ตอนที่ 7
อันเดซาอีผ่อนลมหายใจออกจากปอด ลุกขึ้นพากายตัวเองไปยืนที่หน้าต่าง ไม่ยอมเหลียวหลังกลับไปมองมารดา ด้วยกลัวตัวเองใจอ่อนกับน้ำตา
“แม่ไม่ห้าม ถ้าลูกยอม...”
“แม่รู้นี่ครับ ครอบครัวเราเหมือนโดนคำสาป ไม่มีผู้หญิงคนไหนอยากมาเสี่ยงชีวิตกับเราหรอกครับ” ขนาดเดินผ่านก็ยังมีเสียงนินทาว่าร้ายลอยตามหลังมาเลย แล้วจะมีผู้หญิงคนไหนยอมแต่งมาเป็นภรรยาของอันเดซาอี ซีกัลป์ โอซาอิดนี่คนนี้กันเล่า
ฮึ! เจ้าคนหน้าหนาพวกนั้น ถ้าไม่ใช่เพราะเงินทองที่มากมาย จนต้องทำเป็นลืมไปเวลาที่อยู่ด้วยกัน ไม่งั้นละก็...ไม่มีใครกล้ามายุ่งเกี่ยวกับเขาและแม่หรอก
“ถ้าแม่สามารถหาคนคนนั้นได้ล่ะ ลูกจะยอมทำตามความต้องการของแม่ไหม” นางไม่ได้ตั้งใจจะแอบฟัง แต่คราวนั้นผ่านไปโดยบังเอิญ ถึงได้ล่วงรู้บางอย่างที่สามารถนำมาใช้ในคราวนี้ได้
อันเดซาอีขบคิดอยู่เล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้ารับ คงถึงเวลาที่เขาต้องยอมทำตามคำขอร้องของมารดาเสียที “ถ้ามีคนยอม...ผมยังไงก็ได้ แต่...” ข้อแม้มีมากมาย จะมีใครยอมทนอยู่กับคนมากเรื่อง เย็นชาไร้ความรู้สึกอย่างเขาได้ล่ะ ถึงแม้เวลาร่วมหอหลับนอนจะไม่นานก็ตาม
“แม่คงไม่ลืม ผมเคยบอกอะไรไว้”
“แค่ลูกยอมทำตามคำขอ แค่นั้นก็ดีแล้ว” เพราะความเป็นมารดาของอันเดซาอี จึงทำให้นางสามารถล่วงรู้ในสิ่งที่บุตรชายต้องการและทำมันได้ด้วย
อยากถาม แม่รู้ได้ยังไง ผู้หญิงที่เลือกมาเป็น...แม่พันธุ์ ไม่เป็นหมันและการมีอะไรด้วยเพียงไม่นาน จะตั้งครรภ์ได้ สามปี...สองคน!
อันเดซาอียิ้มเย้ยหยัน ผู้หญิงที่มารดาหามาคงไม่แคล้วหลงในทรัพย์สินเงินทองและความสบายของเขา จึงได้ยอมพลีกายขายเรือนร่างและยอมจากไปเมื่อครบกำหนดเวลาสัญญา โดยใจดำทิ้งลูกในอุทรได้อย่างไร้เมตตาและสำนึกของความเป็น...มารดา!
“ผมไปตามฮารินะมาอยู่เป็นเพื่อนแม่ แล้วจะไปเลย” ไม่รอให้มารดาห้าม อันเดซาอีรีบเดินออกจากห้องนอนมารดา ทั้งที่ใจเป็นกังวลและห่วงท่านที่ช่วงนี้เริ่มฝันร้ายบ่อยๆ
“แม่ไม่ต้องเป็นห่วงผมครับ ลูกคนนี้จะรักษาตัวและกลับมาอย่างปลอดภัย” ชีวิตเขาอยู่ได้ด้วยความแค้นที่หล่อหลอมและจะไม่ยอมเป็นอะไรไปจนกว่าจะได้จัดการกับคนที่สร้างมันขึ้นมา!
เวลาเดียวกันอีกฝั่งหนึ่งของเมืองไทย
“อะไรนะคะแม่!!!”
