พรุ่งนี้เป็นวันเริ่มต้นการไปโรงเรียน (ใหม่) ดีที่โรงเรียนนี้เป็นโรงเรียนเอกชน เรื่องเข้าเรียนกลางคันหรือไปสายจึงไม่มีปัญหาสำหรับนักเรียนที่มีเงินจ่ายค่าแป๊ะเจี๊ยะให้โรงเรียน แต่ปัญหาที่ฉันจะต้องเจอนั้นมันยิ่งใหญ่เสียยิ่งกว่าการถูกแม่ยัดเยียดคู่หมั้นให้เสียอีก
“ป้าจะมารับตอนสี่โมงเย็นนะลูก มารอที่เดิมนะ”
“ค่ะ...”
ฉันยกมือไหว้ป้ากิมที่มาส่ง ก่อนท่านจะค่อยๆ ปั่นจักรยานแม่บ้านเก่าๆ จากไปจนลับตา
ฉันมองอาคารสีฟ้าอ่อนที่ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า ก่อนจะเหลือบไปมองป้ายชื่อโรงเรียนที่มีตัวหนังสือสีทองเขียนไว้ว่า “โรงเรียนนานาชาติเซนต์แมคคาเวลล์” รู้สึกเหนื่อยใจอย่างบอกไม่ถูก ยิ่งหันไปเห็นนักเรียนคนอื่นๆ ที่เริ่มทยอยกันเข้าโรงเรียนแล้วยิ่งทำให้ฉันไม่กล้าเยื้องกรายเข้าไปในโรงเรียนเข้าไปใหญ่ ด้วยกลัวว่าสภาพของฉันจะทำให้เกิดโกลาหลขนาดย่อมได้ จึงได้แต่แอบมองคนอื่นๆ อยู่หลังเสาไฟฟ้าแทน
กระทั่งได้เวลาที่ประตูโรงเรียนจะปิด ฉันจึงตัดสินใจเข้าไปอย่างไม่มีทางเลือก แต่เมื่อเท้าทั้งสองข้างพาร่างอันชวนขนลุกย่างกรายเข้ามาในเขตโรงเรียนเท่านั้นแหละ นักเรียนนับพันคนที่กำลังแยกย้ายไปยังห้องเรียนของตนที่อยู่ตามอาคารต่างๆ ก็หันมามองฉันเป็นตาเดียวด้วยสีหน้ายากเกินจะอธิบายเป็นรายคน ก่อนที่สิ่งไม่คาดฝันจะบังเกิดขึ้น...
“กรี๊ดดด / อ๊ากกก”
คนนับพันชีวิตกรีดร้องประสานเสียงโดยมิได้นัดหมาย อาเมน! -_-;
จากที่เป็นจุดศูนย์กลางของสายตาคนทั้งโรงเรียนก็กลายเป็นโดดเดี่ยวอ้างว้างและโลนลี่มากมายเมื่อคนนับพันสลายตัวไปด้วยความเร็วแสง เหลือเพียงสายลมกับเสียงจิ้งหรีดเรไรขับร้องสอดประสานเป็นแบ็คกราวนด์ให้ฉันที่ยืนหัวโด่อยู่หน้าประตูคนเดียว
แต่...! เรื่องวุ่นวายแบบนี้มันใช่จะจบง่ายๆ ที่ไหน เมื่อฉันเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าลืมดูหมายเลขห้องเรียนก่อนมาโรงเรียน = =; โรงเรียนบ้านี่ก็มีห้องมากมายซะเหลือเกิน แถมสารพัดตึกอีก ไม่รู้ว่าฉันเดินเข้าตึกนู้นทะลุออกตึกนี้ไปกี่รอบแล้ว แต่สุดท้ายมันก็มาจบที่ทางตัน...ทางตัน!
เออ เอาเข้าไป หลงไม่พอดันมาเจอทางตันอีก ว่าแต่ห้องนั้นมันห้องอะไรน่ะ? หือ...ห้องสมุดเหรอ ไหนๆ ก็ไม่รู้จะไปไหนแล้ว เข้าไปนั่งฆ่าเวลาในนี้หน่อยคงไม่เป็นไรมั้ง
เมื่อลองยื่นมือไปเลื่อนประตูกระจกแล้วปรากฏว่ามันไม่ได้ล็อก ฉันจึงถือวิสาสะเข้าไปโดยขออนุญาตป้ายชื่ออาจารย์บรรณารักษ์ แล้วแทรกเข้าไปในช่องว่างระหว่างตู้หนังสืออย่างเงียบๆ
วิ้งๆ
เงียบจริงๆ นะเออ เงียบจนได้ยินเสียงลมตีเข้ามาในหูดังวิ้งๆ แล้วเนี่ย วังเวงชะมัด แต่ฉันไม่สนใจอะไรแล้ว ทรุดลงนั่งพิงหลังกับชั้นหนังสือแล้วฮัมเพลงไปเรื่อยๆ เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่แล้วไม่รู้ แต่มันคงนานพอทำให้เหงื่อไคลฉันไหลย้อยลงมาท่วมหัวท่วมตัว บรรยากาศตรงมุมนี้ความกดอากาศต่ำมากเสียจนฉันเริ่มหายใจไม่ออก ต้องหายใจทางปากอีกทางเพื่อโกยออกซิเจนเข้าปอดให้ได้มากที่สุด
แต่มันช่างไร้ผลนัก เพราะฉันเริ่มหายใจถี่ขึ้นเรื่อยๆ จนเริ่มอึดอัด และฉันก็รู้ได้ว่า...
