หลงเสน่ห์จอมทมิฬ บทที่1.
ถ้าฉันเลือกได้...
เริ่มวันใหม่ด้วยเสียงโหวกเหวกของเพื่อนบ้าน ฉันงัวเงียลุกจากที่นอน กวาดตามองหาแม่ที่น่าจะตื่นก่อนนานแล้ว เสียงกุกกักดังมาจากในครัวโทรมๆ ด้านหลังผนังบ้านไม้ระแนงที่ค่อนข้างผุกร่อน แสงไฟสีส้มที่ให้แสงสว่างไม่มากพอจะทำให้มองทุกอย่างชัดนัก แต่ทำไงได้ล่ะ แค่มีไฟฟ้าใช้ก็ถือว่าโชคดีแล้วสำหรับบ้านเรือนในสลัมแห่งนี้ บ้านของฉันทั้งหลังมีไฟใช้แค่สองดวง คือในครัวกับกลางบ้าน เครื่องใช้ไฟฟ้ามีราคาไม่ต้องถามถึง มีพัดลมเก่าๆ ตัวหนึ่งที่ช่วยระบายความร้อนได้อย่างดีตอนกลางคืน แม้เสียงจะดังจนน่ารำคาญ แต่ก็ดีกว่านอนไม่หลับเพราะอากาศร้อนอบอ้าว
“ตื่นแล้วเรอะแพร ลุกมาช่วยแม่เตรียมของหน่อยสิ”
มือผอมบางควานหายางรัดถุงแกงที่เก็บไว้ในกระป๋องนมเก่าๆ ข้างที่นอน แล้วจัดการรวบผมยาวเคลียไหล่มัดเป็นพวงไว้หลังท้ายทอย
เมื่อฉันโผล่หน้าเข้าไปในครัว แม่กำลังสาละวนกับการปรุงรสโจ๊กหม้อใหญ่บนเตาไฟ แม่หันมายิ้มเซียวๆ ให้ “ไปล้างหน้าก่อนสิ” ฉันเดินเลยไปอีกนิดยกฝาถังน้ำพลาสติกใช้ขันใบเล็กตักน้ำในนั้นขึ้นราดลงบนใบหน้า หลังล้างคราบขี้ตาและแถมด้วยการแปรงฟัน ฉันแอบย่นจมูก ความอัตคัดทำให้ฉันต้องพบเจอกับความขาดแคลนอยู่เสมอ หลอดยาสีฟันที่บีบจนแบนและเนื้อสีขาวด้านในแทบไม่มีเหลือ ฉันแค่นเคล้นจนได้ก้อนยาสีฟันติดที่แปรงสีฟันไม่เท่าเม็ดถั่ว ฟองไม่ใคร่มีหรอก แต่ก็ยังดีกว่าการแปรงฟันด้วยน้ำเปล่า อย่างน้อยยาสีฟันก็ช่วยให้ฉันมั่นใจว่าปากของฉันสะอาดมากพอ
“แม่จ๋า ยาสีฟันหมดแล้วนะจ๊ะ”
แม่หันมายิ้มให้ฉันอีกครั้ง “เตือนแม่ตอนขายของหมดด้วยนะแพร ไม่อย่างนั้นพรุ่งนี้แพรได้แปรงฟันกับเกลือแทนแน่” แม่ไม่ใช่คนขี้ลืมหรอก แต่งานในแต่ละวันรัดตัวจนทำให้หลงลืมไปบ้าง
ฉันพยักหน้ารับ เดินไปหยิบตะกร้าที่มีผ้าสีขาวคลุมไว้ ยกตะกร้าใบใหญ่นั้นขึ้นจนตัวเอียง เพราะในตะกร้าเต็มไปด้วยชามพลาสติกที่มีไว้สำหรับใส่โจ๊ก ใช่เลย...แม่ฉันมีอาชีพเป็นแม่ค้าขายโจ๊กตอนเช้ามืด แต่ไม่ได้หมดแค่นั้นหรอกนะ ตกตอนเย็นแม่ฉันก็เป็นแม่ค้าขายข้าวแกง ดังนั้นไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมผู้หญิงวัยสามสิบปลายๆ คนนี้ถึงดูแก่เกินวัยนัก
พลอยคือชื่อของแม่ฉัน...ฉันไม่เคยถามหาพ่อ เพราะทุกครั้งที่พูดถึงพ่อ แววตาแม่จะเศร้าจนฉันใจไม่ดี
