"สุมด และดินสอ" ดวงตาหวานที่หลุบมอบสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเบิกขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะเงยหน้าขึ้นตามเสียงทุ้มที่อธิบายเพิ่มว่า
"ผมอุตส่าห์ค้นหาไปทั่วบ้านคุณตา จนเจอเลยนะ"
นักเขียนหากได้อะไรที่ทำให้สามารถขีดเขียนความคิด ความรู้สึกต่าง ๆ ออกมาได้ยามที่อยากจะเขียนเล่าเรื่องราวขึ้นมาในยามนั้น สำหรับคนที่เป็นนักเขียนแล้ว จึงถือว่าเป็นสิ่งที่วิเศษสุดของตน
ปานยิหวาจึงแสดงความดีใจขึ้น จนทำให้ลืมความขุ่นข้องหมองใจที่มีต่อเขาไปเลย หล่อนรีบยื่นมือไปรับ พลางพึมพำขอบคุณตามเบา ๆ "ขอบคุณค่ะ คุณช้าง"
"คุณอยากได้สมุดและดินสอเอาไปทำอะไร"
เมื่อถามอย่างสนใจแล้วหม่อมหลวงหนุ่มจึงเห็นดวงตาคู่งามตรงหน้ากลอกไปมาอย่างลังเล ก่อนจะตอบอย่างไม่เต็มเสียงนักว่า
"ก็...เขียนจดหมาย"
"จดหมาย? ตอนนี้น่ะนะ ไม่รอกลับวังก่อนค่อยเขียน"
"ค่ะ ผิดหรือคะ ที่ฉันนึกอะไรขึ้นมาได้แล้วอยากเขียนไปเล่าให้คุณพ่อและคุณแม่ฉันรู้บ้าง" หล่อนตอบพลางวางท่าทางให้เป็นปกติที่สุด เริ่มไม่เข้าใจตัวเหมือนกันว่า ทำไมถึงให้เขารู้ไม่ได้ว่างานที่หล่อนทำอยู่นี้เป็นงานอะไร
"ก็ไม่รอกลับ..."
"กว่าคุณจะพาฉันและหนูปลากลับ สิ่งที่ฉันอยากเขียนเล่าให้คุณพ่อคุณแม่รู้ ก็ลืมหมดสิคะ"
แม้ฟังเหตุผลแล้วก็จะดูเอะใจอยู่บ้าง แต่หม่อมหลวงหนุ่มก็ไม่ได้ติดใจอะไรเพิ่มอีกหลังจากนั้น สมัยนี้การเขียนจดหมายเพื่อใช้ติดต่อสื่อสารหรืออยากเล่าเรื่องราวให้กับใครผู้หนึ่งรับรู้ก็เป็นเรื่องที่ทำอยู่แล้วโดยทั่วไป ครั้นเข้าใจสิ่งที่หล่อนต้องการมากขึ้น เขาจึงเอ่ยตัดบทว่า
"เอาล่ะ ตอนนี้คุณตาและคุณยายตั้งสำรับไว้เรียบร้อยแล้ว เราพาหนูปลาลงไปหาพวกท่านกันเถอะ" ก่อนจะเป็นฝ่ายยื่นมือหนาไปให้หลานสาวจับ เจ้าตัวเล็กจับมือคุณลุงแล้วก็เดินนำหล่อนลงไปที่แคร่ตัวเดิมนั้นต่อไป
.
