ความมืดมิดปกคลุมทั่วท้องฟ้ามาหลายชั่วยามแล้วและบัดนี้แน่นอนว่าหลิวอี้เฟยนอนไม่หลับ เพราะคำของขันทีน้อยผู้นั้นเพียงคำเดียวทำให้นางวุ่นวายใจได้เพียงนี้
อาภรณ์ที่นางสวมใส่ในวันนี้จึงหนามากกว่าทุกวัน เรียกได้ว่ากว่าจะแกะได้แต่ละชั้นนั้นยากเย็นแสนเข็ญนัก นางยังสวมกางเกงป้องกันตนเองหลายชั้นหลังจากถูกเขาล่วงเกินล้วงมือเข้ามาภายในอย่างง่ายดาย
ด้านนอกยังสวมกระโปรงคลุมทับอีกหลายตัวเช่นกันป้องกันตนเองได้เป็นอย่างดี แน่นอนว่าเหมยลี่ต้องสงสัยว่าไยองค์หญิงของตนจึงคิดสวมใส่เสื้อผ้ามากมายเช่นนี้
"องค์หญิงหนาวหรือเพคะ"
หลิวอี้เฟยส่ายหน้า
"ไม่หนาวไยต้องใส่เสื้อผ้ามากมายเพียงนี้เพคะ นี่หากมีชุดเกราะในตำหนักบ่าวคิดว่าองค์หญิงคงหยิบมาสวมแล้วกระมัง"
เหมยลี่กล่าวเบา ๆ แต่ทำให้สตรีบางคนดวงตาเบิกกว้าง
"ความคิดเจ้าไม่เลวเลย เหมยลี่เจ้าไปหาชุดเกราะมาให้ข้าเร็วเข้า"
เหมยลี่รีบโบกมือ
"องค์หญิง ท่านบ้าไปแล้วจริง ๆ ดึกดื่นค่อนคืนคิดจะไปสู้รบกับผู้ใด องค์หญิงจะบอกบ่าวมาตามตรงได้แล้วหรือยังเพคะ ว่าเกิดสิ่งใดขึ้น จู่ ๆ ก็ได้รับพระราชทานชาล้ำค่ามาจากฝ่าบาทมาเช่นนี้"
หลิวอี้เฟยส่ายหน้า
"ไม่ได้พบเสด็จพ่อ และชานั่นก็ไม่ใช่เสด็จพ่อประทาน"
"เอ๋ แล้วเป็นผู้ใดเพคะ ของดีเช่นนี้ยังจะมีผู้ใดอีกที่มอบให้องค์หญิงได้"
หลิวอี้เฟยยกมือขึ้นมาเท้าคาง "หัวหน้าองครักษ์ผู้นั้นซุนป๋อเหวิน"
เหมยลี่อ้าปากค้าง
"องค์หญิง ท่านหมายความว่ามิใช่ฝ่าบาทแต่เป็นคุณชายซุนที่มอบสิ่งนี้ให้ท่านหรือเพคะ แล้วเรื่องเข้าเฝ้า"
หลิวอี้เฟยสารภาพ
"เป็นข้าที่กุเรื่อง และเขายอมช่วยข้าเพียงแต่ว่าข้าต้องตอบแทนทำงานบางอย่างให้เขา"
เหมยลี่เลื่อมใสแล้ว
"คุณชายซุนช่างเป็นคนดียิ่งเพคะ ว่าแต่งานที่ว่าคือสิ่งใด"
หลิวอี้เฟยย่อมไม่บอกเหมยลี่ หากนางรู้อาจต้องแลกด้วยชีวิตก็เป็นได้
"ช่างเถิดไม่มีอะไร ก็คงเป็นของเล็กน้อยกระมัง"
เหมยลี่หรี่ตาลง นางเริ่มสงสัยแล้ว
"องค์หญิง คุณชายซุนคือบุรุษที่สตรีทั้งวังหลวงล้วนจับจองเอาไว้ ปกติเขาเย็นชากับสตรีเสมอ อย่าว่าแต่ช่วยเลยแค่สนทนาทักทายเขายังไม่เคยทำ กระทั่งองค์หญิงสิบเขาก็ยังเมินเฉย ไยจึงช่วยองค์หญิงเพคะ นี่ไม่เท่ากับว่า..."
