ก็เพียงสายตาเคียดแค้นเขานั้นเจอมาจนชินชาไร้ความรู้สึกไปตั้งแต่เพิ่งเข้าวัยสิบหกหนาว
"มองด้วยสายตาเช่นนี้ใต้เท้าเยี่ยช่างเกรงใจไปแล้ว...แต่ว่าส่วนผู้ใดสมควรตายนั้นอีกสักครู่คงได้รู้แจ้ง จงค่อยๆ ป่นกระดูกคุณชายเยี่ยเถิดซางไห่"
หันไปเอ่ยวาจาแสนนุ่มนวลต่อเยี่ยหูชงเสร็จเรียบร้อยแล้วเขาจึงกล่าวเสียงเย็นเฉียบจะสั่งความคนสนิทมือขวารองผู้บังคับการหลิวซางไห่
"อย่านะ! ...อย่าทำลูกข้า"
ต่อให้ค่อยๆ แล่เนื้อเชือดเส้นเอ็นของเขาจนสิ้นใจเยี่ยหูชงก็มิหวั่นเกรงทว่าป่นกระดูกลูกชายเพียงคนเดียวซึ่งรักสุดดวงใจชายสูงวัยมิอาจทานทนได้แม้เพียงเสี้ยวลมหายใจ
"ลงมือ! "
ใบหน้าคมยังคงเรียบเฉยเมื่อมือข้างซ้ายของเด็กหนุ่มถูกทุบไปทีละนิ้ว...ละนิ้ว...
เสียงร้องที่ดังโหยหวนหลี่อี้เหรินเริ่มยากจะแยกแยะว่ามาจากผู้ใดในสามคนนั้นกันแน่ กลิ่นคาวเลือดเริ่มทวีเข้มข้นจน องค์จักรพรรดิหนุ่มเริ่มเวียนศีรษะจนแทบทรงกายสูงใหญ่ต่อไปอีกไม่ไหว
"หยางเจี่ยนพาฝ่าบาทของเจ้าไปพักยังด้านบนก่อนเถิด"
เมื่อสีขาวของใบหน้าผู้มีศักดิ์เป็นลูกผู้พี่แจ่มชัดในราตรีกาลเช่นนี้เซียวซานหลางจึง'ไล่'เขาไปเสียเพราะคร้านจะตามหมอให้บังเกิดความ'วุ่นวาย'ขึ้นมากลางดึกนั้นเอง...
"เจ้ากลัวเจิ้นจะจำวิธีเหล่านี้ไปทรมานเจ้าสินะใต้เท้าเซียว"
คนใกล้สิ้นสติยังคงปากเก่งมิหยุดยั้ง
"วันนี้กระหม่อมเหนื่อยแล้วฝ่าบาท เอาไว้วันหลังค่อยมาเรียนรู้ใหม่เถิดกระหม่อมยินดีแบ่งปันความรู้อย่าได้รีบร้อนพ่ะย่ะค่ะ...ค่อยๆ มาเรียนรู้ไปกระหม่อมมิเร่งรีบตายหนีพระองค์หรอก"
ผ้าเช็ดหน้าถูกยกขึ้นมาปิดจมูกแช่มช้า ก็เป็นเวลาเดียวกับร่างของหลี่อี้เหรินรูดลงไปกองกับพื้นทันทัน...
...ช่างเป็นฮ่องเต้ผู้เจ้าสำอางและบอบบางเกินไปจริงแท้...
"ซางไห่เร่งมือหน่อย...จางหลินเจ้านำฮูหยินเยี่ยไปลงมือเถิดค่อยๆ เชือดเนื้อของนางเริ่มจาก...ใบหน้านั่นก่อนก็แล้วกันสตรีรูปโฉมงดงามเห็นทีคงยิ่งกว่าสิ้นใจหากใบหน้าไร้เนื้อที่แก้ม หรือเจ้าคิดว่าเช่นไรใต้เท้าเยี่ย"
กล่าวแล้วมุมปากที่มักนิ่งสงบดังมหาสมุทรอยู่เนืองนิจก็ค่อยๆ เผยรอยยิ้มบางเบาทว่าดวงตาคมกลับดุร้ายเป็นอย่างยิ่ง!
"เจ้ามัน...เจ้ามันจิตใจต่ำทรามโหดเหี้ยมเกินมนุษย์! เจ้าเดรัจฉานจากขุมนรกหนีมากำเนิดเซียวซานหลาง!!! "
ยิ่งสองเสียงของลูกและเมียกรีดร้องมากเท่าไหร่เขาก็ยิ่งกว่าถูกควักหัวใจ
"ท่านพ่อ..."
