขึ้นเสยผมที่เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ เขายกยิ้มมุมปากส่งมาให้เธอพร้อมแววตาล้อเลียน สองมือยกมือขึ้นท้าวเอวพลางเอียงศีรษะมองคนที่เขม่นตากลับมา
“ฉันไม่ได้มองคุณ คนหลงตัวเอง"
“จริงดิ”
รัญชน์โยนลูกฟุตบอลส่งไปให้ เขารับลูกบอลไว้ด้วยมือเพียงข้างเดียวพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ จากนั้นจึงหันไปโยนลูกฟุตบอลให้เพื่อนที่รออยู่ในสนาม
“คืนนี้อย่าลืมล็อกกลอนให้ดีล่ะ เพราะผมอาจจะปีนขึ้นหาเพื่อไปนอนเฝ้าแมวขโมย”
อารมณ์ที่ยังขุ่นเคืองเมื่อมาเจอท่าทีไม่สำนึกผิดถึงสิ่งที่ทำลงไป ทำให้รัญชน์โพล่งออกมา "คุณก็ไม่ต่างกับอะไรบางอย่างที่หวงก้าง แยกเขี้ยวกัดคนโน้นคนนี้ไปทั่ว"
"ขอบคุณ ที่ด่าผมเป็นหมา"
“เปล๊า ฉันไม่ได้พูด มีตรงไหนที่ฉันบอกว่าคุณเป็นหมา ร้อนตัวเกินไปรึเปล่าคะคุณผู้กอง"
"ก็ระวังเถอะ สักวันจะได้ผัวเป็นหมา"
คนพูดหัวเราะตบท้ายก่อนวิ่งกลับไปในสนามด้วยความรวดเร็ว
“ทุเรศที่สุด หน้าหนายิ่งกว่าปูนซีเมนต์”
รัญชน์กระแทกเสียงตามหลังอีกฝ่ายไปที่ทำอะไรเขาไม่ได้ ก่อนก้าวขาออกจากตรงนั้นมุ่งหน้าสู่บ้านพักด้วยอารมณ์ที่ขุ่นมัว
เย็นวันหนึ่งขณะที่รัญชน์กำลังรีดผ้าอยู่นั้น เสียงคุ้นหูที่ตะโกนเรียกอยู่หน้าบ้านทำให้หญิงสาวเปิดม่านออกไปดู เมื่อเห็นผู้มาเยือนจึงยืนชั่งใจอยู่สักพักว่าจะออกไปดีหรือไม่ แต่อีกใจหนึ่งก็คิดว่าถ้าปล่อยให้อีกฝ่ายยืนเรียกอยู่อย่างนี้ก็จะยิ่งตกเป็นเป้าสายตาของครูคนอื่นๆ ที่พักอยู่หลังถัดไป
ผู้กองทัตเทพถอนหายใจออกมาเล็กน้อย เมื่ออีกฝ่ายยังคงนิ่งเงียบไม่ยอมโผล่หน้าออกมาต้อนรับ พลางคิดว่าเธอคงเกลียดเขาอย่างที่พูดไว้จริงๆ เพราะตั้งแต่เกิดเหตุการณ์คราวนั้นเธอก็พยายามหลบหน้าเขามาโดยตลอด การกระทำแบบนั้นเจ้าตัวไม่รู้หรอกว่า มันทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดใจจนแทบทำงานไม่ได้
ผู้กองหนุ่มถามใจตัวเองอยู่หลายวัน ว่าจะหยุดหรือจะเดินหน้าต่อดี ซึ่งเขาเองก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน ว่าไอ้อาการคล้ายคนลงแดงเมื่อไม่เห็นหน้าที่เขากำลังเป็นอยู่ตอนนี้เรียกว่าอะไร ถ้าจะเรียกว่ารักมันก็ยังเร็วเกินไปในความรู้สึกของเขาขณะนี้ รู้เพียงแต่ว่าต้องทำอะไรสักอย่างก่อนที่จะสูญเสียเธอไปอย่างถาวร และเสียงเรียกร้องที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกของหัวใจจึงนำพาให้เขามาปรากฏกายที่นี่ โดยที่ไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่า เจ้าของบ้านจะให้การต้อนรับหรือไม่
