“พี่แดนขาขอถ่ายรูปหน่อย”
“พี่แดนยิ้มหน่อยค้า…”
เสียงดังมาจากนอกสตูดิโอ ทำให้คนทั้งสองต้องหันไปมองยังต้นเสียง พู่กันหัวใจเต้นแรงเมื่อรู้ว่าจะได้เจอหน้าเขาอีกครั้งในรอบห้าปี ยังคิดไม่ออกเลยว่าหากเจอหน้ากันจะต้องปั้นสีหน้ายังไง
“มาโน่นแล้วครับ นายแบบของคุณพู่กัน”
“พี่แดน” เจ้าตัวเปรยออกมาเบา ๆ ไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นดีใจเลยสักนิด นั่นทำให้ธาราเกิดความสงสัยว่าทำไมอีกฝ่ายถึงมีสีหน้าเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด
“ใช่ครับ ดินแดนที่ใคร ๆ ก็อยากจะเจอตัวจริง อยากจะได้ร่วมงานด้วย แต่ทำไมดูเหมือนคุณพู่กันไม่ดีใจเลยล่ะครับ”
“เอ่อ…สีหน้าผมมันบอกคุณอย่างนั้นเหรอครับ” เขาเริ่มได้สติจึงเปลี่ยนสีหน้าให้ดีขึ้น ฉีกยิ้มน้อย ๆ เพื่อให้อีกฝ่ายคลายความสงสัย
“ใช่ครับ”
“ไม่ใช่อย่างนั้นนะครับ ผมแค่ตื่นเต้นไปหน่อยที่จะได้ร่วมงานกับซุปตาร์ระดับประเทศ มันเหมือนฝันมากจริง ๆ ต้องขอบคุณสำหรับงานดี ๆ อย่างนี้นะครับ” เขาพยายามหาเหตุผลมาอ้าง ควบคุมตัวเองไม่ให้แสดงพิรุธออกมา ไม่ยอมให้ใครรู้เด็ดขาดว่าเขาและดินแดนเคยรู้จักกันมาก่อน
พู่กันได้แต่หวังว่ารูปลักษณ์ที่เปลี่ยนไป จะทำให้อีกฝ่ายไม่สามารถจดจำเขาได้ ตอนนั้นเขาสวมแว่นหนาเตอะ เป็นเพียงผู้ชายที่ไม่มีจุดเด่นอะไรเลย แตกต่างจากเขาที่หล่อยังไงวันนี้ก็ยังคงหล่อไม่เปลี่ยน แต่ทว่าสิ่งที่ซ่อนอยู่ภายใต้ความหล่อคือความระยำที่พู่กันได้สัมผัสมันมาด้วยตัวเอง และคิดว่าคงมีอีกหลายคนที่โดนกระทำเหมือนอย่างเขา
หลังจากฝ่าด่านแฟนคลับนับร้อยชีวิตเข้ามาได้แล้ว ดินแดนก็เดินหน้าบึ้งเข้ามาพร้อมกับผู้จัดการส่วนตัวสาวประเภทสองด้วยความเร่งรีบ เขามีเวลาสำหรับการถ่ายภาพเพียงไม่ถึงสองชั่วโมง ก็ต้องไปงานอีเวนต์ร้องเพลงเปิดตัวผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางแบรนด์หนึ่งในห้างหรู
“ผมขี้เกียจปั้นหน้ายิ้มให้กับผู้หญิงพวกนั้นเต็มทีแล้วนะพี่ปราด้า” ซุปตาร์หนุ่มกล่าวด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่ายซะเต็มประดา ขณะเร่งฝีเท้าเดินเข้ามาในสตูดิโอ สวมแว่นสีชาอำพรางสายตาคมกริบที่หากหญิงใดได้สบตาแล้ว เจ้าหล่อนจะต้องหลอมละลายได้ในพริบตาเลยทีเดียว
“อย่าพูดอย่างนี้อีกเด็ดขาดนะ หากใครได้ยินเข้ามีแต่พังกับพัง เป็นซุปตาร์ต้องระวังคำพูดรู้ไหมยะ” ผู้จัดการสาวสองรีบทักท้วงด้วยสีหน้าจริงจัง
“รู้แล้วน่า…ก็พูดเฉพาะเวลาอยู่กับพี่นี่ล่ะ”
การเป็นซูเปอร์สตาร์มันคือความฝันอันสูงสุดของดินแดนก็จริง แต่พอได้ขึ้นมาอยู่ถึงจุดนี้แล้วก็ทำให้ชีวิตเขาไม่มีความเป็นส่วนตัวเอาเสียเลย จะไปไหนมาไหนก็ต้องถูกสายตาจับจ้องตลอด ไม่เว้นแม้กระทั่งการเข้าไปปลดทุกข์ในห้องน้ำสาธารณะ จะดีหน่อยก็ตอนอยู่ที่บ้านเท่านั้น บางทีเจ้าตัวก็อยากหนีไปอยู่ที่ไหนสักแห่ง สถานที่ซึ่งไม่มีคนรู้จักแม้แต่คนเดียว แต่มันคงเป็นไปได้ยากเพราะตอนนี้ชื่อดินแดน ใคร ๆ ต่างก็รู้จัก ไม่ว่าจะเป็นเด็กตัวเล็ก ๆ ยันผู้สูงอายุเลยทีเดียว
