การสอบสวนกินเวลาหลายชั่วโมง ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีอะไรคืบหน้า พลอยให้ผู้รับผิดชอบคดีแต่ละรายไม่เป็นอันกินอันนอน และไม่ได้กลับบ้านกลับช่อง ทั้งหมดทั้งปวงที่ว่าหมายรวมถึงบิดาของธนูด้วย นั่นเองที่ทำให้ธนูต้องโทรศัพท์ไปรบกวนภูผาในตอนเช้าของวันรุ่งขึ้น เพื่อติดตามความคืบหน้าของคดี
“ไม่ยอมให้ความร่วมมืออะไรเลยหรือครับ ? ธนูนิ่วหน้าถามภูผาผ่านโทรศัพท์มือถือ ระหว่างรอการเรียนการสอนในคาบแรก
“ก็อย่างนั้นแหละครับ บอกว่าจะกันตัวไว้เป็นพยานก็แล้ว ขู่ก็แล้ว กล่อมก็แล้ว...” อีกฝ่ายตอบกลับเนือยๆ เหมือนกำลังจะสิ้นใจ ซ้ำยังพูดเสียงเบาลงเรื่อยๆ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอดนอน อดข้าว สัญญาณโทรศัพท์มือถือคุณภาพต่ำ หรือ...
“อ๊ายยย ! คุณชวินของน้ำหวาน ต่อไปนี้คุณกับน้ำหวานจะอยู่เคียงข้างกัน เช้า สาย บ่าย เย็น ค่ำ เราจะไม่พรากจากกันนะคะดาร์ลิงก์ โอ้มายเดียร์ มายเลิฟ”
เสียงแปดหลอดของน้ำหวานดังแทรก จนธนูฟังภูผาพูดไม่รู้เรื่อง... เขาพึ่งยกหมวกแก๊ปจากการประมูลให้เธอ ก่อนหน้าที่จะโทรศัพท์คุยเรื่องงานไม่นาน และเธอก็เอาแต่พร่ำเพ้อพรรณนาถึงหมอนั่น ธนูกำหมัดกัดฟันทนๆ ๆ กระทั่งทนไม่ไหวอีกต่อไป
“คุณชวินขา ...”
“นี่ ! ยัยจิตหลอน คร่ำครวญเบาๆ ไม่เป็นหรือไง ฉันคุยโทรศัพท์ไม่รู้เรื่องเลย เดี๋ยวก็เอาคืนซะเลยนี่” ธนูขู่หน้าตาขึงขัง จนน้ำหวานปิดปากตัวเองแทบไม่ทัน และแม้บทสนทนาทางโทรศัพท์จะจบลงแล้ว แต่ชายหนุ่มก็ยังคงนั่งหน้าตาเคร่งเครียด ท่าทางราวกับครุ่นคิดอะไรอยู่ตลอดเวลา จนอริศราอดที่จะถามด้วยความเป็นห่วงไม่ได้
“มีอะไรหรือเปล่า ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ ?” เธอจ้องหน้าเขา ราวกับจะมองให้ทะลุเข้าไปถึงสิ่งที่อยู่ในแกนสมอง
“ไม่มีอะไรหรอก แค่ปัญหาเรื่องงานนิดหน่อย” ธนูตอบเลี่ยงๆ เพราะน้อยคนนักที่จะรู้ว่าเขากำลังทำอะไรอยู่ และอริศราก็เป็น 1 ในนั้น ธนูรู้ดีว่าถ้าหญิงสาวรู้ว่า เขาโปรดปรานงานเสี่ยงอันตรายแบบนี้ล่ะก็ มีหวังโดนบ่นหูชาแน่
“ถ้ามีอะไรให้ช่วยอีกก็บอกได้นะ” เธอบอกยิ้มๆ เป็นรอยยิ้มที่อ่อนโยนเสียจนธนูอดชำเลืองมองอีกรอบไม่ได้ อย่างน้อยความละเอียดอ่อนของผู้หญิง ก็อาจจะช่วยให้หาวิธีจัดการปัญหาอันเกิดจากผู้หญิงด้วยกันได้ดีกว่า ธนูเริ่มเปลี่ยนความคิดที่จะไม่ให้อริศราเข้ามายุ่งกับเรื่องพวกนี้ เป็นตั้งคำถามประหลาดกับเธอแทน
“ถ้าเธอเป็นครู แล้วเจอนักเรียนที่ทั้งดื้อเงียบ แถมยังเป็นใบ้อีกต่างหาก เธอจะทำยังไง ?”
