“แฮ่ก ๆ ๆ นึกว่าคุณจะชอบเสียอีก เอ…หรือว่าทำเป็นขัดขืนเพื่อปลุกอารมณ์ผมงั้นเหรอ” ธารายิ้มเยาะอย่างดูหมิ่นดูแคลน รสชาติของริมฝีปากบางช่างหอมหวานเสียเหลือเกิน เขาชักเริ่มจะติดใจซะแล้วสิ
“คุณก็รู้ว่าสิ่งที่ฉันทำเมื่อครู่มันคือการแสดง แต่ที่คุณทำมันไม่ใช่ ปล่อยเดี๋ยวนี้เลยนะ”
“อยากขึ้นมาเองนี่นาช่วยไม่ได้ จูบนั่นถือซะว่าเป็นค่าตอบแทน ที่ผมเปลี่ยนตัวคุณให้เป็นนางเอกละกัน” ว่าแล้วก็คลายมือจากเอวคอดทันที
มาญ่าทั้งโกรธทั้งอายจนใบหน้าขาวเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อ เพราะนี่คือจูบแรกของเธอ เจ้าหล่อนยืนตรงหน้าเขาจ้องมองด้วยสีหน้าโกรธเคือง
เพี๊ยะ!
“นี่สำหรับที่คุณขโมยจูบแรกของฉันไป”
มาญ่ากล่าวทิ้งท้ายก่อนจะหมุนตัวเดินออกไปจากห้องโดยเร็ว ส่วนธาราได้แต่เกลี่ยนิ้วลูบไล้ริมฝีปากเบา ๆ เขาไม่ชอบความใจกล้าหน้าด้านของมาญ่าก็จริง แต่ทว่ารสจูบเมื่อครู่กลับมีแรงดึงดูดอะไรบางอย่าง ที่ทำให้เขาอยากจะลิ้มลองมันอีกครั้ง แต่คงทำได้แค่คิดเพราะเขาจะไม่ยอมแหกกฎที่ตัวเองตั้งไว้เด็ดขาด
มาญ่ารีบเดินออกจากห้องด้วยความเร่งรีบ พร้อมทั้งยกมือขึ้นปิดริมฝีปากตลอดเวลา จนคนที่เห็นต่างมองด้วยแววตาแห่งความสงสัยและอยากรู้อยากเห็น ร้อยวันพันปีนางเอกสาวชื่อดังเคยหรือที่จะย่างกรายเข้าไปพบผู้บริหารค่ายอย่างนี้ ทำให้ทุกคนต่างก็ซุบซิบนินทาไปต่าง ๆ นานา สมใจอยากผู้จัดการอย่างบ๊อบบี้แน่นอนแล้ว
ปัง!
เข้ามาในห้องน้ำแล้วสาวเจ้าก็รีบลงกลอนโดยเร็ว ทิ้งตัวนั่งลงบนชักโครก ปล่อยน้ำตาให้ไหลออกมาเพื่อระบายความอึดอัดในใจ เธอเกลียดชีวิตนางเอกที่เป็นอยู่เหลือเกิน เกลียดที่ไม่สามารถตัดสินใจอะไรเองได้ ทุกอย่างต้องขึ้นอยู่กับผู้จัดการเพียงเท่านั้น ที่ต้องยอมเพราะบ๊อบบี้ได้กำความลับทุกอย่างของเธอเอาไว้ในมือ เธอต้องอดทนเพื่อมารดาซึ่งเป็นกำลังใจเพียงหนึ่งเดียวที่เหลืออยู่ในชีวิต
“แม่จ๋า ฮือ…หนูเกลียดตัวเอง เกลียดชีวิตตัวเองเหลือเกิน”
เจ้าหล่อนได้แต่บ่นพึมพำเบา ๆ ก่อนจะก้มหน้าร้องไห้อยู่ในห้องน้ำเพียงลำพัง
++++++++++