“ดีมาก…สิ้นเดือนนี้ฉันจะเคลียร์คิวให้ละกัน ไปเที่ยวพักผ่อนสักอาทิตย์ดีไหม”
“ผมนึกว่าจะไม่ได้ยินประโยคนี้ซะแล้ว เห็นรับงานมาไม่เคยถามผมสักคำ” เจ้าตัวบ่นให้
“ที่ทำอย่างนั้นก็เพราะแกไม่ใช่หรือไอ้แดน ฉันอยากให้แกมีงานมีเงินไม่ขาดสาย น้ำขึ้นก็ให้รีบตักสิยะ”
“ทุกวันนี้ก็แทบไม่มีเวลาใช้เงินแล้ว ไม่รู้จะหาไปทำไมเยอะแยะ”
“เลิกบ่นได้แล้ว รีบเดินเข้าไปทักทายคุณธาราก่อน ไม่นึกว่าวันนี้จะมาดูงานด้วยตัวเอง”
ดินแดนหันไปมองก็เห็นเจ้าของค่ายที่ตัวเองสังกัดอยู่ยืนคุยกับชายหนุ่มคนหนึ่ง แต่งตัวทะมัดทะแมง สวมเสื้อยีนสีซีดทับเสื้อยืดสีขาวเอาไว้ ผมหยักศกที่ยาวประบ่าทำให้ดูเซ็กซี่ไม่หยอก แม้จะเห็นใบหน้าไม่ชัดเจนแต่ทว่าสามารถทำให้สะดุดตาได้ไม่น้อย
“ใครยืนอยู่กับคุณธารา เซ็กซี่โคตร ๆ” ความเป็นแบดบอยที่อยู่ในสายเลือดยังคงไม่จางหาย เจ้าตัวยกนิ้วชี้ขึ้นมาไล้ริมฝีปากเบา ๆ ยกยิ้มร้ายราวกับเสือที่เห็นเหยื่ออันโอชะ
“หยุดความคิดของแกเลยนะ ฉันล่ะเบื่อกับความเจ้าชู้ของแกจริง ๆ กี่รายแล้วที่ฉันต้องเคลียร์ปัญหาให้ อย่าให้มีข่าวฉาวเรื่องผู้หญิงอีกเด็ดขาดเข้าใจไหม” ผู้จัดการสาวชี้หน้าขู่ด้วยความเหนื่อยใจ เมื่อนึกถึงวีรกรรมของเด็กในปกครอง
“รู้แล้วน่าพี่…แค่มองก็ไม่ได้เหรอ ผมเป็นผู้ชายนะถ้าไม่มองผู้หญิงสิแปลก” เขาเอ่ยอย่างไม่ยี่หระ ชะเง้อมองเหยื่อรายใหม่อย่างสนใจ
“เฮ้อ! ฉันละเบื่อนิสัยแกเรื่องนี้เรื่องเดียวนี่ล่ะ”
ปราด้าเหลือบตามองอีกฝ่ายพลางถอนหายใจเบา ๆ จากนั้นเดินนำหน้าเข้าไปหาธาราและพู่กัน
เมื่อชายหนุ่มเดินเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ พู่กันได้แต่พยายามนับหนึ่งถึงสิบในใจ พรูลมออกจากปากนับครั้งไม่ถ้วน แม้อากาศจะเย็นสบายแต่กลับมีเม็ดเหงื่อผุดออกมา จนต้องหยิบผ้าเช็ดหน้าซับอยู่เรื่อย ๆ
“สวัสดีค่ะคุณธารา” เมื่อมาถึงปราด้าก็ยกมือไหว้อย่างมีสัมมาคารวะ แม้ว่าเธอเองจะมีอายุมากกว่าก็ตามที
“สวัสดีครับคุณปราด้า” ธารารับไหว้ผู้จัดการสาวด้วยรอยยิ้ม ทั้งสองรู้จักกันเป็นอย่างดี เพราะปราด้ามีเด็กในสังกัดที่อยู่ในค่ายของธาราหลายคน
ในวินาทีนี้พู่กันต้องดับเครื่องชนเท่านั้น เขาจะทำเป็นไม่รู้จักและไม่มีทางให้อีกฝ่ายรู้เด็ดขาดว่าการเลิกราในครั้งนั้น เขาได้ทิ้งให้ชีวิตน้อย ๆ ถือกำเนิดขึ้นมาบนโลกใบนี้
“สวัสดีครับคุณธารา” ดินแดนยกมือไหว้ผู้บริหารค่าย จากนั้นถอดแว่นสีชาเหน็บไว้ที่คอเสื้อ นั่นเพราะอยากเห็นดวงหน้าสวยให้ถนัดตา เขารู้สึกคุ้นหน้าผู้หญิงคนนี้เหลือเกิน มั่นใจว่าต้องเคยรู้จักกันมาก่อนเป็นแน่