"ท่านพี่..."
เซียวซานหลาง กระทำเพียงผ่อนลมหายใจเล็กน้อยก่อนจะถอยกลับมารินชาดีในกาน้ำร้อนใบใหม่ซึ่งเพิ่งถูกนำมาเปลี่ยนขึ้นจิบช้าๆ มองดูภาพตรงหน้าด้วยดวงตาสงบเยือกเย็นเช่นเคย...
...จิตใจโหดเหี้ยมนิศัยต่ำช้าเช่นนั้นหรือ...โหดเหี้ยมเกินมนุษย์แล้วเช่นไร? ...
...ต่อให้เป็นเดรัจฉานจากขุมนรกหนีมากำเนิดก็แล้วเช่นไรเล่า? ...
...หึ! ...คนเช่นเขาเซียวซานหลางผู้แบกรับสมญานามว่าพญายมแห่งฉงชิ่งผู้นี้หรือจะนำพาให้มากความไปไย...
เพราะอันคำชื่นชมเหล่านี้ทั้งสิ้นเขานั้นคุ้นหูมาตั้งแต่วัยเพียงเริ่มเข้า14หนาวแล้วด้วยตั้งแต่ต้องอยู่ข้างกายหลี่อี้เหรินก็ล้วนได้ยินมาจนเอียนและชินชาไปหมดแล้วนั่นเอง
่ ยิ่งต้องถูกขนานนามว่า'พญายมเซียวแห่งฉงชิ่ง'หรือแม้แต่เป็น ‘สุนัขรับใช้ทรราชจอมมารหน้าหยก’ ผู้ไร้มโนธรรมเขาก็ล้วนเป็นผู้หนังหนามิสะทกสะท้าทั้งสิ้น ดังนั้นถ้อยคำสบถมากมายที่ดังต่อเนื่องถึงมิระคายผิวของ'ใต้เท้าเซียว'แห่งหน่วยองครักษ์พยัคฆ์ทมิฬเช่นเขาเลยแม้แต่น้อย
เพราะแล้วเขามีเพียงสิ่งใดสมควรจะ'ได้'ก็ย่อมต้อง'ได้'ส่วนวิธีนั้นก็แล้วแต่โอกาสและสถานการณ์มิได้มากมีไปด้วยคุณธรรมให้ยุ่งยากมากความอยู่แล้วขอเพียงการทั้งสิ้นสำเร็จพญายมเช่นเขาก็ล้วนมิได้เกี้ยงวิธีทั้งสิ้น!
และสุดท้ายเมื่อชาถ้วยที่สองถูกดื่มจนสิ้นและมือทั้งสองข้างของเด็กหนุ่มเพิ่งก้าวผ่านคำว่าเด็กชายก็ค่อยๆ แหลกละเอียดไปจนสิ้น!
กับอีกหนึ่งใบหน้างามล้ำของฮูหยินเยี่ยไร้เนื้อที่แก้มข้างขวาเยี่ยหูชงก็สิ้นสุดความยับยั้งชั่งใจ เขาค่อยๆ บอกกล่าวรายชื่อที่เซียวซานหลางหมายมั่นมาอย่างละเอียดเท่าที่ผู้ซึ่งคิดทรยศราชบัลลังก์ชั้นปลายแถวคนหนึ่งจะรับรู้มาได้จนสิ้น...
"เปิ่นกวนคงต้องขอบใจใต้เท้าเยี่ยเป็นอย่างยิ่ง ลำบากท่านแล้ว...ลำบากใต้เท้าจริงๆ ...เอาละจางหลินเจ้าก็ดูแลใต้เท้าเยี่ยคุณชายเยี่ยแล้วก็ฮูหยินเยี่ยให้'ดีๆ 'สักหน่อย อันตัวเปิ่นกวนคล้ายเพิ่งจะนึกได้ว่าเผลอทำให้'ฝ่าบาท'ตระหนกจนสิ้นสติคงต้องไปดูแลสักหน่อยใต้เท้าเยี่ยท่านก็จงค่อยๆ พักผ่อนให้สบายเถิดนะเปิ่นกวนคงต้องขอตัวก่อนเดี๋ยวพรุ่งนี้จะสิ้นแรงจนมิอาจเข้าหอได้อย่างเช่นที่ฝ่าบาทตักเตือนเมื่อครู่จะเสียหน้าจนสิ้นเป็นเช่นนั้นคงมิใช่เรื่องดีท่านว่าไหมใต้เท้าเยี่ย"
ใบหน้าซึ่งวางเฉยอยู่เป็นนิจบัดนี้แช่มชื่นขึ้นมาถึงเจ็ดส่วนทั้งที่ผู้เป็นเจ้าของนั้นอดหลับอดนอนมาถึงสามวันกับอีกร่วมสามคืน...
