พลอยใสกับหาญกลับมาถึงบ้านในเวลาห้าโมงเกือบหกโมงเย็น พอมาถึงก็ส่งยื่นถุงอาหารที่แวะซื้อก่อนกลับมาบ้านให้เด็กไปจัดเตรียมตั้งโต๊ะ ส่วนตัวเธอก็เดินไปในห้องนั่งเล่น เพราะคิดว่าตอนนี้ลูกชายคงอยู่กับปุณณ์ที่นั่น แต่พอไปถึงนางก็เห็นแต่ความว่างเปล่า จึงหันมาชวนสามีนั่งเล่นรอ
“เด็กๆ ไปไหนกันนะ มืดแล้วด้วย ออกไปเดินเล่นคงไม่ใช่หรอก เห็นมีรถจอดอยู่คงเป็นรถของหนูปุณณ์แน่เลยค่ะ” ก่อนมาเห็นรถคันไม่คุ้นตาจอดอยู่ที่โรงจอดรถคงเป็นรถของหลานสาวจากเมืองกรุงแน่
“คงอยู่แถวนี้แหละคุณ แล้วนี่คุณโทรบอกคุณโอบญาติคุณรึยังว่าลูกสาวของเขามาถึงบ้านเราอย่างปลอดภัยแล้ว” หาญแนะนำภรรยา
“อุ๊ย! ลืมเลยค่ะ เดี๋ยวหลังอาหารเย็นค่อยโทรค่ะ ตอนนี้เราให้คนไปตามทั้งสองมาทานข้าวเย็นกันดีกว่าค่ะ นี่ก็มืดแล้วด้วย” นางลืมไปเลยว่ายังไม่ได้โทรหาโอบขวัญ และโอบขวัญก็ไม่ได้โทรหานางเลยวันนี้ สงสัยงานจะเยอะจนไม่มีเวลาโทรหาแน่ๆ แต่เอาไว้ค่อยโทรหาหลังทานมื้อเย็นเสร็จก็ได้
หาญเรียกหาเด็กรับใช้ในบ้านให้มาหาตนเพื่อรับคำสั่งงานให้ไปตามเหี้ยมกับหนูปุณณ์มาทานมื้อเย็นด้วยกัน พอสั่งงานเสร็จหาญก็ประคองภรรยายอดดวงใจลุกเดินไปยังห้องรับประทานอาหารรอลูกชายและหลานสาวที่จะมาอยู่ด้วยตั้งแต่วันนี้จนครบสามเดือน
ตอนนี้อาหารมากมายเต็มโต๊ะไปหมด พลอยใสกับสามีไม่รู้ว่าอาหารที่เลือกซื้อมาจะถูกใจปุณณ์ไหม เลยเลือกมาทุกอย่างที่ร้านอาหารมีขายจนตอนนี้กับข้าววางล้นไปหมด ส่วนเหี้ยมนั้นก็นั่งหน้านิ่งที่ประจำของตนเองแล้วมองอาหารตรงหน้า แม่ของเขาไม่ค่อยเห่อและดีใจเลยที่จะมีหลานสาวมาอยู่ด้วยกัน แม่ของเขานั้นเหงาอยากมีลูกสาวมานานแล้ว เดี๋ยวจัดมาเป็นสะใภ้ให้เสียเลยนี่
ปุณณ์รู้สึกถูกชะตากับคุณป้าและคุณลุงที่มีสายตาเอ็นดูอบอุ่นส่งมาให้ ตอนแรกแอบกังวลหลังจากได้โทรศัพท์ตัวเองมาตอนที่เด็กที่อู่เอารถเธอมาส่งให้ ข้าวของเงินทองอยู่ครบทุกอย่าง พอได้โทรศัพท์ก็โทรหาผู้เป็นแม่ทันทีว่าตนเองนั้นลำบากมากสำหรับวันแรกที่มา แต่แทนที่แม่หล่อนจะสงสารเห็นใจกลับหัวเราะขำเหมือนกับว่าเรื่องที่เล่าไปนั้นเป็นเรื่องตลก
“อาหารพอทานได้นะหนูปุณณ์ ป้ากับลุงไม่รู้ว่าจะซื้ออันไหนดีเลยซื้อมาเยอะหน่อยจ้ะ อยากต้อนรับหนูด้วยที่มาอยู่กับเรา” พลอยใสเอ่ยเสียงใสตามวัยของตนพร้อมกับเชิญชวนให้หญิงสาวหน้าตาจิ้มลิ้มทาน
เฮอะ!