หลังจากทานมื้อค่ำเรียบร้อย ปานยิหวาก็พาหลานปลาเข้าห้องนอน เมื่อเจ้าตัวเล็กหลับสนิท หล่อนก็สำรวจความเรียบร้อย ด้วยการตรวจดูมุ้งว่าได้เหน็บเอาไว้ดีแล้ว ไม่มียุงตัวใดสามารถบินเล็ดรอดผ่านเข้ามาได้ หญิงสาวก็ค่อย ๆ ออกจากที่นอน และเอื้อมมือไปหยิบสมุดและเดินสอที่หม่อมหลวงหนุ่มได้ไปค้นหาให้จนได้ แล้วจึงดับไฟในห้องนอนลง ก่อนจะเปิดประตูห้องเดินออกมาอย่างเงียบ ๆ เพื่อจะเขียนงานตัวเองลงในสมุดเก็บเอาไว้ก่อน เมื่อกลับไปถึงวังพรุ่งนี้แค่พิมพ์อย่างเดียวก็ทำให้หล่อนมีงานส่งบรรณาธิการของสำนักพิมพ์ได้แล้ว
ด้านนอกห้องนอนจะเป็นโถงโล่ง ขณะนี้มีหม่อมหลวงหนุ่มเป็นผู้เสียสละให้หล่อนและหลานนอนในห้อง เขานอนจะนอนตรงห้องโถงนี้แทน แต่ยามนี้เขาคงไม่นอนเพราะไฟยังถูกเปิดให้สว่างอยู่
"ฉันเขียนไม่ได้ค่ะ ถ้าเปิดให้ไฟสว่างในห้องหนูปลาจะตื่นแล้วงอแง ขอฉันนั่ง...เขียนตรงนี้สักครู่ได้มั้ยคะ" หล่อนถามอย่างเกรงใจ เพราะต้องเปิดไฟสว่างไสว กลัวว่าเขาจะต้องการนอนหลับมากกว่า
คชาธารพยักหน้าอนุญาต พลางบอก "ตอนนี้ผมยังนอนไม่หลับหรอก ตามสบายเลย"
ปานยิหวาจึงนั่งพับเพียบลงโดยห่างจากเขาราว ๆ สองเมตรวางสมุดไว้บนตัก แล้วเริ่มต้นเขียนงานของตนเองขึ้น โดยมีดวงตาคมปลาบเขาเฝ้ามองอย่างไม่ละสายตา ระหว่างนั้นหม่อมหลวงหนุ่มจึงเห็นใบหน้างามของหล่อน บางทีก็ดูเพลินกับการขีดเขียนที่หล่อนอ้างว่างเขียนจดหมายไปหาบิดามารดา บางทีสีหน้าของหล่อนก็ได้สะท้อนความจริงจังเป็นระยะ ๆ อีกทั้งท่าทีเวลาเขียนหรือจดอะไรลงไปในสมุดก็คล่องแคล่วดีจนทำให้เขาสนใจขึ้นมาว่า
"คุณ...เรียนจบชั้นไหน"
จู่ ๆ เขาก็ถามเรื่องการศึกษาของหล่อนขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ปานยิหวาจึงละสายตาจากสมุดขึ้นมามองใบหน้าหล่อเหลานั้นแวบ ก่อนจะกลับมาสนใจเขียนต่อ พร้อมกับตอบคำถามสั้น ๆ "พออ่านออกเขียนได้ค่ะ"
"ถึงปริญญาตรีมั้ย"
มือบางที่กำดินสอนั่นชะงัก หล่อนช้อนดวงตาคู่งามขึ้นมาอีก อมยิ้มเล็กน้อยพลางถามกลับไปบ้าง "ทำไมคะ ถ้าไม่จบถึงขั้นนั้นกลัวว่าฉันจะคุยกับคนที่เรียนจบเมืองนอกอย่างคุณมาไม่รู้เรื่องหรือคะ"
"โยกโย้เก่งอย่างนี้ คงถึงระดับนั้นได้อยู่หรอก"
หล่อนกลั้นขำยามจับความหงุดหงิดในน้ำเสียงสะบัดเมื่อครู่ของเขาได้ ครั้นพอใจที่ทำให้เขาเป็นฝ่ายหงุดหงิดบ้าง หล่อนก็ก้มหน้าเขียนต่อไป โดยมีดวงตาคมปลาบของเขามองอยู่ตลอด
"ไม่ถามก็ได้" เพราะเดี๋ยวเขาก็จะสืบจนรู้ให้ได้เอง!
เมื่อทำให้หม่อมหลวงหนุ่มหงุดหงิดได้ ก็คล้ายกับได้ทำให้ชายหนุ่มสงบปากคำลงด้วย เขาอยู่เงียบ ๆ กับตัวเองด้วยการเฝ้าจับตามองอีก คราวนี้คชาธารจึงเห็นท่าทางที่สิ่งหล่อนเขียนนั้น คงเป็นเรื่องที่ทำให้เกิดความเพลิดเพลินจำเริญใจต่อหล่อนขึ้นมาไม่น้อย เพราะบางทีหญิงสาวดูมีความสุข ดูเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น แต่บางคราวเขาก็เห็นว่ามีแววเคร่งเครียดอยู่บนใบหน้างาม และคิ้วสวยของหล่อนก็ได้ขมวดมุ่นให้เห็นเป็นระยะ ๆ
คชาธารมองหล่อนเพลิน ยิ่งยามใดที่หล่อนวางมือจากดินสอคล้ายต้องการคลายความเมื่อยขบจากการจดขยุกขยิกนาน ๆ หล่อนก็จะใช้มือข้างนั้นทัดเส้นผมที่คลอเคลียกับแก้มเนียนเอาไปคล้องกับใบหู ดวงตาคู่งามนั้นก็คอยอ่านทวนสิ่งที่ตนเขียนไปด้วย จากนั้นหญิงสาวก็เริ่มหยิบดินสอที่วางบนตกขึ้นมาเขียนต่อ ...