กระดาษซึ่งมีรายชื่อของเหล่าขุนนางฉ้อฉลถูกหยิบมาถือเอาในมือแกร่ง แล้วค่อยๆ ก้าวเท้าด้วยจังหวะที่เนิบช้าทว่าแสนมั่นคงยิ่งจากไปอย่างสงบและสง่างาม...
เห็นเช่นนี้ แล้วสองมือดีของ'ใต้เท้าเซียว'รู้สึกคล้ายกับว่าตนเองจะถูกพญายมในคราบเทพเซียนผู้อ่อนโยนล่อลวงก็มิปาน
ผ่านไปอีกหลายชั่วยามซึ่งก็คืออรุณรุ่งของวันต่อมาร่างที่นอนใบหน้าซีดขาวจึงค่อยรู้สึกตัวตื่นหลี่เหมิ่งฉือค่อยๆ คืนสติมาทีละน้อย เสียงโหยหวนยังคล้ายลอยมาหลอนหลอก ภาพ ภายในห้องคุมขังเริ่มหวนเข้าสู่หัวจนแจ่มจัด...พลันร่างสูงใหญ่ก็ตะกายดีดผึงขึ้นมาจากที่นอนราวแผ่นหลังต้องถ่านไฟแดงๆ ก็มิปาน
"ผมของข้า! "
มือหนาลูบไปทั่วศีรษะด้วยกิริยาแตกตื่น
...นี่เขาคงมิได้ตระหนกจนเส้นผมหลุดร่วงไปใช่หรือไม่! ...
หลี่อี้เหรินบุรุษผู้รักรูปโฉมตนเองยิ่งชีพแตกตื่นยิ่งนัก
"ผมท่านยังเงางามดีอยู่ อย่าได้ว้าวุ่นใจไปเลยฝ่าบาท"
ถ้วยบรรจุน้ำยาสีเข้มจนเกือบดำแลเห็นควันลอยเอื่อยอย่างแจ่มชัดถูกวางลงข้างเตียงอย่างบรรจง
"กระหม่อมตักเตือนฝ่าบาทอยู่หลายครั้งมิใช่หรือว่าอย่างทรง'วุ่นวาย'กิจที่มิใช่ของตนการเป็นลมมิใช่สิ่งที่ผู้เป็นถึงองค์จักรพรรดิจะสมควรกระทำได้เช่นนั้นหรือช่างเป็นการเสียกิริยาต่อหน้าศัตรูได้แสนอับอายยิ่งหากการนี้หลุดรอดออกไปคิดบ้างหรือไม่ว่าจะทำให้เสียการปกครองที่น่าเชื่อถือไปจนสิ้นน่ะฝ่าบาท"
ร่างสูงมองคนตรงหน้าด้วยสายตาตำหนิชัดเจน ซึ่งนอกจากองค์ไทเฮาเกรงว่าจะมีเพียงใต้เท้าเซียวเพียงผู้เดียวในใต้หล้าที่หาญกล้าท้าต่ออำนาจขององค์จักรพรรดิซึ่งปกครองทั้งสิบสี่แคว้นโดยมิคำนึงถึงความตายและโทษทัณฑ์ทั้งสิ้น
"เจ้า! ...การสิ้นสติมันเลือกความสมควรหรือไม่สมควรก็ได้หรือ ซานหลางเจ้าเสียสติเพราะอดนอนมากเกินไปหรือเจ้าไร้จิตไร้ใจจริงแท้กันแน่!? "
หากว่าเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมาเขามิได้ถึงการตระหนกจนผมร่วงสิ้นศีรษะก็เกรงว่าอาจจะเริ่มหงอกขาวนำหน้าองค์ไทเฮาเพียงเพราะถูกเจ้าพญายมเซียวบุรุษซึ่งไร้ความรู้สึกผู้นี้กระทำการก่อกวนอารมณ์ให้โมโหจุกแน่นเต็มหน้าอกตั้งแต่เพิ่งตื่นลืมตานั่นเอง