ภายในร้าน Coffee shop หรูแห่งหนึ่งใจกลางเมืองหลวง โต๊ะในมุมลับ ๆ ที่ถูกจองไว้ล่วงหน้า มีชายหนุ่มร่างกำยำสมส่วน สวมเสื้อแจ็คเก็ตมีฮู้ดสีดำทับเสื้อยืดสีเดียวกัน เข้าคู่กับกางเกงยีนแบรนด์นอก สวมหมวกแก๊ปและแว่นกันแดดเพื่ออำพรางความเป็นตัวตน แต่ทว่ายังมีออร่าของความเป็นซูเปอร์สตาร์ฉายออกมา เจ้าตัวนั่งเล่นโทรศัพท์มือถือเพื่อฆ่าเวลาขณะรอใครบางคน
ดินแดนไม่มั่นใจว่าพู่กันจะมาตามนัดไหม แต่ก็ไม่ได้โทรถามย้ำอีกครั้ง เพราะไม่อยากจะเซ้าซี้ เพราะกลัวว่าจะสร้างความรำคาญใจให้อีกฝ่าย
ตึก ตึก ตึก
เสียงฝีเท้าน้อย ๆ ดังใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ทำให้ดินแดนละสายตาจากหน้าจอมือถือ หันไปมองว่าเจ้าของเสียงเดินนั้นใช่คนที่เขากำลังรออยู่หรือไม่
“พู่กัน” เจ้าตัวอุทานเบา ๆ เมื่อเห็นชายหนุ่มรูปร่างบอบบาง สวมเสื้อยืดตัวน้อยเข้าคู่กับกางเกงยีนเก่า ๆ ดูมีสไตล์เป็นของตัวเอง ผมสลวยที่สยายตัวลงมาจนถึงบ่า ถูกดัดเป็นลอนบาง ๆ เสริมความเซ็กซี่ให้เขาขึ้นไปอีก
“ขอโทษที่ให้รอนาน”
“นั่งก่อนสิ”
การพบเจอกันในครั้งนี้ผิดแปลกไป ทั้งสองฝ่ายต่างสงวนท่าทีมากขึ้น ไม่กล้าสบตา ราวกับคู่รักที่เพิ่งจะมานัดเดทกันครั้งแรก
“จะสั่งอะไรก่อนไหมล่ะ”
“ไม่ดีกว่า คุณมีอะไรก็รีบพูดมาผมจะรีบไปทำธุระต่อ” พู่กันอยากจะออกไปจากตรงนี้เร็ว ๆ เขารู้สึกอึดอัดเต็มทน เห็นหน้าดินแดนทีไรก็ทำให้จิตใจฟุ้งซ่านตลอดเวลา
“เมียนายรออยู่หน้าร้านหรือยังไง ถึงได้ดูรีบขนาดนั้น” คนพูดเบะปากเล็กน้อย เขาไม่รู้ว่าจะพูดประชดให้มันได้อะไรขึ้นมาในเมื่อตัวเองไม่ได้มีสิทธิ์อะไร ถ้าเจอหน้าคนนั้นอยากจะซัดหน้าให้สักหมัดถึงจะเป็นผู้หญิงก็ตามเถอะ โทษฐานที่บังอาจมาแย่งคนของเขา ไม่สิ! ต้องเรียกว่าอดีตคนของเขา
“เมีย?” ได้ยินก็ตกใจเล็กน้อย ส่งสายตามองดวงตาคมที่ซ่อนอยู่ภายใต้แว่นสีดำนั่น
“มีลูกก็ต้องมีเมียไม่ถูกหรือไง สรุปว่านายแต่งงานตั้งแต่ตอนไหนลูกถึงได้โตขนาดนี้แล้ว อย่าบอกนะว่าหลังจากที่เราเลิกกัน” ความตั้งใจอยากจะมาขอโทษกลับเป็นประเด็นรองไปเสียแล้ว ตอนนี้ดินแดนอยากรู้เรื่องราวชีวิตที่ผ่านมาของพู่กันมากกว่า
“นี่คุณนัดผมมาเพราะเรื่องอะไรกันแน่ ผมไม่จำเป็นต้องตอบเรื่องส่วนตัวให้คนแปลกหน้ารู้” เขาทำเสียงเข้มใส่ สื่อให้อีกฝ่ายรู้ว่ากำลังไม่พอใจ และพร้อมจะเดินออกไปจากที่นี่ได้ตลอดเวลาที่ต้องการ
“ฉันขอโทษที่เสียมารยาทไป…ที่นัดนายมาก็เพราะอยากจะขอโทษ”
“ขอโทษเรื่อง?”