“ก็คง... เชิญผู้ปกครองของเด็กมาช่วยกันแก้ปัญหาล่ะมั้ง” อริศราตอบคำถามด้วยอาการงุนงง แต่นั่นคือคำตอบที่ทำให้ธนูอ้าปากมองเธอแบบทึ่งๆ ทำไมเขาถึงนึกวิธีนี้ไม่ออกนะ !
“ขอบใจมากเลยอ้อ ขอบใจจริงๆ เธอนี่มันสุดยอดเลย !” ธนูเขย่าตัวอริศราด้วยความดีใจ แผนแก้เผ็ดเจ้าของปากที่ปิดสนิทบังเกิดขึ้นในสมองทันที และแน่นอน ! มันจะเริ่มต้นขึ้นในไม่ช้านี้
ขณะที่ธนูกำลังยินดีกับแผนการแก้ปัญหาอยู่นั้น ภายในห้องสอบสวนกองปราบปรามก็กำลังประสบสภาวะตรงกันข้าม ในเมื่อเวลานี้มันกลายเป็นแหล่งรวมตัว ของเหล่ามนุษย์หน้าตาบูดบึ้งทั้งหลายไปเสียแล้ว
“เธอจะเอายังไงก็ว่ามา !” พล.ต.ต.เกรียงไกรซึ่งลงมาทำหน้าที่พนักงานสอบสวนด้วยตัวเองบอกบัวบก หลังจากการสอบสวนยืดเยื้อมากว่าครึ่งวัน โดยไม่ได้ข้อมูลหรือสาระใดๆ เลยแม้แต่น้อย
“ดิฉันไม่เอายังไงค่ะ” บัวบกที่ได้รับการเปลี่ยนชุดแล้ว โดยความอนุเคราะห์จากตำรวจหญิงฝ่ายเอกสารของกองปราบปราม ตอบคำถามหน้านิ่งเสมือนไร้ความรู้สึก เป็นเช่นนี้ตั้งแต่เหยียบย่างเข้ามาที่นี่
“ทำแบบนี้ ฉันจะถือว่าเธอไม่ยอมให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่นะ เธออาจจะไม่ได้รับการลดโทษ ถึงแม้ว่าเธอจะอายุไม่ถึง 20 ก็เถอะ” ท่านนายพลยังไม่ยอมแพ้
“ดิฉันก็ไม่ได้ร้องขอให้ลดโทษนี่คะ”
คำตอบของบัวบกทำเอา พล.ต.ต.เกรียงไกรแทบกุมขมับ อยากจะมองให้ลึกลงไปในดวงตาว่างเปล่าคู่นั้นว่า เจ้าของของมันกำลังคิดอะไรอยู่ แต่กลับต้องชะงักไปกับแววเคียดแค้นที่ปรากฏขึ้นแวบหนึ่ง ก่อนจะเลือนหายไป และนั่นก็คือสิ่งเดียวกับที่ภูผา รวมไปถึงนายตำรวจที่เข้าร่วมในการสอบสวนอีกหลายคนสัมผัสได้เช่นกัน
“ขออนุญาตครับ คุณธนูมาแล้วครับท่าน”
เสียงรายงานของนายสิบตำรวจพงศ์ ปลุกนายพลประจำกองปราบฯ ให้ตื่นจากภวังค์ หันไปออกคำสั่ง
“ไปตามมาเลย บอกว่าฉันมีเรื่องจะคุยด้วย !”