"แล้วเหตุใดซานหลางที่เป็นบุรุษซึ่งแสนจะอ่อนโยนที่สุดในใต้หล้าเช่นคุณชายเซียวจึงยังคงเสแสร้งแกล้งกระทำตนเองให้เป็นพญายมต่ำช้าอีกทั้งยังคงเป็นเดรัจฉานไร้คุณธรรมหรือเป็นได้แม้แต่ผู้มีใจทรามทมิฬหินชาติเพียงเพื่อส่งเสริมให้พี่ชายเช่นท่านได้เป็นจักรพรรดิราชผู้เปี่ยมทั้งคุณธรรมและความเมตตาปรานีเป็นอย่างดีมาถึงสิบสองฤดูหนาวกันเล่าเช่นนี้แล้วท่านยังจะกล่าวอีกหรือว่าเลือกมิได้ ทั้งสิ้นที่ซานหลางลงมือกระทำมิเห็นยากเย็นเข็ญใจที่ตรงไหนก็เพียงกระทำตนมิให้เสียกิริยาอันงามสง่าจากยากสักเพียงไหนกัน"
ผู้อ่อนวัยกว่ากล่าวอย่างมิติดขัดกระดากอายตนเองเลยสักนิด
"คำกล่าวเช่นนี้เจ้าก็ยังกล้าพูดมันออกมาจนได้...เฮ๊อะ! ...เซียวซานหลางเจ้ามัน...เจ้ามัน...เจ้ามันเป็นพญายมวิปลาส!!! "
คล้ายกับมีก้อนลมตีตื่นขึ้นมาจุกลำคอของหลี่อี้เหรินย่างกะทันหัน เกรงว่าตนเองคงมิได้ถูกมือสังหารที่ใดลงมือปลิดชีพจนสิ้นเพราะเริ่มหนทางข้างหน้าค่อนข้างแจ่มชัด
...ข้าคงโมโหจนตายเพราะคำพูดของเจ้าพญายมเซียวหน้าหนาตรงหน้านี้เป็นแน่...
"แล้วไยจึงต้องมิกล้าพูดกันหรือ? ก็ที่ซานหลางกล่าวมาทั้งสิ้นล้วนจริงแท้ หากมิพูดเกรงว่าทั้งแผ่นดินนี้จะหาผู้เตือนสติท่านอีกได้ไม่แล้วนะฝ่าบาท"
เซียวซานหลางยกแขนขึ้นกอดอกมองใบหน้าหล่อคมตรงหน้าด้วยสายตานิ่งเพราะทั้งสิ้นเขานั้นช่างยากจะเข้าใจจริงแท้ว่าเพียงรักษากิริยาให้เหมาะสมไยผู้เป็นถึงองค์จักรพรรดิปกครองใต้หล้าจึงบังคับตนเองมิให้สิ้นสติต่อหน้าผู้คนนั้นกลับยากเย็น
“เช่นนั้นเจ้ากลั่นมิให้ผายลมได้ละสิใต้เท้าเซียว...?”
ที่พูดออกไปเพียงหวังให้ใต้เท้าพญายมหน้านิ่งหาคำตอบหวนคืนมิได้ทว่า...
“วรยุทธ์ท่านถึงจะด้อยกว่าซานหลาง อยู่สองขั้นแต่ลมปราณนั้นท่านก็มิได้ด้อยนี่นาคงจะพอสามารถสะกดกลั้นลมนั้นมิให้ผายออกจากนั้นเมื่อลับสายตาผู้คนจึงค่อยไปปล่อยยังห้องสุขาจะยากสักเพียงใดเชียวฝ่าบาท”
ใบหน้าซึ่งยามแรกตื่นนอนนั้นยังคงซีดเซียวบัดนี้ประเดี๋ยวแดงซ่านประเดี๋ยวกลับแปลเปลี่ยนเป็นม่วงชั่วครู่ก็กลับดำคล้ำจนน่าตกใจ
“เจ้า! ...ตกลงที่ท่านน้าเขยเร่งด่วนหวนคืนสวรรค์นั้นหาใช่เจ็บไข้แต่เป็นเพราะเจ้าล้วนอกตัญญูทำเขาโมโหเดือดจนตายอนาถใช่หรือไม่...เซียว...ซาน...หลาง...”