“คุณครูครับ ถ้าไม่เกรงใจผมที่ยืนรอ ก็เกรงใจข้างบ้านบ้างสิครับ”
ผู้กองทัตเทพยังคงไม่ละความพยายาม ชายหนุ่มยกมือขึ้นลูบใบหน้าคมคร้าม พลางคิดว่าเขากำลังทำอะไรอยู่ มันไม่น่าเป็นไปได้ที่ชายชาติอาชาไนยอย่างเขาต้องมายืนง้อผู้หญิงตัวเล็กๆคนหนึ่ง คนที่มี อิทธิพลต่อหัวใจของเขาจนทำให้เขาต้องทำในสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อนในชีวิตลูกผู้ชาย การง้อผู้หญิงจึงเป็นอะไรที่ค่อนข้างแปลกใหม่สำหรับคนอย่างเขา
รัญชน์แอบแง้มม่านดูอีกครั้ง หญิงสาวนึกเกลียดตัวเองว่าทำไมต้องสนใจคนที่ทำให้เธอต้องเสียน้ำตาด้วย แม้เขาจะทำให้เธอโกรธมากเพียงใด ก็ต้องยอมรับอย่างหน้าไม่อายว่าเพียงแค่เห็นเขาเป็นฝ่ายเดินเข้ามาหา หัวใจดวงน้อยของเธอก็เริ่มหวั่นไหวอีกครั้ง แม้จะพยายามบอกตัวเองว่าอยากหนีเขาไปให้ไกลก็ตามที เมื่อความต้องการที่อยู่ในก้นบึ้งของหัวใจกดเอาไว้ไม่ได้อีกต่อไป รัญชน์จึงพาร่างก้าวเดินออกไปด้านนอกทันที
“มันมืดแล้ว คุณมาทำไม”
หญิงสาวเอ่ยถามพลางยกมือขึ้นกอดอก สายตามองไปยังคนที่มาในชุดครึ่งท่อนด้วยความแปลกใจ เพราะปกติเขาจะไม่ค่อยมีเวลาว่างโผล่หน้ามาให้เธอเห็น
“คุณทานข้าวหรือยัง”
“ยัง…ถามทำไมคะ"
หญิงสาวตอบกลับพลางเหลียวซ้ายแลขวา ด้วยกลัวมีคนเห็นแล้วเอาไปพูดกันปากต่อปาก
“ก็ผมกำลังหาเพื่อนทานน่ะสิครับ”
“คุณก็ไปทานกับคนอื่นที่ฐานสิ เกี่ยวอะไรกับฉัน”
“แต่ผมอยากทานกับคุณ”
“แต่ฉันไม่”
“คุณต้องรับผิดชอบ ที่ทำให้ผมขายหน้านะคุณครู”
“เรื่องอะไรไม่ทราบ”
“ก็นี่ไงครับ
ชายหนุ่มหันหลังให้แล้วชี้ไปยังแผลบริเวณต้นคอที่หายสนิทแล้ว แต่เขายังยกเอามาเป็นข้ออ้าง
“สมควรแล้ว มันยังน้อยไปด้วยซ้ำ”
หญิงสาวทำปากยื่นใส่หน้าอีกฝ่าย พลางหันหลังแล้วทำท่าจะก้าวเดินเข้าข้างในไป
“ก็เอาสิครับคุณครู ถ้าคุณไม่ลงมาผมก็จะยืนอยู่ตรงนี้ทั้งคืน ถ้ามีใครผ่านมาเห็นผมก็จะบอกเขาไปว่าคุณไล่ให้ผมลงมานอนข้าง ล่าง ลองคิดเล่นๆดูสิว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากนี้ คุณกับผมคงได้ดังไปถึงนครนายกแน่ เผลอๆ ได้แต่งกันเร็วขึ้นแล้วจะหาว่าผมไม่เตือน หึ หึ”
“นี่คุณ!”