แม่พร่ำสอนฉันตอนเข้านอน แม่ไม่มีสมบัติติดตัว ไม่มีอะไรที่ทำให้ฉันสะดวกสบายได้ ดังนั้นหากฉันไม่อยากลำบากเหมือนแม่ ความรู้คือสิ่งเดียวที่ฉันจะทำได้ วันหน้าในอนาคต สิ่งที่ฉันร่ำเรียนมาจะช่วยให้แม่และฉันสบายขึ้น
ฉันก้มหน้าก้มตาเรียน พยายามไม่สนใจสายตาดูแคลนจากเพื่อนรอบตัว ความยากจนของฉันทำให้ฉันถูกรังเกียจ ฉันไม่แคร์คนเหล่านั้นเลย พวกเขาไม่ได้ทำให้ฉันอิ่มท้อง...คำดูถูกเหล่านั้นทำให้ฉันพยายามมากยิ่งขึ้น ผลการเรียนของฉันดีกว่าเพื่อนทุกคนในห้อง ฉันสอบได้ที่หนึ่งทุกปี ทั้งที่ฉันไม่เคยเรียนพิเศษ ไม่เคยมีติวเตอร์ส่วนตัว ทุกอย่างฉันควานหาในเวลาเรียนเท่านั้น ฉันรักแม่ และสงสารแม่ด้วย อะไรที่ฉันช่วยผ่อนแรงแม่ได้ ฉันไม่เคยรีรอที่จะอาสา ดังนั้น มันจึงเป็นภาพที่คนละแวกนั้นชินชา เด็กหญิงตัวเล็กๆ ที่ขันอาสาช่วยแม่ทุกอย่างตั้งแต่ล้างจาน และช่วยทอนสตางค์ ฉันไม่เคยเถลไถลไปเล่นเหมือนเด็กคนอื่น กิจวัตรประจำวันตั้งแต่ลืมตาตื่นจนถึงหัวถึงหมอนเหมือนกันทุกวัน
แต่ทว่า...ความขยันอย่างเดียวไม่ได้ช่วยให้ฐานะของแม่ฉันดีขึ้นเลย
ฉันยังอาศัยอยู่ในบ้านโทรมๆ หลังเดิม
ถัดไปจากซอยที่ฉันอาศัยอยู่ ความเหลื่อมล้ำที่ฉันไม่มีวันตะกายไปถึง...บ้านจัดสรรขนาดใหญ่ แบบบ้านสวยจนครั้งแรกที่ฉันเห็นใบปลิวตกอยู่ตรงหน้ายังแอบเคลิ้มไม่ได้ หากฉันมีเงิน ฉันจะพาแม่ไปอยู่ที่นั่น
“แม่จ๋าบ้านในนี้เขาขายหลังละเท่าไรคะ?” ฉันถามแม่ตามประสาเด็กน้อย
แม่ยิ้มให้ยกมือลูบศีรษะฉันและตอบสั้นๆ ว่า “ต่อให้แพรกับแม่ขายของจนตายก็ไม่มีปัญญาซื้อบ้านที่นั่นได้หรอกแพรเอ๋ย มันแพง”
แต่ฉันไม่ได้คิดแบบนั้น ฉันฝันไปไกลกว่านั้น วันที่ฉันโตขึ้น ฉันจะซื้อบ้านแบบนี้ให้แม่อยู่
มีอยู่วันหนึ่งฉันแอบแม่ไปจนถึงที่นั่นเพื่อไปดูบ้านในฝันสักครั้ง ฉันหลบสายตายามที่นั่งเฝ้าทางเข้าไปจนถึงด้านในได้สำเร็จ ฉันตื่นเต้นกับความสวยงามรอบตัวที่ไม่เคยสัมผัส ต้นไม้ที่นี่ถูกจัดแต่งอย่างดี และสนามเด็กเล่นที่เต็มไปด้วยเครื่องเล่นมากมาย มากกว่าที่โรงเรียนที่ฉันเรียนหลายเท่า ฉันอยากเล่นเครื่องพวกนั้น แต่เสื้อผ้าสีตุ่นกับสภาพของฉันทำให้ไม่กล้าแตะต้อง ฉันนั่งมองเด็กคนอื่นเล่นเครื่องเล่นกันอย่างสนุก ก่อนจะตัดใจเดินกลับ พร้อมกับความมุ่งมั่นในใจ
สักวัน...ฉันจะมีทุกอย่างที่เห็นตรงหน้า
คงเพราะกำลังคิดในใจฉันเลยไม่ทันระวัง ฉันเดินแฉลบออกไปจากข้างถนน และถูกรถมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งเฉี่ยวจนเสียหลัก ฉันถลาเข้าไปในพุ่มไม้เตี้ยๆ ข้างทาง เนื้อตัวถลอกเพราะผิวครูดไปกับพื้นซีเมนต์