...ฉันเป็นหอบ!
ฉันไม่มีแรงแม้แต่จะควานหายาพ่นในกระเป๋านักเรียนที่นอนระเกะระกะอยู่ข้างหน้า ดวงตาทั้งสองข้างเริ่มมองเห็นภาพพร่ามัวก่อนจะทรงตัวไม่อยู่ ค่อยๆ ทรุดนอนไปบนพื้น แต่ก็ยังไม่วายพยายามตะเกียกตะกายไปคว้ากระเป๋าเพื่อเอายาพ่น แต่เพราะทรงตัวไม่อยู่จึงทำให้ปัดไปโดนหนังสือที่อยู่บนชั้น ทำให้หนังสือสารานุกรมเล่มหนาพร้อมใจกันถมลงมาบนกบาลน้อยๆ ทำให้อากาศที่มีอยู่น้อยนิดยิ่งน้อยเข้าไปอีก
แง ฉันยังไม่อยากตายนะ TOT ท่านเง็กเซียนเจ้าขา ช่วยส่งใครก็ได้มาช่วยคริสตัลหน่อย คริสตัลจะม่องเท่งอยู่รอมร่อแล้ว TOT
และเหมือนสวรรค์จะสมเพชคนอย่างฉันเสียเต็มประดา เพราะขณะที่เริ่มเห็นอาม่าที่เสียไปเมื่อหลายปีก่อนมายืนกวักมือเรียกหย็อยๆ ก็มีเสียงคล้ายใครบางคนเลื่อนประตูออก ทำให้อาม่าหายวับไปกับตาทันที
รอดตายแล้ว!
“ใครมันมารื้อแล้วไม่เก็บเข้าที่ให้เรียบร้อยวะ”
เสียงแหบห้าวที่กำลังบ่นกระปอดกระแปดนั้นช่างคุ้นหูยิ่งนัก เหมือนเคยได้ยินยังไงก็ไม่รู้แฮะ แต่ช่างเหอะ สิ่งสำคัญที่สุดตอนนี้คือชีวิตของฉันมากกว่า
เสียงนั้นยังคงบ่นไปเรื่อยๆ แต่ก็ไม่เห็นจะเดินมาเอาหนังสือออกจากตัวฉันสักที ฉันจึงรวบรวมแรงที่มีเหลือทั้งหมดร้องขอความช่วยเหลืออย่างเต็มกำลัง
“ช่วย...แฮกๆ ช่วยฉันด้วย...แฮกๆ”
กึก! ตุบๆ
เหมือนมีเสียงอะไรบางอย่างร่วงกระทบพื้น ความจริงแล้วฉันก็อยากจะรู้หรอกนะ แต่แค่แรงจะเอาหนังสือออกจากตัวยังไม่ไหวเลย
“เสียงใครน่ะ...”
เสียงนั้นดังขึ้นอีกครั้ง ฉันจึงพยายามเค้นคำพูดขอความช่วยเหลือซ้ำแต่กลับไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมาจากลำคอ อากาศที่เอาเข้าไปเหลือน้อยลงทุกที ด้วยสัญชาตญาณการเอาตัวรอดของมนุษย์ที่พระเจ้ามอบให้มาตั้งแต่เกิดทำให้ฉันตัดสินใจรวบรวมแรงเฮือกสุดท้ายชูมือขึ้นทันที
ฟุ่บ!
“ช่วย...ฉัน...ด้วย...”
“อ๊ากกก!”
และคนที่ถามตอนแรกก็แหกปากร้องลั่นทันทีเช่นกัน ฉันเบิกตาโพลงเมื่อสายตาโฟกัสไปยังคนมาใหม่ได้ ผมสีแดงสดวิ่งตรงสู่เรตินาดวงตาจนฉันเกือบลืมไปว่าตอนนี้กำลังจะตายเพราะเป็นหอบ!
อ๊ากๆๆ หมอนี่อีกแล้วเรอะ! เห็นหน้ามันแล้วน่าฆ่านัก ถ้าไม่ติดว่ากลัวจะถูกคร่าชีวิตเพราะหอบ ฉันจะคร่าชีวิตหมอนี่เดี๋ยวนี้เลย สาบาน!
“จะ...จะเอาอะไรอีก เมื่อวานก็กรวดน้ำไปให้แล้วไง...จะเอาอะไรอีก...”