เมื่อเจออีกฝ่ายงัดไม้ตายรัญชน์หยุดกึกทันที หญิงสาวหันหน้า ไปถลึงตาใส่อีกฝ่ายที่ทำหน้าไม่ทุกข์ร้อนอยู่ข้างล่าง
“เร็วสิ ผมหิวแล้วนะ ถ้าคุณไม่ลงมาผมจะขึ้นไปอุ้มคุณลงมาเดี๋ยวนี้แหละ” ทัตเทพไม่พูดเปล่า ชายหนุ่มทำท่าจะเดินขึ้นไปข้างบนจริงๆ
“ทหารไทยมีนิสัยเผด็จการแบบคุณทุกคนหรือเปล่า”
รัญชน์รีบชิงเดินลงบันไดมาก่อนเนื่องจากไม่ไว้ใจอีกฝ่าย กลัวเขามุทะลุทำในสิ่งไม่คาดฝัน ท่าทีงึกๆ งักๆ ของเธอเรียกเสียงหัวเราะให้ดังขึ้น
“ผมเนี่ยนะเผด็จการ ไม่เห็นมีใครบอกสักคน”
“ยังจะไม่รู้ตัว ลูกน้องที่ไหนจะกล้าพูด”
รัญชน์ประชดประชันขณะเดินนำหน้าอีกฝ่ายเข้าไปในครัว “อ้าว แล้วไหนล่ะกับข้าวของคุณ" หญิงสาวทำสีหน้าแปลกใจ เมื่อเพิ่งสังเกตเห็นว่าเขามาตัวเปล่า
“ไม่มี ผมอยากทานฝีมือคุณ”
ผู้กองทัตเทพพูดหน้าตาเฉยก่อนส่งยิ้มมาให้ รอยยิ้มที่รัญชน์ไม่ค่อยได้เห็นมัน
“คุณนี่มันจริงๆ”
ผัดกระเพราไก่และไข่เจียวถูกยกมาวางบนโต๊ะม้าหินทรงกลมที่อยู่ในห้องครัว ซึ่งหญิงสาวลงทุนควักเงินซื้อมาเอง เขากุลีกุจอตักข้าวใส่จานให้เธอและของตนเอง ก่อนถือตามมาแล้วหย่อนกายนั่งลงบนม้าหินตัวเดียวกัน
“กับข้าวสิ้นคิดอีกแล้ว” ชายหนุ่มแกล้งยั่วเย้า
“มีแค่นี้ ไม่ทานก็เรื่องของคุณ”
รัญชน์กระแทกเสียงพลางแย่งจานข้าวในมืออีกฝ่ายมาวางตรงหน้าตนเอง
“ทานสิ หิวจะแย่”
“แล้วทำไมคุณต้องมานั่งเบียดฉันด้วย ที่ตั้งเยอะแยะ” ถามพลางจ้องหน้าอีกฝ่ายตาเขม็ง ชายหนุ่มยิ้มออกมาพลางตักผัดกระเพราใส่จานของอีกฝ่ายอย่างเอาใจ “ก็ผมอยากนั่ง”
“งั้นฉันลุก”
“โอเคๆ ผมลุกก็ได้” ชายหนุ่มเป็นฝ่ายยอม เขาถือจานข้าวลุกขึ้นไปนั่งบนม้าหินอีกตัวที่อยู่ข้างๆ กัน
“ฝีมือคุณนี่ไม่เบาเลยนะ”
ผู้กองทัตเทพเอ่ยชมจากใจจริงเมื่อได้ชิมผัดกระเพราคำแรกเข้าไป
“มันแน่อยู่แล้ว” รัญชน์เอ่ยพลางตักข้าวเข้าปาก
“ถ้าอย่างนั้นต่อไปคุณก็คงต้องทนทานข้าวกับคนที่คุณเกลียดขี้หน้าเกือบทุกวัน”
“คุณหมายถึงอะไร” หญิงสาวทำหน้างง คิ้วเรียวสวยขมวดเข้าหากันเล็กน้อย
“ก็ผมติดใจฝีมือคุณ เลยจะขอมาทานด้วยทุกครั้งที่ผมว่าง” คนพูดส่งยิ้มกลับมาให้ ขณะคนฟังรู้สึกแปลกๆ อยู่ในหัวใจ
“ฉันไม่มีเวลามาทำให้คุณทานทุกวันหรอกนะ”
“เอาเถอะน่า ฝึกไว้ ถ้าคุณได้เป็นคุณนายของผมขึ้นมาจริงๆ จะได้มีเสน่ห์ปลายจวักไว้มัดผมไง”