“ครับท่าน !” พงศ์ตะเบ๊ะรับคำสั่ง แล้วรีบเดินเร็วออกไป ไม่นานก็กระหืดกระหอบกลับมา ในสภาพที่เหลือเสื้อยืดสีขาวคอกลมแขนสั้นเพียงตัวเดียว
“ไหนล่ะเจ้าลูกบ้านั่นน่ะ มาหรือยัง ?” ท่านนายพลถามหน้านิ่วคิ้วขมวด ตามองสำรวจความไม่เรียบร้อยของพงศ์อย่างไม่ชอบใจนัก
“เอ่อ... คือ คุณธนูขับรถตำรวจออกไปแล้วครับ แถมเอาแจ็คเก็ตของผมไปด้วย ไม่ยอมบอกว่าจะไปที่ไหน บอกแค่ว่าจะกลับมาพร้อมตัวแปรสำคัญครับ” พงศ์ยิ้มเจื่อนๆ ให้ผู้บังคับบัญชา เหงื่อเม็ดโป้งผุดขึ้นเต็มหน้า ด้วยเกรงว่าตนจะถูกหักเงินเดือนอันน้อยนิด หรือได้รับตำแหน่งใหม่บริเวณชายแดนของประเทศ
“ลูกคนนี้มันเป็นยังไง ทำอะไรไม่เคยปรึกษากันเลย !”
คำตอบที่ได้ยินทำให้พล.ต.ต.เกรียงไกรคลายความเครียดลงไปได้บ้าง ถึงอย่างนั้นก็อดบ่นตามประสาคนเป็นพ่อไม่ได้ ตรงข้ามกับบัวบกที่มีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาแทน เพราะไม่รู้ว่าจอมวางแผนอย่างธนูจะมาไม้ไหนอีก
รถกระบะตราโล่ถูกขับเข้ามาจอด ภายในอาณาบริเวณมูลนิธิเด็กกำพร้าบ้านแม่กรุณาอันร่มรื่นไปด้วยสีเขียวของต้นไม้นานาชนิด ก่อนที่คนขับซึ่งสวมแจ็คเก็ตสำหรับตำรวจนอกเครื่องแบบ จะลงจากรถเดินผ่านกลุ่มเด็กๆ ที่วิ่งเล่นกันเจี๊ยวจ๊าว เข้าไปติดต่อขอพบเจ้าของมูลนิธิกับเจ้าหน้าที่ที่ด้านในอาคารสำนักงานไม้สองชั้น สภาพกลางเก่ากลางใหม่
“คุณตำรวจ”
ไม่นานนักหญิงวัยกลางคนร่างบางผู้เป็นเจ้าของมูลนิธิ หรือที่เด็กๆ พากันเรียกว่า ‘แม่ครู’ ก็เดินเร็วลงมาจากชั้น 2 ของสำนักงาน ตรงเข้ามาหาผู้มาเยือนแปลกหน้า ซึ่งยืนรอพลางกวาดตามองไปรอบๆ
“สวัสดีครับ คุณกรุณาใช่ไหมครับ ?” ธนูหันกลับมาตามเสียงเรียก พยายามปั้นหน้าเคร่งขรึมให้ดูแก่ชรากว่าวัย พร้อมกับดึงบัตรประจำตัวออกมาแสดง ที่จริงมันเป็นบัตรประจำตัวสายสืบ แต่แค่แวบเดียวฝ่ายนั้นคงไม่ทันสังเกตหรอกมั้ง แล้วเขาก็ไม่ได้มีเจตนาร้ายนี่นา ธนูปลุกปลอบตัวเอง
“ค่ะ เอ่อ...คุณตำรวจมาเรื่องบัวบกหรือเปล่าคะ ?”