เหี้ยมบุ้ยปากไปมาอย่างหมั่นไส้ปุณณ์ ก่อนจะลงมือตักอาหารทานโดยไม่สนใจว่าพ่อกับแม่จะชวนหลานสาวพูดคุยอะไร
“ทานได้ค่ะป้าพลอย หนูขอบคุณป้าพลอยกับลุงหาญมากนะคะที่ให้การต้อนรับหนูอย่างดี แต่หนูสงสัยและอยากถามค่ะ หนูถามได้ใช่ไหมคะ”
เมื่อคิดมาตลอดตั้งแต่เจอหน้าท่านทั้งสองและแนะนำตัวทักทายกัน เธอมองหน้าท่านทั้งสองสลับกับหน้าเหี้ยมโหดของลูกชายเจ้าของบ้านหลายครั้งต่อหลายครั้งก็ยังไม่มีเค้าโครงที่คล้ายกันให้เธอเห็นเลยสักครั้ง เลยอยากรู้ว่าเหี้ยมเป็นลูกของพวกท่านจริงๆ ไหม ทำไมนิสัยต่างจากท่านทั้งสองเหลือเกิน แต่เดี๋ยวก่อน ต่างเฉพาะตอนอยู่กับเธอเท่านั้นแหละ เพราะเวลาเขาพูดคุยกับพ่อแม่นั้นน้ำเสียงสุภาพอ่อนโยนนุ่มนวลทุกครั้ง และดวงตาคมกล้าสีเหล็กก็มีประกายสดใส ต่างจากอยู่กับหล่อนที่ห่าม ดิบ ถ่อย เถื่อนเหมือนหน้ารกเคราของเขาไม่มีผิด
“ได้สิหนูปุณณ์” หาญอนุญาต
“คือถ้าไม่ใช่ที่หนูสงสัยก็ต้องขอโทษป้าพลอยกับลุงหาญด้วยนะคะ คือว่าพี่เหี้ยมเป็นลูกชายแท้ๆ ของป้าพลอยกับลุงหาญจริงๆ เหรอคะ” เธอกัดฟันเรียกเขาว่า “พี่” ทั้งๆ ที่ไม่อยากเรียก แต่ต่อหน้าพวกท่านเธอต้องเรียกอย่างให้เกียรติเหี้ยม
ฮ่าๆๆ
หาญกับพลอยใสหลุดขำทันทีเมื่อเจอคำถามนี้จากปุณณ์ ก็จริงอย่างที่เธอถามนั้นแหละ มองยังไงเหี้ยมก็ต่างจากพวกเขาทั้งสองที่เป็นพ่อแม่ แต่ถ้าได้ลองโกนหนวดโกนเคราออกแล้วละก็ ปุณณ์จะไม่ถามแบบนี้ เพราะเหี้ยมนั้นมีหน้าตาเหมือนพ่อราวกับเป็นแฝด หรือจะว่าเหมือนผู้เป็นพ่อสมัยหนุ่มราวกับเป็นคนเดียวกันอย่างไรอย่านั้น แต่ที่ต่างกันคือเหี้ยมเป็นคนผิวดำแดง และสีผิวไม่เหมือนนางกับสามีที่ผิวขาวเหลือง เพราะลูกชายมีสีผิวเหมือนคุณตาของเขา
“ป้ากับลุงขอโทษนะลูกที่ขำคำถามหนูปุณณ์ คิกๆ...อึก” นางยังกลั้นขำไม่ได้อยู่ดี เพราะคิดแล้วก็อยากหัวเราะอีกครั้ง แต่ก็ต้องฝืนพูดต่อให้จบ “คือป้ากับลุงไม่แปลกใจเลยจ้ะที่หนูสงสัย เพราะพี่เขาดูเหมือนโจรป่า โจรห้าร้อยใช่ไหมลูก แต่ถ้าพี่เขาไม่มีหนวดมีเครา หนูจะไม่ถามแบบนี้กับป้าและลุงเลย เพราะพี่เขานั้นหน้าเหมือนกับลุงหาญราวกับแฝดเลยนะลูก แต่หนูมองไม่ออกหรอก เพราะมีเครากับหนวดบดบังกรอบหน้าไว้ แต่จะว่าไปหน้าไม่เข้ากับชุดที่ใส่เลยใช่ไหมลูก”