“ไม่มีทาง ฉันจะไม่ยอมแต่งงานกับคุณ เอาตำแหน่งคุณนายไปให้สาวๆ ในเมืองเถอะ”
“คุณกำลังทำให้ผมคิดว่าคุณหึงผม”
“ฉันนี่นะหึงคุณ หึ คุณไม่ได้อยู่ในสายตาของฉันสักนิด” รัญชน์แสร้งทำเบะปากใส่หน้าอีกฝ่ายกลับไป
“จริงเหรอ เพราะเมื่อวันนั้นผมยังเห็นคุณมองผมตาเยิ้มเชียว”
เขาหมายถึงที่สนามฟุตบอล และนั่นคือครั้งสุดท้ายที่เขาและเธอได้คุยกัน ซึ่งถ้าเธอไม่เป็นฝ่ายหลบหน้า เขาก็ติดภารกิจจนทำให้คลาดเคลื่อนกันตลอด
“มองก็ไม่ได้หมายความว่าชอบเสียหน่อยนี่คะคุณผู้กอง”
“ผู้หญิงมักปากกับใจไม่ตรงกัน” นัยน์ตาคู่คมจ้องลึกเข้าไปในแววตาของอีกฝ่าย หวังคาดคั้นให้ยอมจำนน "ที่บอกไม่สน นั่นแปลว่าสนแต่ทำวางท่า"
“แต่ทฤษฎีนี้ใช้ไม่ได้กับฉัน”
“ก็ใช่สิ ผมมันสู้หมวดธีร์ไม่ได้นี่ ไม่อย่างนั้นคุณคงไม่ยอมให้เขาถูกเนื้อต้องตัวหรอก”
น้ำเสียงออกแนวประชดประชัน มาถึงตรงนี้ทัตเทพถึงกับรู้สึกอิ่มขึ้นมาในทันใด ชายหนุ่มรวบช้อนเข้าด้วยกันก่อนยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม
“ฉันไม่ได้ตั้งใจ และก็ไม่ได้คิดอะไรกับเขาจริงๆ ผู้กองกำลังเข้าใจผิด”
รัญชน์รีบอธิบายออกไป หญิงสาวก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงต้องกลัวอีกฝ่ายจะเข้าใจผิดว่าเธอคิดอะไรกับหมวดธีร์
“คุณกำลังทำร้ายผู้ชายคนหนึ่งโดยไม่รู้ตัว ถ้าไม่คิดอะไรจริงๆ ก็รีบบอกความจริงกับเขาไปเสียสิ อย่าปล่อยให้อีกฝ่ายหวังลมๆ แล้งๆ”
ผู้กองหนุ่มได้ที เขาเริ่มแผนการขจัดมารหัวใจทันที ถ้าหากปล่อยให้แมวได้ใกล้ชิดกับปลาย่างต่อไป มันคงไม่ใช่การกระทำที่ดีแน่
“ฉันคิดว่าจากการกระทำ หมวดธีร์คงรู้เอง” รัญชน์ถอนใจออกมาเบาๆ ก่อนยกแก้วน้ำขึ้นดื่มจนเกือบหมดแก้ว
“อย่าคิดอะไรง่ายๆ สิครับ หมวดธีร์เขาไม่คิดแบบคุณหรอกนะ และคุณกำลังฆ่าเขาทางอ้อม”
“แล้วจะให้ฉันทำยังไงคะ ในเมื่อเขายื่นไมตรีที่ดีมาฉันก็ต้องรับไมตรีนั้นไว้เพื่อไม่ให้เสียน้ำใจ” รัญชน์ถอนหายใจออกมาอีกครั้งสีหน้าแสดงถึงความกลัดกลุ้มอย่างเห็นได้ชัด
“ผมแนะนำว่าคุณควรเปิดอกพูดคุยกัน ยิ่งรู้ช้ามันจะยิ่งเจ็บ ถ้าหมวดธีร์ถลำลึกเข้ามามากกว่านี้ คุณจะทำยังไง”
รัญชน์สบตาเข้ากับนัยน์ตาดำเข้มของอีกฝ่ายแวบหนึ่ง ก่อนหลุบตาลงต่ำด้วยรู้สึกประหม่าที่ถูกอีกฝ่ายมอง
“แล้วคุณ…คุณมาแนะนำฉันทำไมคะ”