คนที่เพิ่งกลับเข้ามาในบ้านอย่างมีความสุขเอ่ยถามเสียงหลง ใบหน้าแย้มยิ้มเผือดซีดลงทันควัน นัยน์ตาพร่างพราวระยิบระยับเบิกกว้างอย่างตื่นตกใจ มองบุพการีอย่างไม่เชื่อ...คำพูดดั่งสายฟ้าฟาดเปรี้ยงเฉือนหัวใจให้ขาดรอน ข่าวดีที่เตรียมไว้บอกทั้งคู่กลับถูกกลืนลงไปในลำคอ
กลีบปากอิ่มขบเม้มมองหน้ามารดาซึ่งมีสีหน้าเครียดขรึม ใบหน้าที่เคยแย้มยิ้มอยู่เป็นเนืองนิตย์กลับหม่นหมองไม่แพ้นัยน์ตาเศร้าปนโศก บ่อยครั้งเธอเห็นสองผัวเมียคุยกระซิบกระซาบพลางเหลียวมองมายังเธอด้วยสีหน้าไม่สู้ดี สายตาค่อนไปทางเศร้าสร้อยและขอโทษ จนเธอจากที่ไม่เคยคิดอะไรกลับต้องย้อนคิด
พ่อกับแม่มีเรื่องอะไรถึงดูอึดอัดและกังวลใจเป็นอย่างมาก แต่เมื่อเดินเข้าไปหาเพื่อถามไถ่เรื่องราว ทั้งคู่จะปรับเปลี่ยนท่าทีเป็นผ่อนคลายขึ้น แต่ก็ยังมีความตึงเครียดลอยอยู่ในห้วงอากาศจนสัมผัสได้
นี่ซินะ...เหตุผลที่ท่านทั้งสองเกิดอาการกลืนไม่เข้าคายไม่ออกยามเห็นหน้าเธอ เพราะต้องการขอร้องให้เธอทำ...
“แม่ช่วยพูดซ้ำอีกครั้งได้ไหมคะ ขอให้หนูทำอะไร...” หญิงสาวเอ่ยย้ำเสียงเบาหวิว ด้วยอยากได้ยินอย่างชัดเจนเต็มสองหูอีกครั้ง พร้อมพยายามคิดเข้าข้างตัวเอง ต้องมีการเข้าใจอะไรผิดไปแน่นอน และเธอก็หูฝาดไปที่ได้ยินมารดาขอร้องให้...
“ลูกได้ยินไม่ผิดหรอกเอแคลร์” กชกรตอบกลับลูกสาวเสียงเบาหวิวและสั่นพร่าแหบเครือ
“พ่อกับแม่ขอให้ลูก...แต่งงานกับ...” คนเป็นแม่พูดไม่ออกไปเสียเฉยๆ เมื่อเจอกับสายตาอีกฝ่ายที่มีแววตัดพ้อต่อว่า ปวดร้าวระคนคาดคั้นเอาคำตอบ จนนางต้องรีบเมินหลบด้วยกลัวเปลี่ยนใจ
มือเล็กเย็นจัดและสั่นเทาคล้ายเจอลมเย็นๆ พัดมากระทบร่าง ไม่ใช่นางไม่เจ็บปวดในสิ่งที่ได้เอ่ยขอร้อง แต่เพราะไม่มีทางเลือกต่างหากล่ะ
ดวงตาแดงก่ำฉ่ำไปด้วยน้ำตาที่เอ่อล้น มองสบกับผู้เป็นชายอีกคนที่นั่งทำหน้าเรียบเฉยอย่างกับไม่รู้สึกรู้สา แต่กชกรรู้ดีในใจผู้เป็นสามีเองก็เจ็บปวดรวดร้าวกับเรื่องนี้ไม่ใช่น้อย ใครบ้างจะมีความสุขกับการต้องส่งลูกสาวคนเดียว คนที่รักดั่งแก้วตาดวงใจ สู้อุตส่าห์เลี้ยงดูฟูมฟัก ริ้นไม่ให้ไต่ ไรไม่ให้ตอม แม้กระทั่งงานหนักๆ ก็ยังไม่เคยให้จับ ไปพบกับความทุกข์ระทมยังต่างบ้านต่างเมือง
สำหรับคนเป็นพ่อแม่แล้ว ต้องการเห็นลูกมีความสุข ตัวเองถึงจะมีความสุขด้วย ยิ่งตอนนี้เส้นทางรักของลูกสาวกับหนุ่มคนรักที่คบหาดูใจ ปลูกต้นรักกันมาตั้งแต่เริ่มเข้าเรียนมหาวิทยาลัย จนใกล้ร่วมหอลงโรงกันในไม่นานนี้ราบรื่น ทว่าตอนนี้นางกลับเอ่ยปากของร้องให้...