หลิวอี้เฟยรู้ทันสายตาคู่นั้นของเหมยลี่ นางคิดถึงริมฝีปากของเขายามทาบทับผิวเนื้อ พลันรู้สึกใบหน้าร้อนผ่าวเก้อเขินขึ้นมาทันใด นางยกมือทัดผมตนเองที่ปล่อยสลวยไว้หลังหู ก้มหน้าลงเล็กน้อยหลบสายตาของเหมยลี่กล่าวน้ำเสียงเบาหวิว
"เจ้าอย่าคิดเหลวไหล อีกทั้งไยเจ้าไปรู้เรื่องของเขามากมายเพียงนั้น"
เหมยลี่กล่าวราบเรียบ
“เขาเป็นคนดังในวังหลวงนี่เพคะ ในตำหนักนางกำนัลยังมีหลายคนที่มีภาพวาดของเขา พวกนางหลายคนยังคิดทอดสะพานให้คุณชายซุนหวังเป็นนางข้างเตียง หรือบ่าวในตำหนักก็ยังดี เพียงแต่ว่าเขาเย็นชาจนทำให้สตรีไม่กล้าเข้าใกล้ เรื่องของเขาเล่าขานไปทั่วจนเข้าหูบ่าวเพคะ”
หลิวอี้เฟยพยักหน้า ปกติเหมยลี่ไม่ชอบนินทาคนหรือเล่าเรื่องไร้สาระให้นางฟังมาก่อน พวกนางจึงไม่เคยเอ่ยถึงบุรุษผู้นี้เช่นกัน
เหมยลี่จึงเอ่ยถามขึ้นมาด้วยยังสงสัย
“ว่าแต่ว่าคุณชายซุนต้องการให้องค์หญิงใช้สิ่งใดตอบแทนเพคะ ตำหนักพวกเราจนยิ่งนัก เงินทองขัดสนในตำหนักนี้ข้าวของล้วนเป็นของเก่า นอกจากท่านที่งดงามแล้วบ่าวยังมองไม่เห็นสิ่งใด”
หลิวอี้เฟยร้อนตัวกับคำพูดเรื่อยเปื่อยของเหมยลี่ทันใด
“เจ้าคนนี้ หุบปากเลยอย่าพูดจาเหลวไหลอีก”
เหมยลี่มองเห็นความผิดปกติขององค์หญิงทันใด นางทำหน้าตาท่าทางตกใจ
"อ้ะ องค์หญิงหน้าแดงแล้ว ไม่ได้นะเพคะ จะชอบคนผู้นั้นไม่ได้องค์หญิงกำลังจะแต่งให้ผู้อื่น เช่นนี้มีแต่จะช้ำใจนะเพคะ"
เหมยลี่ย่อมหวังดีกับองค์หญิงของตน ต่อให้ตอนนี้ได้พบกันแล้วอย่างไร สุดท้ายก็ต้องถูกพรากจากยามนั้นจะยิ่งเสียใจยิ่งกว่านี้
"ข้าไม่ได้ชอบเขา เจ้าอย่าพูดมั่วซั่ว ไม่ต้องอยู่เป็นเพื่อนข้าแล้วไปนอนเถิด"
นางกลัวว่าหากคนผู้นั้นมาพบนางจริง ๆ เหมยลี่รู้เข้าจะยิ่งเป็นห่วง นางไม่ต้องการให้เหมยลี่เอาชีวิตมาเสี่ยงไปกับตนเอง
เหมยลี่มององค์หญิงของตนที่มัดตัวเองแน่นหนาด้วยอาภรณ์พวกนี้แล้วไม่วางใจ
"องค์หญิงแน่พระทัยนะเพคะ ว่าจะใส่ของพวกนี้"
"เจ้าไปเถอะน่า ข้าอยู่ได้ความจริงเพราะข้าหนาว ข้ากลัวเจ้าห่วงเลยสวมเสื้อผ้าหนา ๆ พวกนี้ ตอนนี้อุ่นดีแล้วเจ้าไปเถิด"