“ก็เรื่องที่ฉันเคยทำกับนายไว้ยังไงล่ะ ทุกเรื่องที่ฉันเคยทำผิดเอาไว้ในอดีตและไม่กี่วันก่อนหน้านี้”
“อะไรทำให้คุณคิดได้ ทั้งที่ตอนแรกยังทำตัวเป็นผู้ชายหน้าตัวเมียอยู่เลย” ได้ทีผสมคำด่าเข้าไปด้วย หากไม่อยู่ในร้านย่านใจกลางกรุงเช่นนี้ คงโวยวายเสียงดังแล้วตบหน้าสักฉาดให้หายแค้น
“เพราะเนเน่ยังไงล่ะ” เขาจำได้แม่นว่าวันนั้นพู่กันเรียกลูกสาวว่าอย่างไร เสียงนั้นยังคงก้องในหูตลอดเวลา
“ลูกสาวผมทำไม คุณห้ามมายุ่งกับลูกสาวผมนะ” พู่กันออกตัวแรงจนผิดปกติ ทำให้ชายหนุ่มขมวดคิ้วหรี่ตามองผ่านแว่นอย่างสงสัย ทำไมอีกฝ่ายต้องแสดงออกอย่างนั้น ราวกับกลัวว่าเขาจะฆ่าจะแกงลูกสาวตัวเองซะอย่างนั้น
“พูดอย่างกับฉันจะไปฆ่าลูกสาวนายอย่างนั้นล่ะ เห็นเด็กมันน่ารักก็เลยรู้สึกเอ็นดู”
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับลูกสาวผมมิทราบ”
“ฉันรู้สึกถูกชะตากับเนเน่มาก เลยอยากจะขอเป็นผู้อุปถัมภ์เด็กคนนี้ เพื่อชดเชยสิ่งที่เคยทำกับนายในอดีต แต่ก่อนจะไปถึงขั้นนั้นฉันอยากจะขอโทษนายก่อน อยากให้เราพูดจากันดี ๆ เหมือนคนปกติทั่วไป นายพอจะยกโทษให้ฉันได้ไหม” ชายหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงมั่นคง เพื่อแสดงให้อีกฝ่ายรู้ว่าเขาจริงจังกับคำพูดมากแค่ไหน นี่ไม่ใช่เป็นเพราะคำสั่งของผู้จัดการ แต่เขารู้สึกอย่างนั้นจริง ๆ ใบหน้าเด็กคนนั้นคล้ายกับเขาในตอนเด็กอย่างน่าเหลือเชื่อ
“ผมเองก็อยากจะหมดเวรหมดกรรมกับคุณเหมือนกัน ผมจะยกโทษให้ไม่ติดใจอะไรทั้งนั้น”
“จริงดิ! ฉันโคตรดีใจมากเลยรู้ไหม” ดินแดนยิ้มกว้าง ถอดแว่นกันแดดวางไว้ตรงหน้า เพราะอยากเห็นใบหน้าสวยให้ถนัดตา อีกทั้งอยากให้อีกฝ่ายเห็นแววตาที่เต็มไปด้วยความปลื้มปีตินี้อย่างชัดเจนเหมือนกัน
“แต่…”
“แต่อะไร” ดีใจยังไม่ทันได้ถึงนาที ดินแดนก็ต้องหุบยิ้มเสียแล้ว
“แต่ผมไม่ขอรับความหวังดีจากคุณ ผมมีปัญญาส่งเสียลูกเองได้ ถ้าจะให้ดีเราไม่ต้องมาเจอหน้ากันอีก ต่างคนต่างอยู่เหมือนช่วงที่ผ่านมา ถ้าคุณอยากให้ผมยกโทษให้จริง ๆ ต้องสัญญาว่าจะทำให้ได้”