“ซวยฉิบหาย!” ฉันย่นจมูก ถึงฉันจะอยู่ในสลัม แต่คำหยาบพวกนั้นฉันก็ไม่เคยพูด
แม่สอนแล้วสอนอีกเรื่องคำพูดคำจา ฉันระมัดระวังมาตลอด แม้รอบตัวของฉันจะเต็มไปด้วยผู้คนที่ชาชินกับถ้อยคำหยาบๆ เหล่านั้น
ทันทีที่ฉันโผล่หน้าออกไปจากพุ่มไม้ “เดินประสาอะไร แล้วเข้ามาในนี้ได้ยังไงหะ” ฉันมองคนพูดตาค้าง เขาเป็นเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา ผมสีน้ำตาลไหม้ ของเขากับดวงตาสีฟ้าอ่อน เขาคงมีเชื้อสายผสมระหว่างคนที่นี่กับต่างชาติ แต่กลับกลมกลืนเสียจนฉันหลงเพ้อ
“เด็กปัญญาอ่อนหรือไงวะ!” เขายังแสดงความไม่พอใจอย่างต่อเนื่อง
“ฉันจะไม่จ่ายให้เธอหรอกนะ เธอเดินทะเล่อทะล่าเองนี่ ฉันขับรถมาดีๆ เธอโผล่มาจากไหนยัยเด็กบ้า”
ฉันมัวแต่มองปากของเขาที่ขยับขึ้นลง ปากของเขาแดงระเรื่อ ผิวของเขาขาวสว่างเหมือนกินหลอดนีออนเป็นอาหาร
ผมโมโหจนนอตหลุด...ไม่คิดว่าตัวเองจะซวยตั้งแต่ย้ายมาอยู่บ้านใหม่วันแรกๆ ผมขับรถมอเตอร์ไซค์คันใหม่ที่พ่อซื้อให้ เพื่อสำรวจอาณาเขต ไม่คิดว่าจะซวยซับซวยซ้อนได้ขนาดนี้
เด็กหญิงตรงหน้าสภาพเหมือนของทาน หล่อนตาลอยและเอาแต่นั่งจ้องหน้าผม
‘คงไม่ใช่เพราะผมชนเด็กนี่จนสมองกระทบกระเทือนหรอกนะ’
เสื้อผ้าที่เด็กนั่นสวมผ้าขี้ริ้วในบ้านผมน่าจะมีสภาพดีกว่า เด็กนั่นผอมแกร็นจนเดาอายุไม่ถูก ท่าทางเหมือนเด็กไม่สมประกอบจนผมเริ่มหงุดหงิด
“แด๊ด...ผมขับรถเฉี่ยวเด็กที่ถนน แด๊ดมาจัดการให้ผมทีสิ”
เมเลี่ยน ชานนท์ บริโอ้ นั่นคือชื่อเต็มของผม แม่ผมเป็นคนไทย แต่บิดาเป็นต่างชาติ พ่อผมชื่อมาริน บริโอ้ แม่ผมชื่ออิงอร พลอยริน บริโอ้
มีเสียงโหวกเหวกดังแทรกมาจากปลายสาย “ห้ามวางสายนะมิเลี่ยน ลูกแน่ใจนะว่าตัวเองไม่ได้บาดเจ็บ” นั่นคือเสียงแม่ผมเอง แม่ที่รักและหวงผมยิ่งกว่าแม่งูจงอาง ไม่เกินสิบนาทีรถยนต์คันใหญ่ก็แล่นมาจอด แม่ผมเป็นคนแรกที่เข้ามาถึงตัวผม พ่อเดินตามหลังมาเอื่อยๆ และโครงศีรษะไปมา พร้อมกับบ่นพึมพำ “แม่ของลูกทำเหมือนกับว่าลูกบาดเจ็บสาหัส แล้วไหนล่ะ คู่กรณีของลูกน่ะมิเลียน”
ผมชี้มือไปที่เด็กน้อยที่ยังนั่งตาลอยคว้าง
แม่ผมไม่ได้สนใจเด็กนั่นสักนิด ท่านสำรวจผมทั้งตัวพร้อมกับบ่นไปด้วย “แม่เตือนไม่เคยฟังสองล้อ มันจะสู้สี่ล้อได้ยังไง” ผมเหยียดยิ้มไม่เถียงด้วย ผมไม่มีทางเถียงชนะแม่หรอก ต่อให้เหตุผลผมดีแค่ไหน แม่ก็หาข้อโต้แย้งได้เสมอ