กว่าจะไล่เหมยลี่ออกจากห้องได้ก็กินแรงไม่ใช่น้อย หลิวอี้เฟยกลัวตัวเองนอนหลับแล้วถูกเขาแอบเข้ามาทำมิดีมิร้ายจึงเลือกที่จะนั่งอยู่ที่เก้าอี้กลางห้อง อ่านหนังสือรอคนผู้นั้นไม่ยอมล้มตัวลงนอน
ทว่าหาวไม่รู้กี่ครั้งแล้ว เขากลับไม่โผล่หน้ามา
อ้ะ หรือว่าขันทีน้อยจะเข้าใจผิด ฮ่า ฮ่า ฮ่า คงไม่มีผู้ใดกล้าหาญถึงขนาดบุกตำหนักองค์หญิงผู้สูงส่งกลางดึกหรอกใช่หรือไม่ ต้องเข้าใจผิดแน่นอน
นางดื่มชาร้อนเข้าไปอีกถ้วยเพื่อให้ตนเองสบายใจ ทว่าชะตายามนี้ช่างอนาจนักเมื่อจู่ ๆ นางก็รู้สึกปวดปัสสาวะขึ้นมา
หลิวอี้เฟยมองตนเองที่สวมเสื้อผ้ามากมายเพียงนี้ด้วยความกลัดกลุ้ม
เอาล่ะ รีบไปจัดการให้เรียบร้อยแล้วค่อยใส่ใหม่ก็แล้วกัน
ทว่ากว่านางจะถอดกางเกงออกได้ทุกชิ้นก็ต้องใช้เวลาพอสมควร
หลิวอี้เฟยฉี่แทบราดอยู่แล้วในยามที่ปลดออกทุกชิ้นสำเร็จ นางรีบวิ่งไปปลดปัสสาวะที่ห้องน้ำใกล้ตำหนักอย่างรวดเร็ว หลังเสร็จกิจจึงเดินกลับมาด้วยอารมณ์ที่ดีขึ้นเล็กน้อย
นางมองเสื้อผ้าที่กองอยู่บนพื้นแล้วตัดสินใจ จะใส่เข้าไปอีกดีหรือไม่คราแรกที่ใส่มีเหมยลี่ช่วยเหลือจึงนับว่าไม่ลำบาก ทว่าบัดนี้จะไปรบกวนเหมยลี่อีกนางก็เกรงใจยิ่งนัก
ดึกดื่นเพียงนี้แล้ว คนผู้นั้นคงไม่โผล่มาแล้วใช่หรือไม่ แต่ก็ไม่แน่หากเขามาจริง ๆ จะทำเช่นใด
คิดได้ดังนี้นางจึงตัดสินใจใส่เข้าไปอีกครา คราวนี้เพิ่มความแน่นหนาอีกชั้นโดยการใช้ผ้าคาดหน้าอกรัดเอาไว้ให้แน่นหนา ไม่ให้มือและปากของเขาล่วงเกินนางได้อีก
หลิวอี้เฟยยิ้มกับความฉลาดของตนเอง คิดว่าเมื่อตัวนางยุ่งยากคงทำให้ซุนป๋อเหวินบังเกิดอารมณ์หงุดหงิดและจากไปในที่สุด
ดังนั้นนางจึงถอดเอี๊ยมออกเพื่อพันผ้ารัดหน้าอก มือเล็กควานหาผ้าสีขาวสะอาดคิดพันร่างกายด้วยสิ่งนี้
หลิวอี้เฟยยังร้องเพลงในลำคอแผ่วเบาสลับกับหาวเป็นครั้งคราว โดยที่นางไม่รู้ตัวหน้าต่างบานหนึ่งก็เปิดออก สายลมพัดเข้ามาวูบหนึ่งจนนางรู้สึกหนาว
ในยามที่นางเงยหน้าขึ้นมาด้วยความสงสัยว่าหน้าต่างถูกเปิดออกได้อย่างไร ร่างบอบบางก็ถูกมือแข็งแรงของคนผู้หนึ่งช้อนขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
เมื่อหลิวอี้เฟยได้สตินางก็บุรุษผู้หนึ่งทาบทับร่างกายอยู่บนเตียงเสียแล้ว น้ำเสียงทุ้มนุ่มพลันเอ่ยขึ้น