อีตาหัวแดงว่าพลางถอยหลังกรูดไปชนกับขอบโต๊ะ โดยไม่สังเกตสักนิดเลยว่า...ผีบ้านหมอนี่เป็นหอบได้เรอะ! แต่ทว่า...สิ่งที่ฉันตอบกลับไปคือคำนี้
“...หอบ”
“เห?”
“ยา...”
“อะไรนะ”
“...ในกระเป๋า”
ฉันชี้นิ้วอันสั่นเทาไปยังกระเป๋านักเรียนตัวเองให้หมอนั่นรู้ว่ามียาอยู่ในนั้นพลางหอบจนตัวโยน หมอนั่นทำหน้าประหลาดใจนิดหนึ่งก่อนจะมองฉันสลับกับกระเป๋า จากนั้นก็...
“ผะ...ผีเป็นหอบ อ๊ากกก!“
“=O=!!”
อะ...อีตาหัวแดงปัญญาอ่อนเอ๊ยยย!
“ซู้ด~ แฮกๆ”
“เชื่อเลย ไอ้เราก็นึกว่าผีเป็นหอบได้ ตกลงเป็นคนเหรอเนี่ย”
“ตลกมากป่ะ”
“โอเค เลิกถาม”
“หึ!”
กว่าอีตาหัวแดงจะตั้งสติและเอายาพ่นในกระเป๋ามาช่วยชีวิตฉันได้ ก็เล่นเอาฉันเกือบไปสวรรค์เสียแล้ว และตอนนี้ฉันก็กำลังพ่นยาเข้าจมูกอย่างไม่ลดละ โดยมีอีตาบ้านี่นั่งมองอยู่ห่างๆ พลางทำหน้าแหยงๆ ใส่ฉันไปด้วย พอเริ่มหายใจสะดวกขึ้น ฉันจึงอธิบายว่าฉันเป็นคน ไม่ใช่ผีอย่างที่คิด
“นี่ อย่าแสยะยิ้มอย่างนั้นได้มั้ย มันน่าขนลุกน่ะ”
“...หนักหัวนายหรือไง”
“เอ่อ...-_-;”
แล้วความเงียบก็คืบคลานเข้ามาปกคลุมเราทั้งคู่อีกครั้ง ดีแล้วล่ะ ไม่งั้นหมอนี่ก็พล่ามเรื่องฉันเป็นคนไม่เลิก น่ารำคาญตายชัก จริงๆ แล้วฉันไม่เคยหยาบคายแบบนี้กับใครเลยนะ แต่ทำไมฉันเก็บโทสะยามเจอหน้าหมอนี่ไม่ได้ก็ไม่รู้ สงสัยแรงอาฆาตจากโลงศพมรณะนั่นล่ะมั้ง?
ผมใช้เวลาเพียงไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็ขับเคลื่อนยานพาหนะคู่ใจถึงยังหอพัก ทันทีที่เปิดห้องคริสตัลเข้าไปก็ต้องพบกับยัยผีที่เข้าสู่ห้วงนิทราเป็นที่เรียบร้อย ที่สำคัญยังอยู่คนเดียวแถมไม่ล็อกห้องด้วย อันตรายชะมัด ไม่รู้ไอ้เชลโลพาน้องๆ ผมไปซื้อขนมกันถึงไหน ทว่าผมก็ไม่ได้ใส่ใจไปมากกว่าใบหน้าไร้เดียงสาของหญิงสาวที่หลับใหลอยู่บนเตียง ผมทรุดนั่งข้างๆ แล้วจ้องมองใบหน้าขาวเนียนของคริสตัลด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก จนเผลอยื่นมือไปลูบไล้แก้มนวลเนียนเบาๆ เธอส่งเสียงอืออออย่างรำคาญแล้วพลิกตัวหนี ผมยิ้มน้อยๆ กับท่าทางเหมือนเด็กๆ ของเธอ ความรู้สึกบางอย่างแล่นปรี่ขึ้นมาจุกอกแน่นจนผมอดใจไม่ได้ที่จะก้มลงไปประทับจูบบนพวงแก้มแดงเรื่อนั้น
สาบานได้เลยว่าผมไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับผู้หญิงคนไหนมาก่อน นอกจากแม่กับยัยหยินแล้ว คริสตัลเป็นคนแรกที่ผมอยากจะปกป้อง อยากโอบกอดด้วยสองมือนี้ ...สองมือของผู้ชายอย่างผม
ภาวนาให้ถึงวันพรุ่งนี้เร็วๆ ผมจะได้บอกความในใจทั้งหมดกับเธอสักที เผื่อว่าคริสตัลอาจจะรู้ใจตัวเอง แล้วผมจะได้ไม่รู้สึกค้างคาใจแบบนี้ ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นยังไง ผมก็จะยอมรับ ขอเพียงแค่ให้ผมได้ทำในสิ่งที่หัวใจเรียกร้องก็พอ...