เพื่อคลายความเมื่อยขบจากการก้มเขียนสมุดที่วางอยู่บนตัก เขาจึงหยิบยื่นหมอนทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่ใช้หนุนขึ้นมา พลางขยับตัวแล้วยื่นไปให้หล่อน
ดวงตางามคู่ตรงหน้าจึงค่อย ๆ ช้อนขึ้นมาช้า ๆ มองตอบเขาอย่างงุนงงคล้ายไม่เข้าใจในการ กระทำของเขา กระทั่งคชาธารดึงมือข้างหนึ่งของหล่อนออกจากตัก แล้วยัดหมอนใบนี้ลงไปบนตักหล่อนเบา ๆ ปานยิหวาจึงเข้าใจได้
เขาอยากให้หล่อนใช้หมอนใบนี้รองสมุดเขียนเพื่อที่จะไม่ให้ตัวหล่อนต้องก้มลงไปมากกว่าเดิมนั่นเอง
"ขอบคุณค่ะ" ปานยิหวาขอบคุณอย่างซาบซึ้ง เขาช่างใส่ใจกับเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ
จากนั้นหม่อมหลวงหนุ่มก็ขยับกลับมาที่เดิม เพื่อไม่ให้หล่อนอึดอัด แล้วได้ถามเรื่องหนึ่งขึ้น "คุณรู้มั้ย ว่าผู้หญิงสวยที่สุดตอนไหน?"
คำถามของเขาทำให้หล่อนกลอกดวงตาคู่งามนั้นไปมาสักเล็กน้อย ก่อนจะตอบคำถามเขาไปว่า
"คงเป็นตอนแต่งหน้าแต่งตัวทำสวยสิคะ"
ปานยิหวาตอบตามที่นึกได้เท่านี้ เพราะหล่อนก็มองไม่เห็นอีกแล้วว่าบรรดาสาว ๆ จะพากันสวยในตอนไหน หากไม่ใช่ตอนนี้
แต่แล้วหม่อมหลวงหนุ่มผู้นี้กลับส่ายหน้าช้า ๆ อมยิ้มขึ้นเล็กน้อย แล้วเฉลย
"ก็...สวยตอนที่เธอมักจะเผลอไผลขณะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งอยู่ด้วยความใส่ใจ หรือความเพลิดเพลิน ซึ่งบางทีเธอก็ได้สะท้อนความมุ่งมั่นจริงจังออกมาทางสีหน้าแววตา ให้ผู้ชายอย่างเราได้เห็นแง่มุมเหล่านี้จากเธอมากขึ้น"
เขาตอบแล้วปานยิหวาก็สะดุ้งขึ้นเล็กน้อย คำพูดของเขาได้หมายถึงตัวหล่อนเองอย่างไม่ต้องสงสัย ปานยิหวารีบก้มหน้าลงมองสิ่งที่อยู่บนตักตรงหน้า เริ่มจะควบคุมตัวเองไม่ได้ขึ้นมา ยิ่งรู้ว่ามีสายตาคู่นั้นของเขามองหล่อนด้วยความรู้สึกเช่นไร!
คชาธารเองก็รู้ตัวว่าได้ทำให้สมาธิหญิงสาวแกว่งไกวไป เขายิ้มอีกเล็กน้อยก่อนจะล้มตัวนอนหงายลงไปบนพื้นพร้อมกับทอดสายตามองหลังคาที่มุงด้วยสังกะสีที่มีแมลงตัวเล็กตัวน้อยบินวนเวียนอยู่กับหลอดไฟอยู่ที่ห้อยโตงเตงจากคานบ้านลงมา ...
จากนั้น...เขาช่างไม่รู้ตัวเลยว่า หลังจากคำตอบของเขาเมื่อครู่ ทำให้ปานยิหวาไม่รู้ว่าจะสลักอักษรตัวใดลงไปในสมุดเล่มนี้ที่จะถูกใจหล่อนเท่ากับอักษรที่อ่านออกมาได้ว่า...'รัก' อีกแล้วนั่นเอง