"สิบเอ็ดของข้าถึงขั้นเปลือยกายรอเลยหรือ อืม คงเป็นเพราะติดใจในสิ่งที่ข้าทำเมื่อตอนกลางวันใช่หรือไม่"
หลิวอี้เฟยกะพริบตาปริบ ๆ ยามนี้ได้สติแล้วเกือบจะกรีดร้องออกมา
เมื่อสักครู่นางกำลังคิดพันร่างกายด้วยผ้าพันหน้าอกจึงถอดเสื้อออก ไฉนคนผู้นี้จึงได้โผล่มายามนี้และตอนนี้มือของเขายัง....ยังกางออกแล้วขยำหน้าอกอวบของนางราวกับมันเป็นของเล่นชิ้นหนึ่งเช่นนี้
"ท่าเปลือยอกของสิบเอ็ดช่างยั่วยวนนัก ข้ายอมรับว่าหลงเสน่ห์ของสิบเอ็ดเสียแล้ว"
ใบหน้าเต็มไปด้วยอารมณ์ใคร่นิ้วเรียวยังเขี่ยไล้ปลายถันเล่นเบา ๆ
ยามนี้หลิวอี้เฟยรู้สึกร้อนวูบไปทั้งตัว ใบหน้าของนางแดงก่ำหัวใจเต้นโครมครามได้แต่โทษตนเองที่อุตส่าห์พันตัวไว้แน่นหนารอเขาอยู่หลายชั่วยามเขากลับไม่โผล่มา
ทว่าพอนางปวดปัสสาวะจำเป็นต้องถอดของพวกนั้นออกเขากลับมาได้จังหวะนี้พอดี
เป็นผู้ใดที่เปลือยกายรอเขากันเล่า
นางยกมือเล็กกุมมือของเขาเอาไว้ไม่ให้เขาขยับได้อีก ยามนี้ขนอ่อนของนางลุกชันไปทั้งร่างเมื่อคิดถึงริมฝีปากชุ่มชื้นของเขายิ่งทำให้รู้สึกร้อนวูบวาบที่กลางระหว่างขา
นางกล่าวปฏิเสธลนลาน ด้วยความรู้สึกอับอายยิ่ง
"ขะ ข้าไม่ได้เปลือยกายรอท่าน ทะ ท่านเข้าใจผิดแล้ว"
น้ำเสียงเยียบเย็นเอ่ยขึ้นทันใด
"หรือองค์หญิงเปลือยกายรอผู้อื่น องค์หญิงมอบตนเองให้ข้าแล้วยังคิดนัดแนะชายอื่นหรือ"
หลิวอี้เฟยถูกใส่ความ น้ำเสียงของคนผู้นี้ยังเต็มไปด้วยกลิ่นไอสังหาร นางรีบส่ายหน้าปฏิเสธ
"อ้ะ ไม่ใช่นะ ขะ ข้ารอท่าน แต่ไม่ได้เปลือยกายรอท่าน ขะข้าใส่แน่นหนา เพียงแต่ปวดปัสสาวะเลยเป็นเช่นนี้"
หลิวอี้เฟยไม่รู้จะปฏิเสธเช่นไรแล้ว ยิ่งเอ่ยก็ยิ่งฟังดูแปลกประหลาด
"ปวดปัสสาวะหรือ"
นางจะร้องไห้แล้ว มีสตรีใดเอ่ยคำว่าปวดปัสสาวะต่อหน้าบุรุษกันเล่า
นางเป็นองค์หญิงที่วัน ๆ อยู่แต่ในตำหนัก ยังร่ำเรียนเรื่องจริยธรรมสตรีที่ควรมีมาตั้งแต่เด็ก บัดนี้เมื่ออยู่กับเขานางกลายเป็นสตรีไร้จริยธรรมไปเสียแล้ว
คล้ายนางจะได้ยินเสียงหัวเราะแผ่วเบาในลำคอ
หลิวอี้เฟยไม่กล้ามองเขายังหลุบตาต่ำ เบื้องหน้าของนางจึงเป็นมือขาวที่กำลังคลึงเต้าของนางอยู่ ครานี้ยิ่งบังเกิดความร้อนเห่อไม่รู้จะวางสายตาไว้ที่ใดแล้ว