ปุณณ์พยักหน้าฟังและรับรู้ตาม แล้วก็มองไปยังคนที่ตั้งหน้าตั้งตาทานข้าวที่นั่งตรงข้ามกับตนแล้วถามผู้เป็นป้าต่อ
“ปุณณ์มองไม่เห็นเค้าโครงที่บอกว่าเหมือนลุงหาญเลยค่ะป้าพลอย ลุงหาญ” เธอไม่เชื่อ เพราะมองยังไงก็ไม่เหมือน
“เดี๋ยววันหลังป้าเอารูปสมัยที่พี่เขาเรียนจบให้ดูนะลูก หนูจะต้องกรี๊ดแน่ พี่เขาหล่อมากนะลูก แต่ตอนนี้เหรอ เป็นเจ้าของอู่และก็ทำตัวทำหน้าเหมือนชื่อนั่นแหละ เหี้ยมสมชื่ออย่างหนูเห็น แต่ไม่ต้องกลัวพี่เขานะลูก อยู่ๆ ไปหนูจะชอบความมุ้งมิ้งของพี่เขา นี่ทานข้าวอิ่มดื่มน้ำเสร็จก็จะเอาลิปมันออกมาทานะลูก และพวกเสื้อผ้าหนูก็ไม่ต้องตกใจและแปลกใจ พี่เขาจะมีแต่สีชมพู ไม่รู้ไปรักไปหลงสีชมพูอะไรนักหนา แต่พี่เขาชายแท้นะลูก ไม่ใช่เกย์”
นางยืนยันในคำท้ายประโยคด้วยน้ำเสียงหนักแน่นและจริงจัง ซึ่งปุณณ์ก็เชื่อ เพราะได้สัมผัสมากับตัวเองว่าเขาไม่ใช่อีแอบแม้ว่าภายนอกจะดูเหมือนก็ตามเถอะ ที่เหมือนคือพวกเสื้อผ้าและเวลาเขาทาลิปสติกมันช่างเหมือนสาวแตกก็มิปาน แต่พอเขาโกรธ เขากลับน่ากลัวเลยทีเดียว น่ากลัวพอๆ กับหน้าตาโหดดุของเขานั่นแหละ
“ปุณณ์จะพยายามชินค่ะป้าพลอย ขอบคุณนะคะที่ให้การต้อนรับหนูอย่างอบอุ่น”
“ลุงกับป้าดีใจมากที่หนูจะมาอยู่ด้วยสามเดือน และพี่เขาเองก็ดีใจที่จะมีน้องสาว ใช่ไหมเหี้ยม” หาญเอ่ยถามลูกชายในช่วงท้ายประโยค คนถูกถามเงยหน้าจากจานข้าวตรงหน้าส่งยิ้มแห้งๆ ให้ผู้เป็นพ่อก่อนตอบ
“คงดีใจมั้งครับพ่อหาญ” ตอบเพียงสั้นๆ แล้วทานข้าวต่อ
“ทานข้าวกันเถอะจ้ะ คุยกันแบบนี้อาหารจืดพอดี ดูสิ พี่เขาทานจนข้าวจะหมดจานแล้วนั่น” พลอยใสชวนทุกคนทานข้าว เพราะว่ามัวแต่พูดคุยซักถามกันจนไม่ได้ลงมือทานสักคำ ส่วนเหี้ยมนั้นเหรอ ไม่สนใจอะไรตั้งหน้าตั้งตาทานจนตอนนี้ข้าวจะหมดจานแล้ว
“เหี้ยมตักอาหารให้น้องหน่อยสิลูก เทคแคร์น้องหน่อย” พลอยใสเอ่ยเสียงหวานบอกสั่งลูกชาย เหี้ยมเงยหน้ามองหน้าแม่แล้วมองหน้าคนนั่งข้างแม่แล้วก็อดส่งสายตากร้าวให้ไม่ได้
“ผมตักไม่ถึงครับ ให้น้องปุณณ์ตักเองดีกว่าจะได้ถูกใจ ว่าไหมครับ” ปฏิเสธเสียงนุ่มพร้อมถามหญิงสาวด้วย
“ปุณณ์ตักเองดีกว่าค่ะป้าพลอย ขอบคุณนะคะ ป้าพลอยก็ทานเยอะๆ นะคะ” พูดยิ้มๆ แม้จะไม่พอใจกับคำพูดและการถูกปฏิเสธจากเหี้ยม แต่ก็ต้องฝืนยิ้มพึงพอใจ