กชกรเอนร่างบอบบางอิงอกสามี การขอร้องให้แต่งงานกับคนซึ่งไม่เคยเจอหน้าก็หนักหนาสาหัสเอาการอยู่แล้ว แต่การต้องเดินทางไปแต่งงานยังดินแดนห่างไกล รายรอบไปด้วยความแห้งแล้งและทะเลทรายอีก ต้องพบเจอกับผู้คนซึ่งไม่สนิทสนมคุ้นเคย ไม่รู้เลยว่าต้องพบเจอกับคนแบบไหน คนเหล่านั้นจะดีด้วยความจริงใจหรือเพียงหวังความต้องการของตัวเองทำให้บุตรสาวสุดรักบอบช้ำทั้งกายและใจ ความกังวลและขลาดกลัวโอบรัดรายล้อมจนอึดอัดเจ็บแปลบในทรวง หายใจแทบไม่ออก
แต่งงาน!!
คำพูดของมารดาคล้ายค้อนตอกย้ำลงไปบนตะปูหักงอ อติกานต์มึนงงอย่างกับถูกใครทุบท้ายทอย พื้นดินที่ยืนอยู่เกิดสั่นไหวอย่างรุนแรง จนยืนทรงตัวไม่อยู่ ต้องรีบทรุดกายลงนั่งบนโซฟาอย่างคนที่หมดไร้เรี่ยวแรง
“เกิดอะไรขึ้นคะ” หญิงสาวเอ่ยถามเสียงแหบแห้ง “ทำไมแม่กับพ่อถึงได้ขอร้องให้หนูทำเรื่องบ้าๆ นั่นด้วย”
ใช่...คำที่ยินมันบ้าเอามากๆ เลย หรือพ่อกับแม่ไม่รักเธอแล้ว ถึงได้เสือกไสไล่ส่งให้ไปอยู่ที่อื่นกับใครก็ไม่รู้ แต่สภาพใบหน้าซีดเผือดและอิดโรย สายตาเศร้าหมองแดงช้ำ คล้ายดวงใจจะขาดรอนของท่านทั้งสอง ทำให้รู้ ท่านไม่ได้อยากขอร้องให้เธอทำอย่างนี้ แล้วมีเหตุผลอะไร?
“พ่อกับแม่ไม่ได้อยากให้เป็นอย่างนี้ แต่...” น้ำเสียงกชกรบ่งบอกถึงความปวดร้าว คนเป็นแม่ก็เจ็บปวดไปทั้งทรวงเหมือนกัน ปลายเล็บมนจิกลงไปบนท่อนแขนสามี เงยหน้าขาวซีด ดวงตาแดงก่ำฉ่ำน้ำมองคู่ชีวิต
“เปลี่ยนใจได้ไหมคุณ ไม่ส่งลูกของเราไปได้ไหม หาใครก็ได้ไปแทนก็ได้นะคุณ ฉันไม่อยากส่งลูกของเราไปอยู่กับใครก็ไม่รู้ ได้ไหม...คะ”
“พ่อคะ” อติกานต์ร้องเรียกบิดาที่ยื่นแขนโอบรัดรอบร่างเล็กของมารดาซึ่งเอนตัวซบอกอุ่นๆ ร้องไห้สะอื้นฮักแต่ไม่มีเสียง
“ช่วยบอกหนูทีเถอะ เกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงต้องให้หนูไปแต่งงานกับใครที่ไหนก็ไม่รู้ด้วย” คนเป็นบุตรสาวมองบุพการีทั้งคู่ด้วยหวังได้ยินคำชี้แจง ทว่ากลับได้รับเพียงความเงียบงันที่ทำให้ใจเริ่มเสียหนักขึ้น
“อย่าเงียบกันอย่างนี้สิคะ บอกหนูมาหน่อย มันเกิดอะไรขึ้นกับบ้านเรา...คะ”
การเป็นลูกที่ดี แม้ไม่ได้เรื่องในหลายๆ ด้าน ทว่าเธอไม่เคยขึ้นเสียงกับบุพการีและญาติผู้ใหญ่เลยสักครั้ง แต่คราวนี้...เธอกลับอดรนทนไม่ได้ เผลอขึ้นเสียงด้วยความโกรธระคนอัดอั้นตันใจออกไป