ท่าทางขวยเขินนี้หลิวอี้เฟยไม่รู้ตัวเลยว่านางช่างน่าเอ็นดูเพียงใด
ซุนป๋อเหวินเลื่อนสายตาไปมองที่พื้นเห็นเสื้อผ้าหนาจำนวนมากวางกองอยู่ตรงนั้นก็พลันเข้าใจเรื่องที่นางเอ่ย เขายกมุมปากเล็กน้อยแล้วใช้นิ้วขยี้ปลายจมูกโด่งของนางเบา ๆ
"เสื้อผ้ามากเพียงนั้น เปลืองแรงใส่มากใช่หรือไม่ ต่อไปข้าจะขอพูดด้วยความหวังดีว่าหากท่านคิดทำเช่นนี้อีก ข้าจะตัดเสื้อผ้าของท่านทุกชิ้นในตำหนักให้ขาดไม่เหลือชิ้นดี ครานั้นสิบเอ็ดของข้าก็แก้ต่างกับมามาหน้ายับที่ตำหนักอาภรณ์เองแล้วกันเพื่อขอเบิกเสื้อผ้าชุดใหม่ สิบเอ็ดข้าบอกท่านแล้วว่าเป็นสตรีของข้า ต้องเอาใจข้าและเชื่อฟังข้าให้ดี"
คำเรียกขานว่าสิบเอ็ดนี้ช่างเป็นน้ำเสียงที่ทุ้มนุ่มแตกต่างจากที่พี่น้องรวมทั้งคนในราชสำนักเรียกนางนัก
น้ำเสียงของซุนป๋อเหวินทั้งยั่วเย้า ทั้งอวดดี จองหอง และกดข่มโดยไม่ต้องสงสัย
หลิวอี้เฟยตัวสั่นขึ้นมาทันใด
"ข้าเข้าใจแล้ว"
น้ำเสียงเข้มยังคงดุดัน
"เข้าใจแล้วควรทำเช่นใด"
ซุนป๋อเหวินขยับมือเล็กน้อย เพราะยามนี้เขาถูกนางตรึงมือเอาไว้ด้วยแรงที่น้อยนิดของนาง
หลิวอี้เฟยเม้มปากดวงตาไหวระริก นางค่อย ๆ ปล่อยมือของตนเองที่เกาะกุมมือใหญ่ออกช้า ๆ
"เด็กดี พวกเรามาทำสิ่งที่ควรทำตั้งแต่กลางวันกันเถิด"
คำชมนี้ถูกกลืนเข้าไปในริมฝีปากของนางทันใด นางตกตะลึงเมื่อถูกเขาเลียที่ริมฝีปากอวบอิ่ม ทั้งมือข้างหนึ่งยังเริ่มรุกรานคลึงเคล้า ในขณะที่อีกข้างรัดเอวของนางแนบแน่น
คำพูดของเขาทำให้นางกลัวจนฉี่แทบราดเพียงแต่ว่านางเพิ่งไปฉี่มาจึงไม่หลงเหลือน้ำในท้องแล้ว
หลิวอี้เฟยไม่แน่ใจนักว่าสุดท้ายแล้วพวกเขาจะลงเอยที่ตรงไหน นางจึงเอ่ยถามแผ่วเบาชิดริมฝีปากได้รูป
"ระ เรา จะทำสิ่งใดกัน"
เขาบดจุมพิตที่ริมฝีปากของนางคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบพร่าทุ้มต่ำยั่วยวน
"แม่นางน้อยช่างไร้เดียงสายิ่ง เช่นนี้ก็ให้การกระทำเป็นคำตอบเถิด"
และสิ่งที่นางหวาดกลัวที่สุดก็ดูเหมือนจะเกิดขึ้นแล้ว เมื่อกางเกงตัวบางของนางถูกมือใหญ่กระชากออกจนขาดคามือเผยความงดงามของเรือนร่างโดยไร้อาภรณ์ปิดบังแม้แต่ชิ้นเดียว