สองวันแล้วที่ไม่ได้เจอจงกลนี เขมณัฏฐ์สอบถามเพื่อนทั้งสองของเธอก็ได้ความว่าเธอก็มาทำงาน แต่ตอนนี้ไปเข้าห้องน้ำบ้างล่ะ ไปข้างล่างตึกบ้างล่ะ ไปตรวจคนไข้บ้างล่ะ เขารู้ว่าจงกลนีพยายามจะหลบหน้าเขา แม้แต่โทรศัพท์และกระเป๋าสะพาย เธอก็ยังไม่ได้มาเอาเลยจนตอนนี้ ไม่รู้ว่าเอาเงินที่ไหนใช้และติดต่อที่บ้านยังไง
“ทำไมต้องหลบหน้าพี่” เขามายืนดักรอเธอที่หน้าห้องน้ำได้สักพักแล้ว เพราะก่อนหน้านี้เห็นเธอเดินมากับปภพและนภิสา แต่เธอเห็นเขาแล้วแยกตัวมาเข้าห้องน้ำ เขาจึงตามมารอท่าที่หน้าห้องน้ำ
“อาจารย์หมอ”
“ใช่...พี่เอง หลบหน้าพี่ทำไม ทำไมไม่ไปเอากระเป๋าสะพายและมือถือที่ห้องทำงานพี่ แล้วเนี่ยจะหลบหน้าพี่ทำไม เราไม่ใช่คนอื่นต่อกันนะเจเจ”
“เราเป็นอะไรกันเหรอคะ อย่าบอกนะคะว่าเป็นสามีภรรยากัน ตอนที่เซ็นเอกสาร ดิฉันสติไม่ค่อยเต็มด้วย คุณก็ยังหลอกให้ฉันเซ็นเอกสาร”
“เจเจเต็มใจเซ็นเอง พี่ไม่ได้บังคับ ว่างใช่ไหม ไม่ต้องตอบพี่หรอก พี่ถามมาแล้วว่าเราว่างตอนบ่าย ไปสำนักงานเขตกัน ไปจัดการเรื่องเปลี่ยนนามสกุลของเจเจมาใช้นามสกุลพี่”
“ไม่ไป ดิฉันต้องการหย่า”
“พี่ไม่หย่า ตอนนี้เจเจเป็นของพี่แล้ว” แม้จะมีน้ำโหมากแค่ไหนในตอนนี้ แต่หน้าของเขมณัฏฐ์ก็ยังคงไร้อารมณ์ยิ่งขรึมเหมือนเดิม แต่ว่าสันกรามของเขานั้นปูดโปนขึ้นเห็นได้ชัดเจน
“ทำไมต้องทำแบบนี้ด้วย”
“ไปกับพี่ อย่าให้พี่ต้องใช้กำลัง” พูดแค่นั้นเขาก็เดินจากตรงนี้ไปทันที ส่วนจงกลนีได้แต่ยืนเม้มปากกัดฟันแน่น แต่ก็ยอมเดินตามเขาไป ทำไมเขาถึงเป็นคนแบบนี้ เขาไม่เหมือนพี่ชายในความทรงจำเลยสักนิด เขาน่านับถือมาตลอด แต่ทำไมตอนนี้ถึงได้เป็นคนเห็นแก่ตัวแบบนี้
จงกลนีไม่เคยต้องยอมให้ใครมาก่อนเลย แต่ต้องมายอมให้คนหน้าเดียวคนนี้ เธอแอบมองเขาตลอดทางที่เขาขับรถออกมาจากสำนักงานเขต ตั้งแต่ตอนนี้เขายังไม่แม้แต่จะยิ้ม ยิ้มให้เธอสักครั้งก็ไม่มีทั้งๆ ที่ตอนนี้เธอเป็นภรรยาเขาแล้ว สรุปเขาเต็มใจมีเธอเป็นภรรยาหรือเปล่า หรือที่ทำเพราะอยากรับผิดชอบกันแน่
“กลับบ้านกัน แม่พี่รออยู่” เขาเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ
“ป้าขวัญคงยังไม่รู้เรื่อง...”
“ยังไม่รู้ เรื่องนี้มีแค่เราสองคนที่รู้ แต่แม่ขวัญอยากเจอเจเจน่ะ พี่เลยบอกว่าจะพาเจเจไปหาวันนี้”
เฮ้อ!
เธอถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งใจที่เรื่องนี้ยังคงเป็นความลับอยู่
“เป็นอะไร เสียใจ ดีใจหรือยังไง”
“ดีใจค่ะ ที่ยังไม่มีใครรู้เรื่องของดิฉันกับอาจารย์หมอ”
“ทำไมพูดห่างเหิน ตอนนี้เราก็ไม่ใช่คนอื่นต่อกันแล้วนะเจเจ”
“คือ...”
“ถ้าคิดจะหย่า พี่บอกเลยไม่มีวันนั้นหรอก” เขาพูดแทรกขึ้นเหมือนมานั่งในใจเธออย่างไรอย่างนั้นแหละ
“มันแค่ความผิดพลาด อาจารย์หมอไม่จำเป็นต้องมารับผิดชอบเรื่องนี้ก็ได้ค่ะ”
“ทำมาเป็นรู้ดีว่าพี่คิดยังไง อะไรที่พี่ตัดสินใจไปแล้ว ไม่มีคำว่าพลาด เงียบซะ พี่รำคาญ” น้ำเสียงเข้มของเขาทำให้เธอกลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคอทันที คำที่จะเถียงกลับก็จำเป็นต้องเก็บไว้ในใจทันที เพราะตอนนี้สายตาของเขามันน่ากลัวเหลือเกิน
“อย่ามาคิดแทนพี่”
นั่นคือคำที่เขาพูดออกมาอีกครั้งเพื่อเป็นการย้ำให้เธอรู้ว่าไม่ควรคิดไปเองคนเดียว
“ค่ะ” แล้วทุกอย่างในรถก็เงียบสงบเหมือนเดิม มีเพียงเสียงลมหายใจของเขาและเธอที่ดังออกมาให้ได้ยินเท่านั้นในตอนนี้
ขวัญตาดีใจที่ได้เจอจงกลนีสักที ก็ตั้งแต่ที่เธอเรียนมหาวิทยาลัย นางก็ไม่ค่อยได้เจอหลานสาวอีกเลย เวลาไปขอนแก่นไปเยี่ยมแม่และพ่อของเธอทีไร เธอก็ติดเรียนไม่ได้กลับบ้าน วันนี้นางสั่งให้เด็กทำมื้อเย็นไว้รอต้อนรับหลานสาวคนดีของตัวเอง
“มาแล้วเหรอลูก” ขวัญตาลุกขึ้นจากโซฟาเดินไปหาคนที่เดินเข้ามาหาตัวเองในห้องนั่งเล่น
“ค่ะป้าขวัญ สวัสดีนะคะ และขอโทษที่หนูเพิ่งจะมาหาป้าขวัญ” จงกลนียกมือไหว้ท่านพร้อมกับโอบประคองท่านเดินกลับไปนั่งที่เดิม ส่วนคนที่เดินตามหลังเธอมาก็มองภาพตรงหน้ายิ้มๆ แล้วก็เปลี่ยนมาเป็นสีหน้านิ่งปกติดังเดิมแล้วเดินตามทั้งสองไปนั่งโซฟาอีกตัวที่อยู่ติดกัน
“เป็นยังไงมั่งลูก พี่เขาบอกว่าหนูมาเป็นลูกศิษย์พี่เขาเหรอ” นางถามหลานสาวพร้อมมองไปยังลูกชายที่นั่งหน้าขรึมอยู่ด้วย
“ค่ะป้าขวัญ อาจารย์หมอเป็นอาจารย์ของเจเจ”
“ยังเรียกอาจารย์หมออีก ที่นี่บ้านนะ เจเจเรียกพี่หมอเข้มเหมือนที่เคยเรียกสิลูก”
“คะ...ค่ะ”
“ว่าแต่เรียนจบแล้วมาทำงานที่โรงพยาบาลเรานะลูก มาอยู่ที่นี่และย้ายมาอยู่ที่บ้านกับป้าก็ได้ ป้าจะได้มีเพื่อนบ้าง ป้าเหงามาก พี่หมอของเราน่ะทำแต่งาน ไม่รู้เมื่อไหร่จะแต่งงานมีหลานให้ป้าสักที ป้าก็แก่ขึ้นทุกวันแล้วเจเจ” นางพูดพร้อมมองไปยังลูกชายที่กำลังก้มหน้าดูหน้าจอโทรศัพท์อยู่