“หวัดดีแดน” เมื่อเห็นดินแดนเอาแต่จ้องหน้าพู่กัน ธาราจึงเลิกคิ้วมองด้วยความสงสัย
“นี่คุณพู่กัน เป็นช่างภาพที่จะมาถ่ายงานวันนี้ไง คุณพู่กันครับนี่คุณปราด้าเป็นผู้จัดการส่วนตัวของแดน ส่วนคนนี้คงไม่ต้องแนะนำนะครับ”
“สวัสดีครับคุณปราด้า ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ”
“อ้าวคุณเป็นผู้ชายหรอกเหรอคะ ฉันก็นึกว่าเป็นผู้หญิงซะอีก โหสวยจนฉันต้องอายเลยนะคะเนี่ย ยังไงก็ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ” ปราด้าเบิกตาด้วยความตกใจเมื่อรู้ว่าคนที่ยืนตรงหน้าเป็นผู้ชาย ทั้งที่รูปลักษณ์ภายนอกทำให้เข้าใจว่าเป็นเพียงสาวห้าวเท่านั้น
“คุณปราด้าก็ชมเกินไป ผมก็แค่ผู้ชายเซอร์ ๆ คนนึงเท่านั้น ไม่ได้สวยอะไรเลย”
“อย่างนี้ค่อยโล่งใจไปหน่อย นึกว่าคุณจะกลายเป็นเหยื่อรายต่อไปของใครบางคนซะแล้ว” ว่าพร้อมทั้งเหล่ตามองซุปตาร์ในสังกัด
ได้ยินอย่างนั้นพู่กันก็หันมาส่งยิ้มให้ชายหนุ่มที่ยืนตรงหน้า ในที่สุดเขาก็ทำได้ ทำเหมือนไม่เคยรู้จักกันมาก่อน
“พู่กันงั้นเหรอ” ดินแดนจ้องมองดวงหน้าสวยให้ชัด ๆ อีกครั้ง โลกจะกลมอะไรขนาดนี้นะ จะใช่ไอ้แว่นคนนั้นจริง ๆ หรือ ทำไมสวยและดูดีขึ้นเป็นกองขนาดนี้จนเขานึกว่าเป็นผู้หญิงจริง ๆ เสียอีก
“ใช่ครับ…ผมชื่อพู่กันเป็นช่างภาพอิสระ ดีใจจังที่ได้เจอคุณแดนตัวเป็น ๆ ครั้งแรก ยินดีที่ได้ร่วมงานกันนะครับ” เจ้าตัวกล่าวทักทายด้วยรอยยิ้ม ทำเหมือนไม่เคยรู้จักกันมาก่อน
เมื่อได้ยินเสียงและจ้องตาในระยะประชิด สำหรับดินแดนแล้วเขามั่นใจว่าใช่เด็กคนนั้นแน่นอน คนที่เขาเคยหลอกฟันแล้วทิ้งเมื่อห้าปีก่อน จนทำให้คนที่ชื่อพู่กันหายไปจากชีวิตเขานับตั้งแต่วันนั้น
“พู่กันใช่ไหม?” ดินแดนถามย้ำอีกครั้ง เจ้าตัวไม่เชื่อว่าอีกฝ่ายจะจำตัวเองไม่ได้ เพราะเขาไม่ได้เปลี่ยนไปขนาดนั้น
“ใช่ครับ…ผมชื่อพู่กันคุณแดนมีอะไรสงสัยงั้นเหรอครับ”
“นายจำฉันไม่ได้จริง ๆ เหรอ”
“ผมงงไปหมดแล้วครับ คุณแดนพูดอะไรก็ไม่รู้” เขาแสร้งทำเป็นงง หันไปมองหน้าธาราเชิงตั้งคำถามว่าซุปตาร์หนุ่มเป็นอะไรไป
“แดนเคยรู้จักคุณพู่กันมาก่อนเหรอ”
“ปะ…เปล่า ผมคงจำคนผิด โทษทีนะครับคุณพู่กัน คุณคล้ายกับคนที่ผมเคยรู้จักมาก ๆ” สีหน้าคนพูดยังไม่คลายความสงสัย แต่ในเมื่ออีกฝ่ายยืนยันว่าไม่รู้จัก แสดงว่ามีโอกาสเป็นไปได้สองประเด็น ข้อแรกจำไม่ได้จริง ๆ ส่วนอีกข้อคือแกล้งทำเป็นจำไม่ได้ และหากเป็นอย่างหลังเขารู้ตัวดีว่าเป็นเพราะอะไร
เมื่อนึกย้อนกลับไปในช่วงเรียนมหาวิทยาลัย เขายอมรับว่าได้ทำร้ายจิตใจคนคนนี้เอาไว้เยอะพอสมควร เพื่อตอบสนองความสนุกและคึกคะนองของตัวเอง หากเป็นไปได้อยากจะเอ่ยคำว่าขอโทษให้เขาได้ยินสักครั้ง เผื่อว่าจะช่วยทำให้เรื่องที่ยังติดค้างในใจมันเลือนหายไปเสียที