กว่าจะเค้นสมองค้นหาคำมาต่อกรกับญาติหนุ่มรุ่นน้องได้หลี่อี้หรินนั้นแทบกระอักออกมาเป็นโลหิตจริงๆ เลยทีเดียว
"พระองค์เลอะเลือนอันใดกันเป็นถึงองค์จักรพรรดิอย่าพูดจาไร้แก่นสารเช่นนี้อีกจะตอบซานหลางได้หรือยังว่าแค่เพียงมิให้ตนเองสิ้นสติต่อหน้าผู้คนมันยากที่ตรงไหนกันหรือฝ่าบาท"
องค์จักรพรรดิหนุ่มถอดถอนลมหายใจออกมาอย่างสุดจะทานทนก่อนจะลุกออกไปเขาก็หันมาตะคอกเสียงฉุนเฉียวว่า"ทุกตรง! " แล้วตึงตังออกไปจากห้องกว้างใหญ่ที่บ่อยครั้งเขามักหลบเร้นความวุ่นวายของเหล่าบรรดานางสนมมากมายในวังหลังมาอาศัยพึ่งเย็นยังจวนสกุลเซียวไปทันที
เห็นเช่นนั้นเซียวซานหลางก็มองตามด้วยสายตาเอือมระอายิ่งนัก
"เพิ่งจะตักเตือนให้รักษากิริยาโดยแท้กลับทำหน้าดังพร้อมจะเข่นฆ่าผู้คนนับวันชายหน้าขาวผู้นี้ช่างเอาแต่ใจมากมายจริงแท้"
ใต้เท้าเซียวแห่งหน่วยองครักษ์พยัคฆ์ทมิฬบ่นพึมพำสุดท้ายเมื่อแลเห็นว่าถ้วยยายังมิถูกดื่มกินจึงฉวยมาถือแล้วจึงเดินตามคนอารมณ์แปรปรวนออกไปด้วยกิริยามิเร่งร้อนดังเคย...
"ฝ่าบาทท่านลืมดื่มยาเสียแล้ว"
เอ่ยตามฟังคล้ายจะห่วงใยทว่าหลี่อี้เหริน กลับมิอาจทำใจให้ซาบซึ้งได้ลง
“ข้าไม่กิน!”
ยังมีแก่ใจตะโกนย้อนกลับมา
“ยานี้ท่านหมอหลวงไป๋ผู้เฒ่าล้วนจัดเตรียมไว้เพื่อฝ่าบาทเชียวหนามิดื่มคงเสียดายแย่”
กายสูงในอาภรณ์ขาวพิสุทธิ์ประคองถ้วยยาด้วยกิริยาทะนุถนอมยิ่ง องค์จักรพรรดิได้แลเห็นก็ยิ่งพาลเสียอารมณ์ทบทวี
“เช่นนั้นเจิ้นขอมอบยานั่นให้เป็นของขวัญวันแต่งงานของเจ้าก็แล้วกันใต้เท้าเซียว หยุดนะ! ...อย่าได้คิดติดตามมาสังหารเจิ้นให้สิ้นชีพด้วยความคำพูดคล้าย’ คนซื่อ’ ของเจ้าอีกเชียวหยุดไปเลย”
นิ้วชี้คาดโทษ ‘คนซื่อ’ สายตาคู่คมนั้นบอกชัดว่า...
...ข้ารู้ทันเจ้าเป็นอย่างดีอย่ามาปั้นแต่งเป็นลูกกระต่ายทั้งที่ตนเองนั้นเป็นเสือร้าย!!! ...
รอยยิ้มร้ายกาจจึงค่อยกระจ่าง จากนั้นมือหนาก็วางถ้วยยาลงแล้วทรุดกายลงนั่งมองดูร่างสูงใหญ่คุ้นตาเดินหายลับออกไปยังเส้นทาง’ พิเศษ’ ซึ่งมีเพียงไม่กี่คนที่รู้เห็นหนช่องทางลับเฉพาะเข้าออกนี้
“ใต้เท้าบัดนี้ปลายยามเหม่าแล้วขอรับใกล้ถึงเวลาที่แขกจะเริ่มทยอยมากันแล้ว”
เสวี่ยจางหลินเข้ามาเตือนถึงเวลาที่ซึ่งใกล้เข้ามา ด้วยวันนี้กล่าวได้ว่าเป็นงานใหญ่อีกงานของหย่งเล่อเมืองหลวงแห่งฉงชิ่งเลยก็ว่าได้เพราะสองตระกูลเก่าแก่คู่แผ่นดินเช่น ตระกูลเซียวกำลังจะดองกับตระกูลไป๋ซึ่งก็ล้วนร่วมต่อสู้มากับองค์ปฐมจักรพรรดิ หลี่เซวียน ถึงตระกูลไป๋จะมิฝักใฝ่ในลาภยศยึดถือเพียงตำแหน่งหัวหน้าหมอหลวงมาโดยตลอดก็ตาม ทว่าตระกูลเซียวนั้น เช่นไรก็เคียงบัลลังก์องค์จักรพรรดิมาทุกแผ่นดิน เช่นนี้แล้ว ทุกผู้ล้วนอยากมาร่วมดูชม งานเกี่ยวดองนี้กันทั้งสิ้น ที่แม้แต่องค์หญิงบางพระองค์ตกแต่งยังหาได้ใหญ่ยิ่งเช่นงานสมรสพระราชทาน ในวันนี้ ดังนั้นได้ร่วมงานนี้ก็เก็บไปพูดคุยโอ้อวดได้แล้วว่าตนเองคือหนึ่งในแขกผู้เป็นเกียรติในวันวิวาห์ของฮูหยินเอกตระกูลเซียว...