กลับกลายเป็นฝ่ายเจ้าบ้านที่ถามขึ้นก่อนด้วยความร้อนใจ แน่ล่ะ ! ก็แม่คุณไม่ได้กลับบ้านมาตั้งแต่เมื่อคืน แถมพอตรวจดูภูมิลำเนาก็ยังพบว่าอาศัยอยู่กับเจ้าของมูลนิธิอีกต่างหาก
“ครับ ตอนนี้คนของคุณกรุณาปลอดภัยดี แต่ทางเราจำเป็นต้องกันตัวไว้เป็นพยาน เนื่องจากคุณบัวบกเป็นผู้เห็นเหตุการณ์การปล้นทรัพย์ ที่ผมมาก็เพื่อจะแจ้งให้ทราบ แล้วก็... อยากจะขอร้องให้คุณกรุณาไปช่วยพูดกับคนของคุณที่กองปราบฯหน่อยน่ะครับ เพราะเธอไม่ยอมให้การอะไรเลย” ธนูพูดตามแผนที่วางไว้ระหว่างขับรถมา ขณะเดียวกันก็จับตามองอีกฝ่ายไปด้วยว่า รู้เห็นเป็นใจกับเรื่องที่เจ้าหน้าที่มูลนิธิทำหรือเปล่า
“อย่างนั้นหรือคะ โล่งอกไปที กำลังคิดว่าถ้าครบ 24 ชั่วโมงจะไปแจ้งความ ขอบคุณคุณตำรวจมากนะคะ ดิฉันยินดีให้ความร่วมมือเต็มที่ค่ะ จะให้ดิฉันไปตอนนี้เลยหรือเปล่าคะ ?” แม่ครูของเด็กๆ ยิ้มออกมาด้วยความโล่งใจ ท่าทางกระตือรือร้นที่จะให้ความร่วมมืออย่างที่ไม่ใช่แค่การเสแสร้ง
“เอ่อ... ครับ เชิญครับ” ชายหนุ่มผายมือไปที่รถด้วยอาการงุนงงเล็กน้อย เพราะไม่คิดว่าทุกอย่างจะง่ายดายขนาดนี้
“พุดจีบ เดี๋ยวแม่มานะลูก ฝากบอกทุกคนด้วยว่าเจอบัวบกแล้ว” คุณกรุณาหันไปบอกเจ้าหน้าที่สาวคนหนึ่งที่เดินผ่านมาพอดิบพอดี นี่ถ้าธนูเป็นพวกโจรเรียกค่าไถ่ในคราบตำรวจคงหัวเสียน่าดู แต่เวลานี้เขากำลังรับบทสายสืบในคราบตำรวจเพื่อความก้าวหน้าของคดีต่างหาก ชายหนุ่มลอบถอนหายใจ และยังคงตั้งหน้าตั้งตาเล่นตามบทต่อไป
1 ชั่วโมงต่อมา ธนูก็บึ่งรถตำรวจฝ่าเปลวแดดและการจราจรอันติดขัด พาแม่ครูกรุณาของบรรดาเด็กกำพร้ามาจนถึงกองปราบปราม โดยมีพงศ์ซึ่งได้รับคำสั่งให้ทำหน้าที่ ‘ ยืนรอ ‘ รีบกุลีกุจอออกมาต้อนรับด้วยชุดตำรวจที่ไปบังคับหยิบยืมคนอื่นมาสวมใส่อีกที
“พี่พงศ์พาคุณกรุณาไปนั่งรอที่ห้องรับแขกก่อนนะครับ ผมจะไปพาคุณบัวบกมาเอง” ชายหนุ่มบอกอีกฝ่ายด้วยใบหน้าที่พยายามเสกสรรปั้นแต่งให้ดูเคร่งขรึม แต่มิวายขยิบตาส่งสัญญาณให้ช่วยรับมุข
“อ๋อ ! ได้ครับ คุณ... เอ๊ย ! น้องนู” พงศ์ใช้ปฏิภาณเฉพาะตัวแก้สถานการณ์แบบงงๆ ก่อนจะหันไปทางแขกผู้มาเยือน “ เชิญทางนี้เลยครับคุณกรุณา”
“ค่ะ ขอบคุณนะคะ” แม่ครูกรุณายิ้มสองหนุ่ม โดยไม่มีท่าทีระแคะระคายใดๆ ขณะที่ธนูก็ยิ้มตอบ แล้วรีบเดินเร็วไปยังห้องสอบสวนสถานที่ซึ่งพงศ์เคยบอกว่า ผู้เป็นพ่อกำลังรอพบเขาอยู่นานแล้ว
“ไง ! ได้อะไรมาบ้างล่ะ ?”