ดินแดนรู้สึกเหมือนใจแตกเป็นเสี่ยง ๆ เมื่อได้ยินอย่างนั้น เขาคงเลวในสายตาพู่กันมากจนไม่อยากแม้แต่จะเห็นหน้า มันเป็นความผิดของเขาเองที่คึกคะนองจนเกินเหตุ ตอนนั้นเขาเป็นฝ่ายเดินไปจากชีวิตพู่กัน แต่ตอนนี้ยอมรับว่าเสียดายคนคนนี้มาก และเขาเองก็ไม่มีสิทธิ์เป็นฝ่ายเลือกอีกแล้ว
“ฉัน…สัญญาว่าจะไม่ไปยุ่งกับนายอีก” เรื่องของเขาและพู่กันคงจะจบกันจริง ๆ สินะ ยังดีที่ในตอนจบของเรื่องเขาได้มีโอกาสกล่าวขอโทษคนนี้ด้วยตัวเอง เหมือนได้ตื่นจากฝันร้าย ได้ปลดบ่วงที่ยังคงค้างคาในใจ
“จำคำพูดของคุณเอาไว้ด้วย หวังว่าเราคงไม่ได้เจอกันอีกนะ” ว่าแล้วก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ กำลังจะเดินไปแต่ทว่ามือเรียวกลับถูกรั้งไว้
“เดี๋ยวก่อน”
“ปล่อยมือผมเดี๋ยวนี้”
“ฉันฝากตุ๊กตาไปให้เนเน่ได้ไหม ถือว่าฉันขอร้อง” เขาหยิบถุงที่บรรจุกล่องตุ๊กตาบาร์บี้ยื่นให้
พู่กันเห็นอย่างนั้นก็ลังเลใจ เขาอยากจะปฏิเสธสิ่งของที่อีกฝ่ายมอบให้ แต่พอนึกถึงหน้าลูกสาวก็ต้องใจอ่อนยวบ เพราะตั้งแต่เกิดมาเนเน่ไม่เคยได้เห็นหน้าคนเป็นพ่อเลย ถือซะว่าอย่างน้อยครั้งหนึ่งในชีวิตลูกสาวตัวน้อยก็เคยได้รับของเล่นจากผู้เป็นพ่อ ส่วนดินแดนก็ได้ทำหน้าที่พ่อโดยการช่วยเหลือชีวิตเนเน่ในวันนั้นแล้ว
“ผมจะรับไว้ละกัน” มือเรียวยื่นไปรับถุงจากนั้นเดินออกไปโดยเร็ว ทิ้งให้ซูเปอร์สตาร์หนุ่มนั่งหน้าจ๋อยอยู่เพียงลำพัง
ดินแดนรู้สึกใจหายอย่างบอกไม่ถูก ราวกับได้สูญเสียสิ่งของสำคัญไปจากชีวิต เมื่อนึกถึงดวงตาใสแป๋วของเด็กน้อยคนนั้นทำให้เขารู้สึกมีความสุขเหลือเกิน ความรู้สึกนี้มันคืออะไรกันแน่ เจ้าตัวถอนหายใจแล้วสวมแว่นกันแดด ยกฮู้ดเสื้อขึ้นมาคลุมศีรษะจากนั้นเดินล้วงกระเป๋าตามหลังออกไป
หลังจากซูเปอร์สตาร์หนุ่มเดินออกไปจากร้านแล้ว กล้องตัวเล็กที่ลั่นชัตเตอร์เก็บภาพไว้ก็ถูกนำขึ้นมาเปิดดู เป็นนักข่าวปาปารัสซี่นั่นเองที่นั่งอยู่อีกมุมของร้าน ได้เก็บภาพของทั้งสองคนไว้ทุกอิริยาบถ ภาพพวกนี้จะถูกนำขึ้นปกนิตยสารปาปารัสซี่เบอร์หนึ่งในวันพรุ่งนี้ และจะต้องเป็นข่าวดังไปทั่วประเทศอย่างแน่นอน