“ผมก็แค่…” ชายหนุ่มเว้นจังหวะเหมือนชั่งใจว่าจะพูดอะไรต่อดี “ แค่เป็นห่วงลูกน้องของผม ไม่อยากให้เขาต้องหวังอะไรลมๆ แล้งๆ ในสิ่งที่มันเป็นไปไม่ได้”
“แค่นี้จริงๆ เหรอคะ" รัญชน์ทำหน้าคล้ายผิดหวังเมื่อคำตอบไม่เป็นอย่างที่ใจคิด หญิงสาวรีบเก็บจานแล้วลุกขึ้นยืนเพื่อนำไปล้าง
“แล้วคุณอยากฟังอะไรล่ะครับคุณครู”
ผู้กองทัตเทพลุกตามไป แล้วหยุดยืนอยู่ข้างหลังอีกฝ่าย สายตาคู่คมเผลอจับจ้องเส้นผมยาวสลวยที่แผ่กระจายเต็มแผ่นหลังอย่างลืมตัว ชายหนุ่มยอมรับว่าเขาแพ้ผู้หญิงที่ไว้ผมยาวตรงแบบสตรีตรงหน้า เขาชอบมองผู้หญิงผมยาว
“เปล่า ไม่มีอะไรค่ะ” รัญชน์ตอบโดยไม่หันมามอง ขณะที่มือกำลังบีบน้ำยาล้างจานใส่ฟองน้ำ
“รัญชน์…” เสียงเรียกเบาๆ ดังอยู่ด้านหลังก่อนเงียบไป “เรียกฉันทำไม” รัญชน์หันหน้าไปถามอีกฝ่ายด้วยความแปลกใจ ก่อนหันกลับมาล้างจานต่อ
“ถ้าคุณไม่มีหมวดธีร์อยู่ในหัวใจ แล้วใคร…ที่อยู่ในหัวใจคุณ”
ชายหนุ่มไม่พูดเปล่า เขาเดินเข้ามาจนประชิดร่างบาง รัญชน์รับรู้ได้ถึงลมหายใจอุ่นร้อนที่เป่ารดอยู่ข้างใบหูของเธอ สักพักเธอต้องใจวาบพร้อมชะงักยืนนิ่ง เมื่อเขาสอดท่อนแขนแข็งแรงเข้ามาสวมกอดเอาไว้
“ผู้กอง!”
“ถ้าคุณเกลียดผมจริงๆ วันนี้คุณคงไม่ต้อนรับผมใช่มั้ย”
เอ่ยถามพลางฝังจมูกโด่งคมสันลงบนเส้นผมหอมกรุ่น เมื่อชายหนุ่มไม่อาจต้านทานเสียงเรียกร้องของหัวใจได้อีกต่อไป
“ผู้กอง ปล่อยรัญชน์ก่อนค่ะ เดี๋ยวใครมาเห็นประตูไม่ได้ปิด”
หญิงสาวรีบล้างมือ พยายามแกะมือของอีกฝ่ายออกจากเอวบาง แต่ไม่เป็นผลเมื่อเขากลับกระชับอ้อมกอดแน่นยิ่งขึ้น
“คุณกลัวหมวดธีร์จะมาเห็นใช่หรือเปล่า”
“ทุกคนแหละค่ะ พวกเขาจะเอาไปพูดได้”
"ก็เรื่องของชาวบ้านสิครับ มีปากก็พูดกันไป"
หญิงสาวเอี้ยวใบหน้าหนี เมื่อเขาจู่โจมเธอด้วยการซุกไซร้ใบหน้าคมคร้ามไปทั่วซอกคอหอมกรุ่น
“แต่เรื่องราวความเป็นมาระหว่างเรายังไม่มีใครรู้นะคะ”
หญิงสาวดันใบหน้าของอีกฝ่ายให้พ้นจากซอกคอของตนเอง สัญชาตญาณของเธอบ่งบอกว่ากำลังจะเสียทีให้เขาอย่างง่ายดาย
“คุณแค่บอกผมว่าใครที่อยู่ในหัวใจคุณ ใช่ผมหรือเปล่า”
“เอ่อ…”
รัญชน์นิ่งเงียบไป ด้วยเธอเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน ว่าที่กำลังรู้สึกอยู่เรียกว่าอะไร ความดีใจเมื่อยามได้พบหน้าคงใช้วัดกันไม่ได้ว่าคือความรัก