เสียงของพล.ต.ต.เกรียงไกรดังขึ้น ทันทีที่ลูกชายตัวแสบเปิดประตูเข้ามา
“ได้คนที่พอจะช่วยทำให้ผู้หญิงคนนี้ยอมเปิดปากนั่นแหละครับ ว่าแต่พ่อเก็บกุญแจไขไอ้นี่ไว้ไหนครับเนี่ย ?” ธนูเดินอ้อมมาข้างหลังบัวบก พร้อมชี้ไปที่กุญแจมือเป็นเชิงสื่อถึงมัน
“นั่นไม่ใช่กุญแจมือของผู้กองภูผาหรอกเหรอ ?” คนเป็นพ่อนิ่วหน้าถาม ลึกๆ ข้างในแววตาบ่งบอกว่ากำลังกังวลเกี่ยวกับการกระทำแผลงๆ ผิดมนุษย์มนาของอีกฝ่าย
“กุญแจมือของพ่อนั่นแหละครับ พอดีผมเอาติดมาจากบ้านด้วย แค่ไขปล่อยตัวผู้ต้องหาพักเดียวเท่านั้น ไม่ให้หนีไปไหนได้หรอกครับ” คนเป็นลูกยิ้มฝืดๆ เพราะรู้ดีว่าหลังจากนี้จะมีประโยคยืดยาวอะไรตามมา
“กุญแจมือเอามาจากบ้าน กุญแจที่จะไขก็ต้องอยู่ที่บ้านสิ จะมาอยู่อะไรที่นี่ ฉันเคยบอกแกแล้วใช่ไหมว่าอย่าเอาอะไรมาใช้สุ่มสี่สุ่มห้า แกเคยฟังที่ฉันพูดบ้างหรือเปล่า นอกจากจะไม่ฟังแล้วยังสร้างปัญหาบ้าๆ บอๆ ให้ฉันไม่รู้จักเหนื่อย แกน่ะโตแล้วนะธนู ไม่ใช่เด็กเล็กๆ หัดคิดก่อนทำบ้าง ที่ฉันพูดมาแกเข้าใจบ้างไหม !” ท่านนายพลตำหนิลูกชายเสียงเครียด ส่วนบัวบกเพียงชำเลืองมองหน้าชายหนุ่มนิ่งๆ ไม่ยอมปริปากพูดอะไรเช่นเคย
“ครับ พ่อมีลวดเล็กๆ ไหมครับ ?” ธนูตอบรับและตั้งคำถามต่อไปอีก
“ฉันจะไปมีได้ยังไง !” คนเป็นพ่อหัวเสียหนักขึ้น
“กิ๊บติดผมก็ได้ครับ”
แต่ละคำพูดที่ออกมาจากปากคนเป็นลูก ดูเหมือนจะสร้างความปวดเศียรเวียนเกล้าให้ท่านนายพลไม่รู้จักจบสิ้น
“แกเห็นพ่อกับกองปราบฯ เป็นอะไร ร้านขายของชำหรือไง !”
อารมณ์เดือดปุดๆ ของพล.ต.ต.เกรียงไกร คงพุ่งขึ้นถึงจุดสูงสุดอยู่ในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้า ถ้าหาก...
“ไม่ใช่อย่างนั้นครับ ผมแค่จะเอามาไข... ปัดโธ่ ! มีกิ๊บอยู่ก็ไม่บอก” ธนูยิ้มออกมาได้ เมื่อเหลือบไปเห็นกิ๊บที่ติดอยู่บนผมของบัวบก และไม่รอช้าที่จะดึงมันออกมาใช้ โดยไม่รอให้เจ้าของอนุญาตเสียก่อน
“นี่ ! จะทำอะไรน่ะ !?” บัวบกสะบัดตัวหนีไปที่ประตู
“ฉันจะไขกุญแจมือออกให้ หรือเธออยากออกไปพบเจ้าของมูลนิธิในสภาพนี้ ?”