“แม่ขวัญก็พูดไปนั่น แม่ขวัญยังไม่แก่สักหน่อย เดี๋ยวพอถึงเวลาก็มีเองแหละครับ” เขาเงยหน้าจากหน้าจอมาเอ่ยตอบ พร้อมกับส่งยิ้มให้ท่านครู่หนึ่งแล้วปรับเป็นหน้านิ่งเหมือนเดิม
“ให้มันจริงเถอะ แม่ล่ะกลัวแต่ว่าลูกชายของแม่จะอยู่เป็นโสดน่ะสิ เจเจรู้ไหม ป้านะนัดดูตัวให้พี่หมอตั้งหลายรอบ แต่ก็ทำเสียเรื่องทุกทีเลย จนตอนนี้ลูกสาวบ้านไหนก็ไม่กล้านัดรับดูตัวกับพี่เขาแล้ว” นางฟ้องหลานสาว ส่วนคนถูกฟ้องก็ได้แต่ยิ้มแหยๆ พูดไม่ออกว่าตอนนี้ท่านน่ะมีลูกสะใภ้แล้ว ซึ่งลูกสะใภ้ของท่านก็คือเธอเนี่ยแหละ และเป็นแบบงงๆ ด้วย
“ค่ะป้าขวัญ เรียนจบก่อนค่ะ ตอนนี้ยังไม่ได้คิดเลยว่าจบแล้วจะไปเป็นหมอประจำที่โรงพยาบาลไหน อีกอย่างหนูก็อยากอยู่ขอนแก่นกับแม่ยาและพ่อทศค่ะ ไม่อยากห่างพ่อกับแม่”
“งั้นรอให้เรียนจบก่อน ว่าแต่เจเจหิวรึยังลูก ป้าจะได้ให้เด็กตั้งโต๊ะทานข้าว”
“ดีเหมือนกันค่ะ เพราะเจเจไม่อยากกลับดึก”
“งั้นก็นอนค้างที่นี่สิลูก”
“คือ...”
“แม่ขวัญไปสั่งเด็กตั้งโต๊ะเถอะครับ” เขมณัฏฐ์เอ่ยแทรกขึ้นพร้อมกับเก็บโทรศัพท์ในมือไว้ในกระเป๋ากางเกง
“งั้นทั้งสองอยู่คุยกันไปก่อนนะลูก เจเจถ้ามีเพื่อนสวยๆ ก็แนะนำพี่เขาได้เลยนะลูก” ขวัญตาช่างไม่รู้อะไรเลยว่าในสายตาของลูกชายตัวเองนั้นมีแค่น้องน้อยตรงหน้าคนเดียว
จงกลนีได้แต่ฝืนยิ้มพยักหน้าตอบรับคำของผู้เป็นป้า และพอท่านเดินหายลับออกไปจากห้องนั่งเล่นแล้ว เธอก็ไม่รู้จะทำอะไรเปิดกระเป๋าสะพายตัวเองที่เพิ่งได้มาวันนี้หยิบโทรศัพท์ออกมาเล่นระหว่างรอให้ตั้งโต๊ะทานอาหารเสร็จ แต่แล้วก็ต้องเงยหน้าขึ้นจากหน้าจอที่กำลังจ้องอยู่ขึ้นมามองคนที่นั่งโซฟาอีกตัวเมื่อเขาพูดขึ้นว่า...
“ค้างที่นี่คืนนี้” นั่นคือคำสั่งของเขาไม่ใช่คำขอร้อง
“ทำไมต้องค้าง”
“อย่าถามมาก บอกให้ค้างที่นี่ก็ค้างไปเถอะ”
“แต่...”
“พี่ไม่ชอบคนดื้อนะเจเจ”
“ก็ไม่ได้ให้ชอบสักหน่อย และดิฉันก็ไม่ได้ชอบอาจารย์หมอด้วย”
ปัง!
มือใหญ่ทุบโต๊ะตรงหน้าทันทีด้วยความโกรธ ส่วนคนที่ไม่รู้ตัวว่าตัวเองพูดอะไรผิดก็ลุกขึ้นจะเดินหนี
“จะไปไหน”
“ไปจากตรงนี้”
“นั่งลง และอย่าพูดแบบนี้อีก พี่ไม่ชอบ ได้ยินไหม” พูดจบก็ลุกเดินกำมือแน่นออกไปสงบอารมณ์ขุ่นมัวของตัวเองทันที ส่วนอีกมือก็ยกถอดแว่นสายตาของตัวเองออกแล้วนวดคลึงขมับไปด้วยขณะเดินจากไป
“อิหยังวะ ผีเข้าผีออก” เธอไม่เข้าใจอีกแล้ว เขาเป็นอะไรของเขา และเธอเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเมื่อกี้ตัวเองพูดอะไรผิด และเรื่องอะไรจะทำตามคำสั่งของเขาให้เขาได้ใจล่ะ