“ถ้าผมจะแต่งงานกับคุณจริงๆ ตามที่คุณแม่ต้องการ คุณจะว่ายังไง”
เมื่อได้ยินคำพูดอันเหลือเชื่อที่ออกมาจากปากของเขา รัญชน์ถึงกับนิ่งอึ้งด้วยความสับสน เธอไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าคนที่เกลียดการแต่งงานเข้าไส้จะมีความคิดเปลี่ยนแปลงไป
“ผู้กอง ฉันยังไม่พร้อม”
รัญชน์ตัดสินใจเอ่ยออกไป ในเมื่อเขาเองยังไม่เคยบอกรักเธอสักคำ แล้วเธอจะตัดสินใจง่ายๆ ได้อย่างไร
“ไม่พร้อม? ทำไมถึงไม่พร้อมล่ะครับ”
ชายหนุ่มจับร่างบางให้หันมาเผชิญหน้าแล้วมองด้วยแววตาคาดคั้น เขาอยากแต่งแต่เธอกลับบอกว่าไม่พร้อม เป็นครั้งแรกที่เขาถูกผู้หญิงปฏิเสธกลับมา
“ฉัน…”
รัญชน์เม้มปากแน่นพลางหลุบตาลงต่ำ การแต่งงานคือเรื่องใหญ่ในความคิดของเธอ คนสองคนที่ถูกเลี้ยงดูมาคนละแบบ เมื่อมาใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันคงต้องใช้อะไรหลายๆ อย่างเข้ามาประกอบ และเธอเองก็ยังไม่รู้จักผู้ชายตรงหน้าดีพอด้วยซ้ำ
“ถ้าวันนี้คุณบอกมาคำเดียวว่าไม่รู้สึกอะไรกับผม ไม่อยากให้ผมเข้าใกล้ ผมจะเลิกมาวุ่นวายกับคุณ”
น้ำเสียงออกแนวจริงจัง เขาเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่านอกจากหมวด ธีร์ เธอยังมีใครซุกซ่อนไว้ในหัวใจอีกหรือไม่
“ฉันไม่รู้…แต่ฉันก็ไม่ได้เกลียดคุณแล้ว”
รัญชน์ไม่กล้าบอกไปว่าไม่คิดอะไร เนื่องจากอีกใจหนึ่งก็กลัวว่าเขาจะเดินออกไปจากชีวิตของเธอจริงๆ
“คุณไม่รู้ใจตัวเองเลยหรือยังไง”
“ฉันกลัว ไม่อยากแต่ง”
“คุณกลัวอะไรไหนบอกผมสิ” คำถามของเขาทำให้รัญชน์เขินอายจนหน้านวลแดงเห่อ "ฉัน...ฉันกลัวคุณน่ะแหละยังจะมาถาม"
รอยยิ้มล้อเลียนที่ส่งมาให้เพราะรู้ในความหมาย ทำให้รัญชน์พยายามดันอกกว้างให้ถอยห่าง แต่เขากับกักเอาไว้ด้วยท่อนแขนแข็งแรง
"กลัวจริงๆ หรือครับคุณครู"
“คุณจะไม่เชื่อก็ตามใจ”
“ไม่รู้สิ…ของอย่างนี้มันต้องพิสูจน์”
ไม่พูดเปล่า ชายหนุ่มสอดฝ่ามืออุ่นร้อนด้วยไฟปรารถนาไปใต้ชายเสื้อของเธอ ลากไล้ไปตามแผ่นหลังนวลเนียนนุ่มมือ
“ปล่อยก่อนค่ะ ฉันยังรีดผ้าไม่เสร็จ”
รัญชน์รีบจับมืออีกฝ่ายเอาไว้ ด้วยกลัวว่าเขาจะไม่หยุดอยู่แค่นั้น
“คุณยังไม่บอกผม ว่าคนในหัวใจของคุณเป็นใคร”
ทัตเทพยังคงรุกหนัก ชายหนุ่มชักมือออกจากการถูกพันธนาการ ก่อนย้ายไปซุกซนที่อื่นแทน