คำตอบของชายหนุ่มทำให้บัวบกชะงักไปในทันที เธอปล่อยให้เขาใช้กิ๊บไขปลดกุญแจมือออกอย่างชำนาญราวกับเป็นโจรเสียเอง และ...
“เอาล่ะ ! ไปกันได้แล้ว อย่าให้ผู้ปกครองของเธอต้องรอนาน” เขาเก็บกุญแจมือ และส่งกิ๊บคืนให้เธอ แต่แล้วตอนนั้นเอง...
เพียะ !!
หน้าของธนูหันไปตามแรงตบของบัวบก มันรวดเร็วเสียจนท่านนายพลที่กำลังจะบ่นว่าลูกชายถึงกับอ้าปากค้าง
“นายมันร้ายกาจที่สุด ! คิดจะเอาแม่ครูมาบีบให้ฉันยอมพูดหมดทุกอย่างงั้นสิ แม่ครูกับมูลนิธิไม่เกี่ยวอะไรด้วย อย่าดึงทุกคนเข้ามาเกี่ยวข้อง ไม่อย่างนั้นก็อย่าหาว่าฉันไม่เตือน” หญิงสาวกำหมัดสั่นระริก น้ำเสียงเกรี้ยวกราด ดวงตาคู่สวยที่จ้องมองมาที่ธนูบ่งบอกความเจ็บแค้น เหมือนกับริมฝีปากที่ถูกกัดจนขาวซีด ตรงข้ามกับธนูที่ยังคงเยือกเย็น... เขาบอกตัวเองให้เย็นไว้ เย็นจนถึงที่สุด !
“แล้วตอนที่คิดจะทำเรื่องพวกนี้ ทำไมไม่คิดถึงแม่ครูกับมูลนิธิ ไม่ใช่ไม่เกี่ยวข้อง แต่ทุกคนจะพลอยติดร่างแหกับสิ่งที่เธอทำ อย่าลืมว่าฉันมีหลักฐานว่าแก๊งของเธอโอนเงินเข้ามูลนิธิของเธอทุกครั้งที่ทำการปล้น ในขณะที่เธอมีแต่คำพูด”
คำพูดของธนูทำให้บัวบกชะงักไปอีกครั้ง
“เดี๋ยวผมมานะครับพ่อ” ชายหนุ่มหันไปบอกผู้เป็นพ่ออีกครั้ง ก่อนจะดันตัวบัวบกออกไปทางประตู ถึงอย่างนั้นก็ไม่ลืมที่จะฉวยแจ็คเก็ตซึ่งแขวนอยู่ภายในห้องมาด้วย
“เอ้า ! ใส่ซะ เดินโชว์เสื้อมีแต่รอยตะเข็บแบบนั้น ได้อายเขาตาย” เขายัดเสื้อใส่มือบัวบก และแม้จะยอมสวมมันแต่โดยดี แต่หญิงสาวก็ยังมิวายประชดประชัน
“กลัวแขกไปใครมาตำหนิพวกเดียวกันงั้นสิ !”