“ข้ารู้แล้ว”
เพียงเท่านั้นร่างของคนสนิทก็จากไปเงียบเชียบมิรบกวนอีก ด้วยรู้แจ้งใต้เท้าแห่งตนมากมีความรับผิดชอบต่อ ‘หน้าที่’ เป็นที่สุด
...วัดต้าซื่อ...
อารามที่ถือว่าใหญ่ที่สุดในเมืองหลวงของอาณาจักรฉงชิ่งบัดนี้เพิ่งก้าวเข้าสู่ปลายยามเหม่าเท่านั้นทว่ากลับมากมีคลาคล่ำไปด้วยผู้คนที่มากราบไหว้ขอพรกันตั้งแต่อรุณยังมิสว่าง
มุมหนึ่งซึ่งค่อนข้างไร้ผู้คน มีสตรีรูปร่างอรชรนางหนึ่งยืนมองดูดอกบัวสีขาวพิสุทธิ์นิ่งอยู่
"คุณหนู..."
เงาร่างสูงใหญ่เคลื่อนมาเคียงข้าง
"เหตุการณ์เป็นเช่นไรบ้าง"
น้ำเสียงหวานพลิ้วชวนหลงใหลเอ่ยขึ้นมิดังเกินไปแต่ก็มิได้เบาจนมิได้ยิน
"เรียนคุณหนูยามนี้ใต้เท้าเยี่ยและครอบครัวยังคงหายสาบสูญไปขอรับ"
ถึงจะเบาแสนเบาทว่าร่างงามกลับชัดแจ้งทุกถ้อยความ
"หลายวันแล้วไยจึงหามิพบสักที่การนี้หากผิดพลาดไปนายใหญ่คงมิยินดีเป็นแน่"
ถึงจะพูดคุยกันแต่หากมิได้ชิดใกล้คงยากที่จะรับรู้ได้
"ข้าอยากให้คุณหนูเร่งกลับ'บ้าน'ก่อนคงสมควรที่สุดในช่วงเวลาเช่นนี้"
ร่างเล็กพิลาสล้ำค่อยๆ หันกายกลับมาเผชิญหน้ากับบุรุษผู้มีรอยแผลอยู่ครึ่งใบหน้า
"กลับหรืออยู่ชีวิตข้าก็หาได้พลิกเปลี่ยนเช่นนั้นเจ้าบอกข้าเถิดเจียงซูว่ายังสมควร'ถอย'ได้อยู่อีกหรือ"
ดวงตางามมองคนตรงหน้านิ่งสงบไร้อารมณ์ใดแสดงให้เห็นจนชายร่างกายใหญ่โตเช่นเจ้าของนามเจียงซูเองยังต้องหลบสายตาไปในที่สุด
"คุณหนู...แต่ว่า..."
เช่นไรเขาก็อดเป็นห่วงร่างงามเสียมิได้จำต้องขยับปากเพื่อจะตักเตือน
"หาต่อไป ที่เหลือข้าจะค่อยๆ จัดการเองเจ้ามีหน้าที่ใดก็จงทำให้ดีเถิด"
กล่าวเพียงเท่านั้นนางก็เดินจากไป มิได้หันกลับมามองคนด้านหลังอีกเลย ชายผู้มีนามว่า'เจียงซู'ทำได้เพียงมองตามด้วยความเจ็บปวดหัวใจยิ่งนักที่สุดท้ายแล้วตนเองก็มิอาจปกป้องสตรีอันเป็นยอดดวงใจแห่งตนไปได้