“แล้วคุณล่ะคะ ไม่เห็นบอกเลยว่าผู้หญิงในหัวใจของคุณเป็นใคร” รัญชน์ตัดสินใจยอกย้อนกลับ ด้วยเธอเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าเขาจะตอบกลับมาว่าอย่างไร
“เป็นใครก็ได้ ถ้าคุณอยากให้เป็น”
“ถ้าอย่างนั้นฉันก็คงไม่รู้กับคุณหรอกค่ะ”
ใบหน้าหวานซึ้งบัดนี้เริ่มงอง้ำ ริมฝีปากระเรื่อยื่นออกมาเล็ก น้อย ด้วยคำตอบที่ได้รับไม่เป็นไปอย่างที่เธอแอบหวังเอาไว้อยู่ลึกๆ ในหัวใจ หรือเขาเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกับเธอเลยไม่กล้าเอ่ยออกมา หญิงสาวคิดพลางเม้มปากแน่น
“คุณรู้หรือเปล่าว่าผมไม่เคยมานั่งเซ้าซี้ผู้หญิงคนไหนแบบนี้เลยนะ”
“ฉันรู้ ว่าคุณน่ะหล่อเลือกได้”
“คุณเป็นคนแรก ที่ทำให้ผมควบคุมจิตใจไม่ได้”
ชายหนุ่มเริ่มหยอดคำหวาน เมื่อมือถูกจับเขาก็ใช้ใบหน้าซุกซนแทน
“ผู้กอง ปล่อยฉันก่อน”
รัญชน์เห็นท่าไม่ดี เธอรีบดันอกกว้างหวังให้พ้นจากอ้อมกอดอีกฝ่าย พยายามบิดกายเพื่อให้หลุดพ้นจากท่อนแขนแข็งแรงที่โอบเอวบางเอาไว้
ชายหนุ่มกระชับอ้อมแขนแน่นยิ่งขึ้นจนทรวงอกอวบอิ่มแนบชิดกับอกแกร่ง เขาไม่ฟังคำทัดทานเพราะรู้แค่ว่าอยากจูบเธออีกครั้งเพื่อแก้ตัว รสสัมผัสครานี้อ่อนโยนและแสนหวานจนหญิงสาวเผลอรับสัมผัสนั้นอย่างลืมตัว
ทัตเทพถอนหายใจออกมาเล็กน้อย เมื่อต้องพยายามข่มความปรารถนาที่กำลังจะออกมามีอำนาจเหนือการควบคุม ชายหนุ่มจับจ้องดวงหน้าหวานซึ้งด้วยแววตาอ่อนเชื่อม
“ผมจะไม่ทำอะไรคุณจนกว่าจะถึงวันนั้นของเรา วันที่คุณเดินเข้ามาบอกผมว่าคุณพร้อม”
“ผู้กอง...”
รัญชน์สบตาอีกฝ่ายก่อนคลี่ยิ้มออกมา อย่างน้อย เขาก็ไม่คิดจะฉวยโอกาสอย่างที่เธอเคยกลัวในทีแรก
“คุณต้องเก็บตัวเก็บใจเอาไว้ให้ผมคนเดียว ผมไม่อยากเป็นศัตรูกับหมวดเพราะเรื่องหัวใจ ทุกอย่างอยู่ที่คุณนะครับคุณครู”
เขากระซิบชิดริมฝีปากนุ่มด้วยน้ำเสียงจริงจัง นัยน์ตาดำเข้มสบประสานดวงตาคู่หวานของอีกฝ่ายนิ่งนาน
ความคิดและอคติที่เคยมีอยู่ในอดีตก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไป เขาและเธอต่างคิดด้วยหัวใจที่ตรงกันว่า นับจากวันนี้ไปความรู้สึกที่ต่างฝ่ายต่างมอบให้กันจะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น แม้จะไม่สามารถล่วงรู้ได้เลยว่าวันข้างหน้าจะพบเจอกับอุปสรรคอันใดบ้าง...