“เธอมากกว่ามั้งที่ต้องกลัวถูกเจ้าของมูลนิธิซักที่มาที่ไปของเสื้อ”
คำพูดของธนูแทงใจดำบัวบกอย่างแรง แต่เพราะเดินมาถึงห้องรับแขกที่ซึ่งแม่ครูของเธอนั่งรออยู่แล้ว เธอจึงได้แต่ชำเลืองมองเขาอย่างแค้นๆ
“ผมพาตัวคุณบัวบกมาแล้วนะครับ เชิญคุยกันตามสบายเลย เรื่องความปลอดภัยไม่ต้องเป็นห่วงครับ ผมจัดกำลังตำรวจเฝ้าไว้ทุกจุด” ธนูบอกแม่ครูกรุณา แต่เหมือนเป็นการจงใจบอกบัวบกไม่ให้คิดหนีมากกว่า
“ขอบคุณมากนะคะคุณตำรวจ” อีกฝ่ายยิ้มแย้มตอบ แล้วนั่งมอง ‘คุณตำรวจ’ ที่ว่า เดินออกจากห้องไปด้วยความชื่นชม
“แม่ครูไปขอบคุณเขาทำไมกันคะ คนแบบนั้นน่ะ” บัวบกมองตามหลังธนูไปด้วยแววตาเกลียดชัง ที่จริงเธออยากจะบอกด้วยซ้ำว่าผู้ชายคนนั้นไม่ใช่ตำรวจ แต่ก็เกรงว่าคำพูดของเธอจะยิ่งทำให้แม่ครูต้องเดือดร้อนมากขึ้นไปอีก หากว่าภายในห้องนี้ติดเครื่องดักฟังหรือเครื่องบันทึกเทป
...คนพวกนั้นอาจจะใช้มันเพื่อบีบให้เธอยอมทำอย่างอื่นอีกก็ได้ !
“ไม่เอานะบัวบก ทำไมพูดจาแบบนั้นล่ะลูก คุณตำรวจเขาอุตส่าห์ช่วยดูแลความปลอดภัยให้เรา มีอะไรที่เป็นประโยชน์ก็บอกเขาไปให้หมดเถอะ เขาจับคนร้ายได้ก็เท่ากับว่าเราได้ทำประโยชน์ให้สังคมนะ”
คำพูดของแม่ครูกรุณา ทำให้บัวบกถึงกับนิ่วหน้าด้วยความงุนงง
“เอ่อ... ผู้ชายคนนั้นเล่าอะไรให้แม่ครูฟังบ้างคะ ?” เธอถามตะกุกตะกัก เพราะคาดไม่ถึงว่าทุกอย่างจะกลับตาลปัตรไปเสียหมด
“เขาบอกว่าหนูเห็นเหตุการณ์การปล้น แต่ไม่ยอมให้ปากคำ เลยต้องรับแม่มาช่วยพูด ไม่ถูกหรือลูก ?”
“เอ้อ... ถะ... ถูกค่ะ” บัวบกตอบตะกุกตะกัก เพราะรู้ดีแก่ใจว่ากำลังโกหกผู้มีพระคุณ ถึงอย่างนั้นทั้งหมดมันก็เป็นผลมาจากคำพูดของผู้ชายคนนั้น หญิงสาวไม่เข้าใจว่าเขาทำแบบนี้เพื่ออะไรกันแน่ หวังจะซื้อใจ หรือวางแผนบีบให้เธอยอมบอกสิ่งที่ต้องการ ไม่ว่าจะเพราะอะไรเธอก็ไม่มีทางมองเขาดีไปกว่านี้ได้ ไม่มีทาง !
หลังจากปล่อยให้ทั้งคู่ได้คุยกันเป็นการส่วนตัวประมาณครึ่งชั่วโมง ธนูก็ขับรถพาแม่ครูกรุณากลับมูลนิธิ โดยที่ตัวเขาเองนั่งเงียบมาตลอดทาง เพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายสังเกตเห็นใบหน้าที่นวลเนียนจากการใช้รองพื้นลบรอยฝ่ามือแดงๆ บนแก้มซ้าย แต่แล้วเสียงของแม่ครูก็ดังทำงายความเงียบขึ้น
“ต้องขอโทษคุณตำรวจแทนบัวบกด้วยนะคะ ตั้งแต่เด็กมาแล้วที่บัวบกฝังใจอคติกับตำรวจ แม่ถูกพ่อเลี้ยงทำร้าย พอไปแจ้งความ ตำรวจเห็นว่าเป็นเรื่องครอบครัวก็เลยแค่ลงบันทึกประจำวันไว้ สุดท้ายแม่ก็เสีย พ่อเลี้ยงก็หนีไปอยู่ชายแดน ตามจับไม่ได้ บัวบกถูกส่งเข้ามาเป็นเด็กกำพร้าของมูลนิธิ พอโตขึ้นมาเป็นเจ้าหน้าที่มูลนิธิแล้ว ก็มีเหตุให้ต้องขึ้นโรงพักไปแจ้งความเรื่องมูลนิธิถูกข่มขู่ แล้วก็ไปเจอร้อยเวรที่รับแจ้งเอาแต่สนใจกับรายการทีวีอีก ยิ่งทำให้บัวบกฝังใจหนักขึ้น”
น้ำเสียงของแม่ครูบ่งบอกถึงความกังวลที่อัดแน่นอยู่ในหัวใจ กว่าสิบปีที่บัวบกเติบโตขึ้นมาภายใต้การดูแลของมูลนิธิ ทำให้แม่ครูรู้ดีว่าอีกฝ่ายยังมีความลับที่ไม่ได้เอ่ยปากพูดออกมามากมาย และมันก็เป็นเรื่องคอขาดบาดตายเสียด้วย !
“ไม่เป็นไรครับ ผมเข้าใจ” ธนูยิ้มฝืดกับสิ่งที่หล่อหลอมอคติของบัวบกขึ้นมา พลางครุ่นคิดถึงคำพูดของตำรวจหญิงฝ่ายเอกสาร เจ้าของครีมรองพื้นบนหน้าเขา และเป็นเจ้าของเสื้อใหม่ที่บัวบกสวมอยู่ด้วย
“ขนาดพี่เสียสละเสื้อของพี่ให้ แถมยังต้องนั่งเย็บเสื้อที่ผ่าใส่ให้ตั้งนาน ยังไม่มีขอบคุณพี่สักคำ แย่จริงๆ เลย อายุก็ตั้ง 19 แล้ว ใช่ว่าเด็กเล็กๆ ซะเมื่อไหร่ แล้วดูซิเนี่ย ตบหน้าคุณธนูซะแบบไม่มีการยั้งมือเลยล่ะมั้งท่า” เจ้าของคำพูดเผลอใส่อารมณ์ลงไปกับการทารองพื้นให้เขา จนธนูได้แต่นั่งหน้าเหยเกให้กับเรื่องราวที่รับฟัง รวมทั้งรอยช้ำซ้ำแล้วซ้ำเล่าบนใบหน้า
“ไม่เป็นไรครับ ผมยุ่งกับเรื่องนี้มากไปเอง” เขาตอบยิ้มๆ ยิ้มฝืดๆ เหมือนกับตอนนี้นี่แหละ !
“ทั้งๆ ที่ย้ำอยู่เสมอว่าทุกอาชีพมีทั้งคนดีและคนไม่ดี แต่แกก็ไม่ยอมเข้าใจเสียที” เสียงพูดของแม่ครูทำให้ธนูกลับสู่ปัจจุบันอีกครั้ง
“ไม่เป็นไรครับ ผม... ไม่ถือหรอกครับ” เขากัดฟันพูดยิ้มๆ เพราะยังรู้สึกเจ็บๆ ชาๆ ไม่หาย
“ยังไงก็ต้องขอโทษแทนเด็กในปกครองจริงๆ ค่ะ แกอาจจะเครียดเพราะใกล้สอบด้วย” แม่ครูย้ำคำ พร้อมกับบอกชื่อมหาวิทยาลัยที่บัวบกเรียนอยู่ ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยเดียวกับที่ธนูเรียนพอดี
“อย่างนั้นหรอกหรือครับ พวกผมจะพยายามเร่งทำคดีให้เสร็จก่อนการสอบแล้วกันนะครับ คุณบัวบกเธอจะได้กลับไปอ่านหนังสืออย่างสบายใจ” ชายหนุ่มหันไปยิ้มให้แม่ครูเจ้าของมูลนิธิอีกครั้ง แต่เป็นรอยยิ้มที่ต่างไปจากเมื่อครู่ แบบที่เรียกว่า ‘ยิ้มสนุก’
...แผนการต่อไปผุดขึ้นในสมองแล้ว และมันจะเริ่มขึ้นหลังจากที่เขากลับไปกองปราบนี่แหละ !